ยิ่งลักษณ์ ยิ้มเย้ยยุทธจักร ตอน ความอ่อนโยน คือ ดาบเล่มหนึ่ง ( เก้า ) เปรมอยู่รู ปูอยู่ตึก ( 2 )

ท่านที่เคารพรักครับ มืดเหมือนช่องว่างระหว่าง ดาวกับดาวที่ไร้เดือนบนท้องฟ้า....

เวลานี้สายลมตะวันออก กำลังโชยพัดมาเหมือนจะร่วมเป็นสักขีพยานว่า อนาคตประเทศที่รักยิ่งของเรากำลังมาถึงทางแยก
อันเป็นทางแพร่งที่ซับซ้อนและเหลื่อมล้ำกันของคำว่า อุดมการณ์อีกครั้ง

คนเขียนหนังสือเล็กๆคนหนึ่ง ไม่มีอะไรภูมิใจมากไปกว่าคำว่า เขียนเพื่ออุดมการณ์  ไม่ได้มุ่งหวังค่าตอบแทนใดๆ แม้สักอัฐ เฟื้อง สลึง
มีแต่ความภูมิใจ ว่าได้ลงมือเขียนต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร มาตั้งแต่ปี 49   ท่ามกลางการควบคุมเข้มงวดกวนขัดทุกสื่อของทหาร  

ผมเขียนคอลัมภ์หนังสือพิมพ์แจกฟรีในนามกลุ่ม " คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ "  เขียนแจกฟรีทุกวันเสาร์ที่มีไฮปาร์คที่ท้องสนามหลวงและมีประชาชนไปร่วมชุมนุมมากขึ้นเรื่อยๆ  เวทีเราตั้งข้างๆ เวทีกลุ่ม พิราปขาว ของ นพวุจ

ยุคนั้นเราเชื่อกันว่า " คลื่นใต้น้ำ " จะรุนแรงและกระเพื่อมเป็นคลื่นใหญ่ เพื่อขับไล่เผด็จการที่มาจากรัฐประหาร จนได้สักวัน  
ก็อะไรจะยิ่งใหญ่ ไปกว่าพลังของประชาชนเล่า  นายบังสนธิ ทหารที่ไม่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีใดๆ ในสายตาประชาชน

ความเชื่อมั่นแปรเปลี่ยนเป็นศรัทธา และความศรัทธาจะปรากฏปาฏิหาริย์ ว่า ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง แผ่นดินนี้ เผด็จการมันต้องหมดไป และระบอบประชาธิปไตยต้องมาแทนที่ อย่างเต็มใบ

เวทีคนวันเสาร์ มีเงาร่างของ ไม้หนึ่ง ก. กุนที ยืนผงาดล้อแสงไฟ อ่านบทกวีของเขาบ้าง บางครั้งที่เขามา
ส่วน " นักเลงโบราณ " อยู่หลังเวที ด้านหน้านั้น " สีไม้ " เดินแจกแผ่นพับ  ส่วน " นายจันทน์มาแล้ว "   สอดส่ายสายตาคมกริบไปทั่ว
ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่กร้านโลก ผ่านมาตั้งแต่ยุค ตุลา มาพฤษภา ทำให้เขาพอดูออกว่า
คนที่ผ่านเข้ามาในเรด้าของเขา มุ่งมาที่เวทีนั้น ใครมาดี ใครมาร้าย ใครสายเหยี่ยว สายพิราป

" ประชาชนของคุณคือคนไหน  คนสมบูรณ์หน้าใสใส่เสื้อ........
คนเสื้อแดงมอมแมมแสนฝืดเคือง คนเซื่องซึมจรจัดขาดอาภรณ์

ความเป็นชาติของคุณอยู่ที่ตรงไหน สิเนรุอำไพเผือกสิงขร
เราคือฐานพีระมิดประชากร   กัดกร่อนเราคุณก็ล้มลง

ผมอยากชวนพวกคุณไปสนามหลวง  ที่สำคัญของปวงไทสยาม
สัมผัสดินดิบด้านผ่านเคี่ยวกรำ  เลี้ยงแถวแนวมะขามละลานตา

ช่างเหมือนกับมวลประชามหาศาล  ผู้หยาบกร้านพันธุ์ต่ำแต่ล้ำค่า
คือเข็มรากฐากหลักนัครา   ปลูกผลิตเนื้อผักปลาข้าวของจริง "
                         ฯลฯ

กลุ่มคนวันเสาร์สลายไป หลังจากมีการเลือกตั้ง  คนเขียนหนังสือก็ยังคงมีพื้นที่เขียนในหนังสือ เรดนิวส์เรื่อยมา
ผ่านยุคสมัคร สมชาย มายุค มาร์คเป็นนายกฯมีสาทิตย์คุมสื่อ ผมต้องพเนจรไปเขมร สองปี

จนล่วงเข้าสู่ยุคคุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งบรรยากาศแห่งความชื่นมื่น ที่คุณยิ่งลักษณ์วางตัว เชื่อมไมตรีกับกองทัพ และเชื่อมไปถึงเปรม
ใครๆก็คิดว่า ประเทศไทย จากนี้ไปคงถึงเวลาพัฒนาประเทศได้เสียที  

คำว่าแก้ไข ไม่แก้แค้น คำว่า ปรองดอง ไม่ปองร้ายเป็นนโยบายหลัก แม้จะโดนท้วงติงจากกุนซือรอบตัวท่านทักษิณบ้างว่า

" อย่าไว้ใจ นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา "  คนๆนี้ชำชอง เชี่ยวชาญตำรับ ตำราพิชัยสงคราม กลอุบายการศึก รบและจัดการมาอย่างโชกโชน

คำถามมีว่า เขาจัดการใคร ?

