เมื่อลองสังเกตดูงานคูบริคจะเห็นว่ามักมีการโจมตีการปฏิบัติงานของสหรัฐฯอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ 2001: A Space Odyssey (1968) ซึ่งว่าด้วยความเห็นแก่ชัยชนะของสหรัฐฯ อีกครั้งที่ A Clockwork Orange เป็นภาพฉายของกรุงลอนดอนในเวลาอนาคต (ในระหว่างที่หนังออกฉายยังคงมีสงครามเย็น) ซึ่งถูกปกครองในระบอบประชาธิปไตยและแน่นอนเหล่าสังคมนิยมได้ถูกกวาดล้าง และสังคมก็เจริญเติบโตขึ้น(?) บนซากปรักหักพังของอีกฝ่าย (สังเกตว่าในหนังจะมีการอ้างอิงหรือมีองค์ประกอบของวัฒนธรรมของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ภาษา หรือศิลปะ) ตัวเอกเป็นวัยรุ่นเกกมะเหรกเกเร มีชีวิตอิสระเสรีดั่งใจฝัน (เป็นตัวแทนของแนวคิดเสรีนิยม) ที่ตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้ระหว่างแนวคิด (รัฐบาลและคนที่ต่อต้านรัฐบาล) เขาถูกนำมาล้างสมองและเปลี่ยนไปเป็นอีกคน (ในหนังเราสังเกตว่าเขากลายเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสม์) ราวก็เครื่องจักรที่ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกับชื่อของหนัง (Clockwork คือเครื่องจักร, Orange หรือสีส้มเป็นสีของความร่าเริง สดใหม่ นั่นคือความเป็นมนุษย์) แต่แล้วในท้ายที่สุดเขาก็กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เขาจึงเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ถูกจูงจมูกให้ไปหลงเชื่องมงายกับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง
ท่ามกลางบ้านเมืองที่ถึงแม้ฝ่ายขวาจะมีชัยเหนือฝ่ายซ้าย แต่ก็ยังคงมีคนจน ทุกข์ยาก และเป็นที่แน่ชัดว่าผลกรรมทั้งหมดจึงไปตกกับชาวบ้าน และเยาวชน (ดังเช่นตัวเอก) ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในหนังยังมีการแสดงภาพความโหดร้ายของนาซีเยอรมันซึ่งเมื่อเทียบกับโลกอนาคตที่เราเห็นจากหนังแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรต่างกัน ในมุมมองของเรากลับรู้สึกว่ามันเลวร้ายก็สมัยก่อนด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าจะไมไ่ด้เห็นความร้ายแรงของระบอบทุนนิยมอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี แต่ความร้ายแรงของมันเป็นดังคลื่นใต้น้ำที่ค่อยๆกัดเซาะตลิ่ง เยาวชนก็ถูกมอมเมาด้วยโลกเสรีที่ผิดๆ ผู้คนลงสู่ภาวะที่ไม่อาจควบคุมจิตใจตนเองได้ หลงไหลในเซ็กส์ เงินตรา และอำนาจ ดังเช่นคำพูดของตาแก่ไร้บ้านที่ดูจะสามารถอธิบายความหมายทั้งหมดของหนังซึ่งแกเอ่ยไว้ในทำนองเย้ยหยันว่า “โลกนี้มันโหดร้าย เพราะมันไม่มีกฎหมาย” แน่นอนไม่ใช่เพราะไม่มีกฎหมายหรอก แต่คนเราในสมัยนี้ถูกหลายสิ่งหลายอย่างบดบังดวงตาที่สำนึกในคุณงามความดี และถึงแม้จะมีการร่างกฎหมายขึ้นมา มันก็ไม่มีคุณค่าอะไรในสายตาคน “ในโลกอนาคต” แม้แต่น้อย
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review วิจารณ์หนัง: A Clockwork Orange {Stanley Kubrick}, 1971
เมื่อลองสังเกตดูงานคูบริคจะเห็นว่ามักมีการโจมตีการปฏิบัติงานของสหรัฐฯอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ 2001: A Space Odyssey (1968) ซึ่งว่าด้วยความเห็นแก่ชัยชนะของสหรัฐฯ อีกครั้งที่ A Clockwork Orange เป็นภาพฉายของกรุงลอนดอนในเวลาอนาคต (ในระหว่างที่หนังออกฉายยังคงมีสงครามเย็น) ซึ่งถูกปกครองในระบอบประชาธิปไตยและแน่นอนเหล่าสังคมนิยมได้ถูกกวาดล้าง และสังคมก็เจริญเติบโตขึ้น(?) บนซากปรักหักพังของอีกฝ่าย (สังเกตว่าในหนังจะมีการอ้างอิงหรือมีองค์ประกอบของวัฒนธรรมของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ภาษา หรือศิลปะ) ตัวเอกเป็นวัยรุ่นเกกมะเหรกเกเร มีชีวิตอิสระเสรีดั่งใจฝัน (เป็นตัวแทนของแนวคิดเสรีนิยม) ที่ตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้ระหว่างแนวคิด (รัฐบาลและคนที่ต่อต้านรัฐบาล) เขาถูกนำมาล้างสมองและเปลี่ยนไปเป็นอีกคน (ในหนังเราสังเกตว่าเขากลายเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสม์) ราวก็เครื่องจักรที่ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกับชื่อของหนัง (Clockwork คือเครื่องจักร, Orange หรือสีส้มเป็นสีของความร่าเริง สดใหม่ นั่นคือความเป็นมนุษย์) แต่แล้วในท้ายที่สุดเขาก็กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เขาจึงเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ถูกจูงจมูกให้ไปหลงเชื่องมงายกับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง
ท่ามกลางบ้านเมืองที่ถึงแม้ฝ่ายขวาจะมีชัยเหนือฝ่ายซ้าย แต่ก็ยังคงมีคนจน ทุกข์ยาก และเป็นที่แน่ชัดว่าผลกรรมทั้งหมดจึงไปตกกับชาวบ้าน และเยาวชน (ดังเช่นตัวเอก) ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในหนังยังมีการแสดงภาพความโหดร้ายของนาซีเยอรมันซึ่งเมื่อเทียบกับโลกอนาคตที่เราเห็นจากหนังแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรต่างกัน ในมุมมองของเรากลับรู้สึกว่ามันเลวร้ายก็สมัยก่อนด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าจะไมไ่ด้เห็นความร้ายแรงของระบอบทุนนิยมอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี แต่ความร้ายแรงของมันเป็นดังคลื่นใต้น้ำที่ค่อยๆกัดเซาะตลิ่ง เยาวชนก็ถูกมอมเมาด้วยโลกเสรีที่ผิดๆ ผู้คนลงสู่ภาวะที่ไม่อาจควบคุมจิตใจตนเองได้ หลงไหลในเซ็กส์ เงินตรา และอำนาจ ดังเช่นคำพูดของตาแก่ไร้บ้านที่ดูจะสามารถอธิบายความหมายทั้งหมดของหนังซึ่งแกเอ่ยไว้ในทำนองเย้ยหยันว่า “โลกนี้มันโหดร้าย เพราะมันไม่มีกฎหมาย” แน่นอนไม่ใช่เพราะไม่มีกฎหมายหรอก แต่คนเราในสมัยนี้ถูกหลายสิ่งหลายอย่างบดบังดวงตาที่สำนึกในคุณงามความดี และถึงแม้จะมีการร่างกฎหมายขึ้นมา มันก็ไม่มีคุณค่าอะไรในสายตาคน “ในโลกอนาคต” แม้แต่น้อย
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง https://www.facebook.com/survival.king