๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ กรณีศึกษาแบบมวยวัด ที่เคยโพสต์มาหลายครั้งแล้ว

กระทู้สนทนา
เพื่อนสมาชิกที่ถามคำถามไว้ในกระทู้นี้

http://pantip.com/topic/32010482


ได้ถามเพิ่มเติมมาดังนี้



+


คำถาม


อยากให้เฮียเล่าประสบการณ์ ตัว PB เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ ให้ฟังด้วยครับ
ช่วงราคาที่ซื้อ เงินปันผล ทำคลายเครียด.......


คำตอบ


งวดนี้ขอเล่าย้อนหลังไปถึงจุดเริ่มต้น
เข้าใจว่า  ผมน่าจะได้รับอิทธฺิพลแนวความคิดของปีเตอร์ ลินซ์มาพอสมควร
เพราะเคยอ่าน once upon a time on wallstreet  ฉบับภาษาอังกฤษแบบว่า
มีคนจ้างให้แปลเป็นไทย  เพื่อจะตีพิมพ์  ลงท้ายไม่ได้ตีพิมพ์ เพราะติดปัญหาเรื่องจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

จำได้ว่าในหนังสือ  ปีเตอร์ ลินซ์ เน้นไปที่หุ้นที่เรารู้จักในชีวิตประจำวัน  และสามารถหาข้อมูล จากชีวิตจริงได้ง่ายๆ

ก็เลยซื้อหุ้นกลุ่มอาหารของสหพัฒน์เอาไว้

เริ่มจาก tf  ขายมาม่าเส้นเหลืองที่ใครๆก็รู้จัก   แล้วหันมาซื้อ PR  ขายมาม่าเส้นขาว ที่มีแต้มต่อด้านราคาหุ้น
สมัยนั้น เล่นแบบมวยวัดมาก   วัดเอาแต่ราคาหุ้น   โดยไม่ดูที่มาของราคาหุ้น
เห็นถูกกว่าก็ซิ้อ  แล้วก็ถือ  ตามความสามารถที่ทำได้ดีที่สุด

รอบแรก  ที่เข้าไปซื้อแล้วขาย  น่าจะเป็นไปตามภาพประกอบ
โดยระหว่างทาง  ก็มีซื้อๆขายๆบ้าง  แต่เก็บอันที่ซื้อถูกที่สุดเอาไว้

ในตอนนั้น หุ้นส่วนใหญ่จะมีพาร์ ๑๐๐ บาท  ถ้าเป็นราคาซื้อตอนนี้ ให้เอา ๑๐๐ หารราคาหุ้น




พอดีน่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า หุ้นถูกโฉลก  คือผมค่อนข้างถูกโฉลกกับหุ้นกลุ่มอาหาร
พอขายรอบแรกไปแล้ว  ก็หยุดไปนาน  มาซื้ออีกที  น่าจะหลังฟองสบู่แตก

ราคาหุ้น พีอาร์ ประมาณ ยี่สิบบาท  จากพาร์สิบบาท  
ผมไปพลิกดูซองมาม่าเส้นขาวตามห้าง   วันผลิต จนวันที่มาวางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ต
จากที่เคยห่างกันไม่ต่ำกว่า สามเดือน  กลายเป็นว่า ห่างกันเหลือแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือน
แสดงว่า  ฟองสบู่แตก  คนไม่มีเงิน ก็ต้องกินของถูกที่สุด  หาง่ายที่สุดมากยิ่งขึ้น
ทำให้ยอดขายมาม่าพุ่งกระฉูด

ก็ถือพีอาร์มาเรื่อยๆ   จนกระทั่งมีฟาร์มเฮ้าส์เข้าตลาด
ตามนโนบาย โตแล้วแตก  แตกแล้วโต  ของนายห้างเทียม   สุดยอดอัจฉิริยะด้านการตลาด

ไอพีโอของฟาร์มเฮ้าส์ที่ ๒๕ บาท  จากพาร์สิบบาท  ทำราคากันได้เต็มที่แค่ ๒๘ บาทเท่านั้น

นิสัยแบบขอบเปรียบเทียบแต้มต่อราคาหุ้น เริ่มทำงานแบบมวยวัด  ฮาฮา

แล้วก็จัดการเปลี่ยนหุ้นตามภาพประกอบข้างใต้

๑ หุ้นพีอาร์  แลกได้ ๓ หุ้นพีบี  โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม




แล้วก็ทะยอยซื้อเพิ่มมาเรื่อยๆ  จนมาหยุดซื้ออยู่ที่ ราวๆสี่สิบกว่าบาทจากพาร์สิบ
ที่เปลี่ยนตัว  เพราะมาม่าเป็นสินค้าควบคุม  ส่วนฟาร์มเฮ้าส์ไม่ใชสินค้าควบคุมราคา

แถมแด็กส์ด่วนกว่ามาม่าอีก แค่ฉีกซองก็กินได้แล้ว มาม่ายังต้องชงน้ำร้อน

พอมีคนทำราคาพีบี ขึ้นไปถึงประมาณ เจ็ดสิบบาท ก็เลยขายทิ้งเอาทุนคืนก่อน
ถ้าเป็นราคาตอนนี้  ก็คงจะต้องบอกว่า  เป็นการขายหมูครั้งมโหฬารมาก
แถมยังขายบางส่วน เอาเงินไปจองหุ้นเพิ่มทุนที่ สี่สิบบาท จากพาร์สิบบาท  เพราะไม่ต้องการจะควักเงินเพิ่ม
ตอน ifec  เพิ่มทุน ก็ใช้วิธีเดียวกัน

เท่ากับว่าหุ้น พีบีที่เหลือตอนนี้ เป็นหุ้นที่ไม่มีต้นทุน  และได้กำไรส่วนต่างราคาหุ้นและปันผลสะสมมาอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่แน่ใจว่า เฉพาะปันผลสะสม ได้เกินราคาหุ้นหรือยัง ไม่ได้นับ อมยิ้ม16อมยิ้ม16

เหตุที่ไม่ยอมขายทิ้ง   ทั้งๆที่ราคาหุ้น  ไม่ค่อยจะคุ้มกับยีลด์ปันผล
เป็นเพราะตัดใจขายไม่ลง

ตัวชี้วัดที่จะใช้ในการขายหุ้นทิ้งหรือไม่   มันอยู่ครบทั้งสามตัวเลย

๑  รายได้เพิ่มขึ้นทุกปี

๒ กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี

๓  เงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี

ก็ถือว่าพลาดโอกาส  ทำเงินมายาหายไปเกือบสองล้าน
ตอนที่มีคนปั่นขึ้นไปถึง หกสิบกว่าบาทแล้วไม่ได้ขาย เศร้าเศร้า



+
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่