No.19
จั่วหัว : หนังไทยอินดี้ ที่เล่าเรื่องราวชีวิตบ้านๆได้อย่างมีนัยยะที่น่าสนใจ..ด้วยความจริงใจ
Village of Hope : วังพิกุล
คมนิด จี๊ดเลย : เพราะความหวัง ชีวิตเราจึงยังขับเคลื่อนต่อ และเพราะความรัก จึงทำให้โลกนี้ยังคงน่าอยู่
Napat's Rating : (B+) , 8.5 /10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : ก่อนอื่นสำหรับใครที่ยังไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ ต้องแนะนำก่อนครับว่านี่คือหนังไทยอิสระนอกกระแส พูดง่ายๆก็คือเป็นหนังอินดี้ ซึ่งจะมีแนวทางการเล่าเรื่องที่แตกต่างไปจากฟอร์มหนังสายเมนสตรีมหรือสายปกติที่ฉายทั่วไปตามโรง หนังเรื่องนี้ฉายที่ลิโด้ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ เป็นหนังของอาจารย์สืบ บุญส่ง นาคภู่ นักทำหนังที่อยู่ในวงการหนังอิสระมาอย่างยาวนาน รอบนี้เรียกได้ว่าเป็นการนำการจำลองชีวิตของแกมาทำเป็นหนังเลยก็ว่าได้ โดยมีนักแสดงนำเป็นญาติพี่น้องของแกรับบทนำของเรื่องเลยทีเดียว
ตัวหนังได้ดำเนินเรื่องไปด้วยโทนภาพลักษณะขาวดำ โดยมีตัวเอกที่ชื่อว่า ศร เด็กวัยรุ่นตอนปลายที่เหมือนว่าชีวิตกำลังอยู่ในจุดครึ่งๆกลางๆ เหมือนกับวัยของเขาที่จะเด็กก็ไม่ใช่เด็ก จะโตก็รู้สึกยังไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆเสียที
ครอบครัวของศรนั้นมีปัญหา บ้านแตกแยกกัน โดยที่ในหนังจะมีฉากที่แสดงให้เห็นว่าศรพยายามรำลึกถึงครอบครัวของเขาและใจก็คงอยากให้กลับมารักกันเหมือนเดิม ทว่าในความฝันที่เขาถวิลหา อีกด้านหนึ่งบนโลกแห่งความจริงนั้นเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและญาติพี่น้องที่ต่างคาดหวังให้เขาเติบโตและหาอนาคตที่ดีให้กับชีวิต โดยที่อาจไม่มีใครเข้าใจเลยว่าจริงๆแล้วศรต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร
บางทีเขาอาจเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนเล็กๆคนหนึ่งในสายตาของคนรอบตัว และหลายครั้งก็เหมือนว่าเขานั้นถูกมองข้ามไป มีฉากที่น่าสนใจฉากหนึ่งที่เป็นการเปรียบเปรยให้ห็นชีวิตของเด็กกรุงและเด็กบ้านนอกอย่างเขาแบบทางอ้อม เมื่อน้องนาย เด็กชายจากเมืองกรุงผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับศรมาเยี่ยมที่บ้านเกิดในสุโขทัย ทุกคนต่างให้ความสนใจกับน้องนายไม่ว่าน้องจะทำอะไร ต่อให้จะทำเพียงแค่เต้นกังนัมก็ตาม เห็นได้ว่าลึกๆสิ่งที่ศรปรารถนาอาจจะเป็นการที่เขาได้รับความสำคัญ มีคนเห็นอกเห็นใจเขาบ้างก็เป็นได้ เพราะถ้าเราได้รับความรักความสำคัญ ความเอาใจใส่จากคนรอบข้างมากเพียงพอ มันก็จะต่อเติมความหวังให้เราอยากมีชีวิตต่อ เดินไปข้างหน้า และทำในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างเป็นสุข เหมือนกับที่ทุกคนต่างปรบมือชอบใจกับการแสดงของน้องนาย แล้วน้องนายก็พลอยมีความสุขไปด้วย