บางทีการไม่รู้คำตอบ น่าจะดีกว่าการรู้คำตอบ เพราะ มนูญ อาทิตย์ สุจินดา ชวลิต คนเหล่านี้ล้วนแต่เคยเคียงข้าง ร่าเริง ยิ้มหัว กันมาทั้งนั้น  
คำเตือนว่า อย่าประมาท แต่ท่านทักษิณเหมือนลดบทบาทมวลชนคนเสื้อแดง และบอกว่า จะไม่โฟนอินมาอีก เพื่อต้องการให้แผ่นดินสงบ ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย จะไม่มีเหลือง ไม่มีแดง อีกต่อไปแล้ว

นี่คือความตั้งใจที่ดี ของคนเป็นนักการเมือง ที่มุ่งหวังให้ประเทศชาติ สงบและเจริญ แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปได้เหรอ  เพราะนี่คือ " การเมืองแบบไทยๆ " ไม่มีมาตรฐานใดๆเหมือน

ซึ่งทุกคนลงความเห็นว่า ท่านทักษิณ ไม่เด็ดขาด ใจอ่อน ไม่ตีเหล็กเวลาร้อน
รอมชอมนุ่มนวลจนเกินไปกับกองทัพและอำนาจเก่าฝ่ายตรงข้าม แต่นี่คือ ลักษณะพิเศษของคนเหนือก็ว่าได้ และเป็นลักษณะของ คนไทย

มีแต่คนหนุ่ม คนสาวเท่านั้น ที่มองไปถึงอนาคต ส่วนคนเฒ่า คนแก่ จ่อมจมอยู่แต่กับอดีต ......


แต่ความห่วงใยในวันนั้น ได้เกิดขึ้นจริงๆ ในสองปี เก้าเดือน สองวัน

สองปี เก้าเดือน สองวัน

ซึ่งคนที่ล่วงรู้กลลวง นิรโทษกรรม ที่เจรจาวงใน ต่างรู้ว่า กลยุทธที่คุณยิ่งลักษณ์กำลังโดนอยู่เวลานี้ อำมหิต จริงๆ

ความเป็นพี่เป็นน้อง ที่ผูกพัน ตัดไม่ตาย ขายไม่ขาด ท่านทักษิณจะปล่อยคุณยิ่งลักษณ์ ให้อยู่ในสภาพนี้ไม่ได้


ณ เวลานี้ เค้ารางความรุนแรง ปรากฏมากขึ้นกว่าเดิมนัก จนจะเรียกกันได้ว่า กลียุคตามด้วยมิคสัญญีนั้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ตราบใดที่ เปรมและคุณยิ่งลักษณ์ สองผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเวลานี้ ตกอยู่ในสภาพ ผู้กระทำและฝ่ายหนึ่ง ถูกกระทำ

อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม


ท่านที่เคารพรักครับ มีคำพูดตามสำนวนของท่านโกวเล้ง คำพูดหนึ่งที่ว่า  

......บนเรือนร่างของทุกคน ต่างก็มีเชือก  เส้นที่มองไม่เห็นอยู่เส้นหนึ่ง
ในชั่วชีวิตส่วนใหญ่ของผู้คน ต้องถูกพันธนาการ ด้วยเชือกที่มองไม่เห็นเส้นนี้ .....

ผมเรียกเชือกเส้นนี้ว่า ชะตากรรม   ซึ่งใครคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้ว่า ชะตากรรมแบบปล่อยไปตาม ยถากรรม

จุดจบก็คือ โศกนาฏกรรมของประเทศ


เวลานี้ เมื่อกระบวนการแสดงละครกดดันจนต้องเลือก ประธาน วุฒิสภาเสร็จสิ้นลงแล้ว และเสียง 3 ใน 5 ก็ไม่ใช่ปัญหา ที่จะถอดถอนนายกฯ
และเมื่อมีประธาน ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะทำอะไรตามแผนที่จะเสนอรายชื่อนายกฯ ตามที่วางแผนไว้ ทุกอย่างง่ายดายจนย่ามใจว่า

ไม่มีใครขวางทางพวกมันได้

เราจะปล่อยบ้านเมืองไปตามยถากรรม ให้พวกมันย่ำยี บิดเบี้ยวกฏหมายเอาตามอำเภอใจ อย่างคึกคะนอง
จนบ้านเมืองเกิดโศกนาฏกรรมอย่างนั้นหรือ ?


เราจะยอมให้มันกดหัวเราตลอดไป อย่างนั้นหรือ เพื่อนเอ๋ย ?

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่