แต่ทว่าโลกของเรามันไม่ได้ง่ายๆขนาดนั้น ไม่ได้สุขขนาดนั้นสำหรับทุกคน โลกนี้ยังมีคนอย่างศรอยู่ ถ้าจะให้ผมเปรียบเปรยกับอะไรสักอย่าง ก็อยากจะเปรียบศรให้เหมือนกับประเทศไทยในตอนนี้ก็แล้วกัน
ลองคคิดตามดูเล่นๆก็ได้ ศรไปข้างหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่ได้ อยู่แบบครึ่งๆกลางๆแบบนี้ เพราะบ้านแตกแยกหย่าร้างกัน(สมมติว่าพ่อสีหนึ่ง แม่ก็อีกสีหนึ่งจนแตกคอกัน) ใจนึงศรก็ถวิลหาอดีตที่มีความสุข(เหมือนช่วงเวลาก่อนที่เราจะทะเลาะกัน) แต่ก็รู้ว่ามันคงเป็นไปได้ยาก เขาก็จึงพยายามก้าวต่อไป และก็ในระหว่างที่เขาพยายามจะเดินไป ทุกคนต่างคาดหวังแต่ไม่มีใครเข้าใจเขาสักคน(เหมือนกับเราต่างบอกว่าอยากให้ประเทศไทยไปข้างหน้า ให้เจริญขึ้น ดีขึ้น สามัคคีสมานฉันท์ ร้อยแปดพันเก้า แต่ทุกวันนี้เราก็ดีกันแต่พูด แต่เราก็ไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย ก็ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เหยียดหยาม อิจฉา โกงกิน ทะเลาะเบาะแว้งต่างๆนานาอยู่เหมือนเดิม โดยที่ปากยังบอกว่าอยากให้ประเทศไปข้างหน้า) สุดท้ายก็ไม่มีใครเข้าใจศร หนำซ้ำยังถูกเปรียบกะเด็กกรุง (คิดง่ายๆว่าเด็กกรุงเป้นเหมือนตัวแทนของคนต่างประเทศที่คนไทยมักชอบเห่อ ยิ่งพอเด็กเต้นกังนัม ก็อาจเปรียบให้เห็นว่าคนไทยต่างคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมเกาหลีหรือต่างประเทศ หรือของนอกทุกๆอย่างนั่นแหละ จนลืมรากเหง้าที่จริงของเราไป)
สุดท้ายเมื่อถูกลืม และไม่มีใครมองเห็น สิ่งที่ศรหรือประเทศไทยพอจะทำได้ตอนนี้ก็เพียงแต่ ตักตวงความหวังที่มาจากก้นบึ้งในจิตใจ ต่อให้มันจะมีน้อยนิดถ้าเทียบกับคนอื่นๆที่เหมือนจะได้รับการสนับสนุนการผลักดันมากกว่า(ประเทศอื่นๆที่คนเขาสามัคคีผลักดันชาติตัวเองกัน) ก็ต้องยอมรับความจริงและเดินหน้าต่อไป แม้ว่าสุดท้ายศรจะทำได้เพียงพึ่งพาตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าอยากเดินไปข้างหน้าหรือไปอยู่ในอนาคตที่กว่าก็ต้องเริ่มก้าวออกไปดู ต่อให้ก้าวของเราจะเชื่องช้าแค่ไหน ก็ยังดีกว่าไม่เริ่มทำอะไรเลย..
หนังเรื่องนี้ผมคิดว่าลำดับภาพตัดต่อและการกำกับภาพค่อนข้างดีมาก บรรยากาศของเรื่องก็ดูเรียล ดูธรรมชาติ ไม่เหมือนการแสดง แต่เหมือนกับเราไปสำรวจชีวิตจริงๆของคนกลุ่มนี้ แม้ว่าหนังจะดำเนินเรื่องค่อนข้างเอื่อยและอาจเรียกได้ว่าน่าเบื่อน่าง่วงหากเทียบกับหนังสายเมนสตรีม แต่เราจะพบว่าจริงๆแล้วภาพยนตร์มันเป็นศิลปะที่ให้อะไรมากกว่าแค่ความบันเทิง บางทีคุณค่าของศิลปะอาจไม่ได้แปลว่าต้องสนุกเสมอไป หากแต่การที่เราสามารถรับรู้สารบางอย่างที่คนทำต้องการจะสื่อออกมาได้อย่างครบถ้วนต่างหาก
รอบนี้เพราะมีQ&Aและยังมีในทุกๆรอบ จึงมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้กำกับจึงทำให้ผมได้ให้เกรดจาก B เป็น B+ เพราะเราเข้าใจในคนทำมากขึ้น เนื่องด้วยครูสืบเองก็เคยเป็นเด็กจากบ้านนอกแต่ต้องสู้ชีวิตไต่เต้ามาทำหนังอยู่ในเมืองและพยายามแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า แต่หลายครั้งเหมือนกับว่าเราติดหล่มอยู่ครึ่งๆกลางๆ เรื่องนี้อาจจะช่วยตอกย้ำว่า ถ้าหากเราอยู่ในหล่มนั้น ก็อย่าสูญเสียความหวัง เพราะความหวังจะช่วยผลักดันให้เรามีชีวิตต่อ และอย่าสูญเสียความรัก เพราะสุดท้ายคนใกล้ตัวเรา ครอบครัวเรา บ้านของเรา แม้กระทั่งตัวเราก็สามารถก่อให้เกิดความรักที่จะไปเติมพลังความหวังให้เราใช้ชีวิตได้เช่นกัน ขอเป็นกำลังใจให้ครูสืบ ศร และประเทศไทย(+คนไทย).
สุดท้ายนอกเรื่องหน่อย ขอฝากคลิปข่าวและเบื้องหลังของหนังสั้นธีสิสที่มีโอกาสได้ทำกับเพื่อนๆและกำลังจะออนไลน์ในยูทูปเร็วๆนี้
ชื่อเรื่องว่า "แพรว" เป็นหนังสั้นที่สร้างโดยได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงกรณีที่ไฮโซหญิงนามหนึ่งขับรถชนคนเสียชีวิตครับ
ถ้าสนใจลองติดตามรายละเอียดได้ในเพจและรูปด้านล่างน่ะครับ
มีตัวอย่าง"วังพิกุล"มาให้ชมครับ
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
ไปดูมาแล้ว!! หนังไทยอินดี้ที่ว่าด้วยชีวิตที่ตามหาความหวัง "วังพิกุล"
No.19
จั่วหัว : หนังไทยอินดี้ ที่เล่าเรื่องราวชีวิตบ้านๆได้อย่างมีนัยยะที่น่าสนใจ..ด้วยความจริงใจ
Village of Hope : วังพิกุล
คมนิด จี๊ดเลย : เพราะความหวัง ชีวิตเราจึงยังขับเคลื่อนต่อ และเพราะความรัก จึงทำให้โลกนี้ยังคงน่าอยู่
Napat's Rating : (B+) , 8.5 /10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : ก่อนอื่นสำหรับใครที่ยังไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ ต้องแนะนำก่อนครับว่านี่คือหนังไทยอิสระนอกกระแส พูดง่ายๆก็คือเป็นหนังอินดี้ ซึ่งจะมีแนวทางการเล่าเรื่องที่แตกต่างไปจากฟอร์มหนังสายเมนสตรีมหรือสายปกติที่ฉายทั่วไปตามโรง หนังเรื่องนี้ฉายที่ลิโด้ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ เป็นหนังของอาจารย์สืบ บุญส่ง นาคภู่ นักทำหนังที่อยู่ในวงการหนังอิสระมาอย่างยาวนาน รอบนี้เรียกได้ว่าเป็นการนำการจำลองชีวิตของแกมาทำเป็นหนังเลยก็ว่าได้ โดยมีนักแสดงนำเป็นญาติพี่น้องของแกรับบทนำของเรื่องเลยทีเดียว
ตัวหนังได้ดำเนินเรื่องไปด้วยโทนภาพลักษณะขาวดำ โดยมีตัวเอกที่ชื่อว่า ศร เด็กวัยรุ่นตอนปลายที่เหมือนว่าชีวิตกำลังอยู่ในจุดครึ่งๆกลางๆ เหมือนกับวัยของเขาที่จะเด็กก็ไม่ใช่เด็ก จะโตก็รู้สึกยังไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆเสียที
ครอบครัวของศรนั้นมีปัญหา บ้านแตกแยกกัน โดยที่ในหนังจะมีฉากที่แสดงให้เห็นว่าศรพยายามรำลึกถึงครอบครัวของเขาและใจก็คงอยากให้กลับมารักกันเหมือนเดิม ทว่าในความฝันที่เขาถวิลหา อีกด้านหนึ่งบนโลกแห่งความจริงนั้นเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและญาติพี่น้องที่ต่างคาดหวังให้เขาเติบโตและหาอนาคตที่ดีให้กับชีวิต โดยที่อาจไม่มีใครเข้าใจเลยว่าจริงๆแล้วศรต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร
บางทีเขาอาจเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนเล็กๆคนหนึ่งในสายตาของคนรอบตัว และหลายครั้งก็เหมือนว่าเขานั้นถูกมองข้ามไป มีฉากที่น่าสนใจฉากหนึ่งที่เป็นการเปรียบเปรยให้ห็นชีวิตของเด็กกรุงและเด็กบ้านนอกอย่างเขาแบบทางอ้อม เมื่อน้องนาย เด็กชายจากเมืองกรุงผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับศรมาเยี่ยมที่บ้านเกิดในสุโขทัย ทุกคนต่างให้ความสนใจกับน้องนายไม่ว่าน้องจะทำอะไร ต่อให้จะทำเพียงแค่เต้นกังนัมก็ตาม เห็นได้ว่าลึกๆสิ่งที่ศรปรารถนาอาจจะเป็นการที่เขาได้รับความสำคัญ มีคนเห็นอกเห็นใจเขาบ้างก็เป็นได้ เพราะถ้าเราได้รับความรักความสำคัญ ความเอาใจใส่จากคนรอบข้างมากเพียงพอ มันก็จะต่อเติมความหวังให้เราอยากมีชีวิตต่อ เดินไปข้างหน้า และทำในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างเป็นสุข เหมือนกับที่ทุกคนต่างปรบมือชอบใจกับการแสดงของน้องนาย แล้วน้องนายก็พลอยมีความสุขไปด้วย
แต่ทว่าโลกของเรามันไม่ได้ง่ายๆขนาดนั้น ไม่ได้สุขขนาดนั้นสำหรับทุกคน โลกนี้ยังมีคนอย่างศรอยู่ ถ้าจะให้ผมเปรียบเปรยกับอะไรสักอย่าง ก็อยากจะเปรียบศรให้เหมือนกับประเทศไทยในตอนนี้ก็แล้วกัน
ลองคคิดตามดูเล่นๆก็ได้ ศรไปข้างหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่ได้ อยู่แบบครึ่งๆกลางๆแบบนี้ เพราะบ้านแตกแยกหย่าร้างกัน(สมมติว่าพ่อสีหนึ่ง แม่ก็อีกสีหนึ่งจนแตกคอกัน) ใจนึงศรก็ถวิลหาอดีตที่มีความสุข(เหมือนช่วงเวลาก่อนที่เราจะทะเลาะกัน) แต่ก็รู้ว่ามันคงเป็นไปได้ยาก เขาก็จึงพยายามก้าวต่อไป และก็ในระหว่างที่เขาพยายามจะเดินไป ทุกคนต่างคาดหวังแต่ไม่มีใครเข้าใจเขาสักคน(เหมือนกับเราต่างบอกว่าอยากให้ประเทศไทยไปข้างหน้า ให้เจริญขึ้น ดีขึ้น สามัคคีสมานฉันท์ ร้อยแปดพันเก้า แต่ทุกวันนี้เราก็ดีกันแต่พูด แต่เราก็ไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย ก็ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เหยียดหยาม อิจฉา โกงกิน ทะเลาะเบาะแว้งต่างๆนานาอยู่เหมือนเดิม โดยที่ปากยังบอกว่าอยากให้ประเทศไปข้างหน้า) สุดท้ายก็ไม่มีใครเข้าใจศร หนำซ้ำยังถูกเปรียบกะเด็กกรุง (คิดง่ายๆว่าเด็กกรุงเป้นเหมือนตัวแทนของคนต่างประเทศที่คนไทยมักชอบเห่อ ยิ่งพอเด็กเต้นกังนัม ก็อาจเปรียบให้เห็นว่าคนไทยต่างคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมเกาหลีหรือต่างประเทศ หรือของนอกทุกๆอย่างนั่นแหละ จนลืมรากเหง้าที่จริงของเราไป)
สุดท้ายเมื่อถูกลืม และไม่มีใครมองเห็น สิ่งที่ศรหรือประเทศไทยพอจะทำได้ตอนนี้ก็เพียงแต่ ตักตวงความหวังที่มาจากก้นบึ้งในจิตใจ ต่อให้มันจะมีน้อยนิดถ้าเทียบกับคนอื่นๆที่เหมือนจะได้รับการสนับสนุนการผลักดันมากกว่า(ประเทศอื่นๆที่คนเขาสามัคคีผลักดันชาติตัวเองกัน) ก็ต้องยอมรับความจริงและเดินหน้าต่อไป แม้ว่าสุดท้ายศรจะทำได้เพียงพึ่งพาตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าอยากเดินไปข้างหน้าหรือไปอยู่ในอนาคตที่กว่าก็ต้องเริ่มก้าวออกไปดู ต่อให้ก้าวของเราจะเชื่องช้าแค่ไหน ก็ยังดีกว่าไม่เริ่มทำอะไรเลย..
หนังเรื่องนี้ผมคิดว่าลำดับภาพตัดต่อและการกำกับภาพค่อนข้างดีมาก บรรยากาศของเรื่องก็ดูเรียล ดูธรรมชาติ ไม่เหมือนการแสดง แต่เหมือนกับเราไปสำรวจชีวิตจริงๆของคนกลุ่มนี้ แม้ว่าหนังจะดำเนินเรื่องค่อนข้างเอื่อยและอาจเรียกได้ว่าน่าเบื่อน่าง่วงหากเทียบกับหนังสายเมนสตรีม แต่เราจะพบว่าจริงๆแล้วภาพยนตร์มันเป็นศิลปะที่ให้อะไรมากกว่าแค่ความบันเทิง บางทีคุณค่าของศิลปะอาจไม่ได้แปลว่าต้องสนุกเสมอไป หากแต่การที่เราสามารถรับรู้สารบางอย่างที่คนทำต้องการจะสื่อออกมาได้อย่างครบถ้วนต่างหาก
รอบนี้เพราะมีQ&Aและยังมีในทุกๆรอบ จึงมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้กำกับจึงทำให้ผมได้ให้เกรดจาก B เป็น B+ เพราะเราเข้าใจในคนทำมากขึ้น เนื่องด้วยครูสืบเองก็เคยเป็นเด็กจากบ้านนอกแต่ต้องสู้ชีวิตไต่เต้ามาทำหนังอยู่ในเมืองและพยายามแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า แต่หลายครั้งเหมือนกับว่าเราติดหล่มอยู่ครึ่งๆกลางๆ เรื่องนี้อาจจะช่วยตอกย้ำว่า ถ้าหากเราอยู่ในหล่มนั้น ก็อย่าสูญเสียความหวัง เพราะความหวังจะช่วยผลักดันให้เรามีชีวิตต่อ และอย่าสูญเสียความรัก เพราะสุดท้ายคนใกล้ตัวเรา ครอบครัวเรา บ้านของเรา แม้กระทั่งตัวเราก็สามารถก่อให้เกิดความรักที่จะไปเติมพลังความหวังให้เราใช้ชีวิตได้เช่นกัน ขอเป็นกำลังใจให้ครูสืบ ศร และประเทศไทย(+คนไทย).
สุดท้ายนอกเรื่องหน่อย ขอฝากคลิปข่าวและเบื้องหลังของหนังสั้นธีสิสที่มีโอกาสได้ทำกับเพื่อนๆและกำลังจะออนไลน์ในยูทูปเร็วๆนี้
ชื่อเรื่องว่า "แพรว" เป็นหนังสั้นที่สร้างโดยได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงกรณีที่ไฮโซหญิงนามหนึ่งขับรถชนคนเสียชีวิตครับ
ถ้าสนใจลองติดตามรายละเอียดได้ในเพจและรูปด้านล่างน่ะครับ
มีตัวอย่าง"วังพิกุล"มาให้ชมครับ
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