โดย : ชาลินี กุลแพทย์
เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว“กลุ่มสื่อสาร-ลิสซิ่ง-ค้าปลีก-รับเหมา-พลังงาน-ปิโตรเคมี-อาหาร”จะเปลี่ยนจาก “ดาวร่วง” เป็น “ดาวรุ่ง” ในช่วงครึ่งปีหลัง
บริษัทจดทะเบียนรายใดจะเป็น “ดาวเด่น-ดาวร่วง” ท่ามกลาง “ปัจจัยลบ” รุมเร้ารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเมืองที่ยืดเยื้อมา 7 เดือน กำลังซื้อที่หดตัว และราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ เป็นต้น “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” มีคำตอบ
“ป๋อง-สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) วิเคราะห์ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “ดาวเด่นในเชิงราคาหุ้น” ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 อันดับหนึ่งต้องยกให้ “หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้วเฉลี่ย 20-25 เปอร์เซ็นต์
รองลงมา คือ “กลุ่มสถาบันการเงิน” ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ และ “กลุ่มอสัหาริมทรัพย์” ที่ขยับขึ้นมา 20 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นทั้ง 3 กลุ่ม ส่วนใหญ่ดีดกลับมาเท่ากับช่วงที่เคยปรับตัวลดลงไปเกินกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น
สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นเด้งกลับมา เกิดจากเมื่อช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มเหล่านี้ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ P/E ค่อนข้างมาก หลังนักลงทุนกังวลว่า ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเมืองที่วุ่นวายจะส่งผลให้ผลประกอบการของทั้ง 3 กลุ่มแย่ แต่ปัจจุบันความกลัวเหล่านั้นนั้นค่อยๆบรรเทาอาการลงจนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาซื้อขายบนค่าเฉลี่ยของ P/E ณ จุดเดิม
เขา บอกว่า งบการเงินไตรมาสแรกปี 2557 ของกลุ่มสถาบันการเงินเติบโตประมาณ 5-8 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าออกมาดีกว่าที่คิด เดิมเราค่อนข้างเป็นห่วงกลุ่มนี้ กลัวว่าจะมีหนี้เสียจำนวนมาก กลัวแบงก์ตั้งสำรองเยอะ และกลัวแบงก์ปล่อยสินเชื่อได้น้อย แต่ผลที่ออกมาดันเกิดขึ้นกับธุรกิจสินเชื่อรถยนต์เท่านั้น
แต่จะไปโทษภาวะเศรษฐกิจอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะการที่งบการเงินของผู้ประกอบการสินเชื่อรถยนต์ออกมาไม่ค่อยดี เกิดจากโครงการรถยนต์คันแรก ดังนั้นหากตัดเรื่องแบงก์ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ออกไป ถือว่ากลุ่มสถาบันการเงินเติบโตอยู่ในทิศทางที่เคยวิเคราะห์ไว้
ส่วน “ดาวเด่นในแง่งบการเงิน” จริงๆตอนนี้ยังทำบทวิเคราะห์ไม่เสร็จ แต่เชื่อว่า “กลุ่มวัสดุก่อสร้าง” บางตัวจะโดดเด่น โดยเฉพาะบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC หลังบริษัทได้รับแรงหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมี ขณะที่ธุรกิจกระดาษไม่ค่อยดี ส่วนธุรกิจปูนซิเมนต์ทรงตัว อีกบริษัท คือ บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ หรือ TASCO
นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มอาหาร” คือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF “กลุ่มสื่อสาร” คือ บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย หรือ SIM, บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น หรือ SAMART “กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์” คือ บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE บมจ.เอสวีไอ หรือ SVI
“กลุ่มเดินเรือ” คือ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ,บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง หรือ PSL และ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” คือ บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI และบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PS
“กำไรสุทธิ” ในไตรมาสแรกปี 2557 ของกลุ่มเหล่านี้น่าจะเติบโตมากกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นเพราะภายในของบริษัทปรับตัวดีขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมของแต่ละกลุ่มยังเติบโตด้วย โดยเฉพาะธุรกิจปูนซิเมนต์ที่ขยายตัวประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ธุรกิจส่งออกโตตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจสื่อสารขยายตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจอาหาร และธุรกิจเดินเรือโตตามอุตสาหกรรม ธุรกิจเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศเลย”
“สุกิจ” วิเคราะห์ต่อว่า “ดาวร่วงในเชิงราคาหุ้น” คือ “กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร” ในขณะที่ตลาดหุ้นบวก 8 เปอร์เซ็นต์ แต่กลุ่มเหล่านี้ติดลบประมาณ 4-5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ราคาหุ้น Underperform ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นถือเป็นโอกาสในการซื้อของนักลงทุน เขาส่งสัญญาณ
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นครอบครัวปตท.ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC และบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทั้ง 2 บริษัทมีปัจจัยเฉพาะตัวเข้ามากระทบพื้นฐาน แต่ในช่วงไตรมาส 2 ราคาหุ้นน่าจะดีขึ้น เพราะเขาแก้ปัญหาภายในได้แล้ว
ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี ตัวที่ฉุดให้ราคากลุ่มนี้ไม่ไปไหน ไม่ได้เกิดจากกลุ่มโอเลฟินส์ แต่มาจากกลุ่มสารพาราไซลีน หลังส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ปรับตัวลดลงจาก 400-500 เหรียญต่อตัน เหลือแค่ประมาณ 250 เหรียญต่อตัน นั่นเป็นเพราะซัพพลายออกมาค่อนข้างมาก ขณะที่ความต้องการไม่ได้หายไปไหน แต่ในช่วงไตรมาส 2 กลุ่มอะโรเมติกส์น่าจะปรับตัวดีขึ้น
ส่วน “ดาวร่วงในเชิงงบการเงิน” คือ “กลุ่มค้าปลีก” ยกเว้นบริษัทที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง หลังกำลังซื้อลดลง ส่งผลให้กลุ่มค้าปลีกเติบโตประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น บางบริษัทผลประกอบการติดลบ
ขณะเดียวกันยังมี “กลุ่มกระเบื้อง” ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะได้รับกระทบจากการบริโภคที่ลดลงเป็นหลัก นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มลิสซิ่ง” ในช่วงที่เหลือของปีนี้กลุ่มลิสซิ่งคงไม่แย่มากไปกว่านี้แล้ว ตัวสุดท้าย คือ “กลุ่มยานยนต์”
กลุ่มเหล่านี้ไม่ดี เพราะกำลังซื้อหด เขาย้ำ ถามว่าแ ล้วทำไมกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถึงดีนั่นเป็นเพราะหลายๆบริษัทยังมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ หรือ Backlog อยู่ค่อนข้างมาก เท่ากับว่าวันนี้เขากำลังเก็บของเก่ากินอยู่ ฉะนั้นธุรกิจอะไรที่ต้องหาใหม่ไม่มีของเก่าให้กินจะค่อนข้างลำบากในช่วงไตรมาสแรก
ถามถึง “ดาวเด่นในแง่ของกำไรสุทธิ” ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 “ป๋อง” เชื่อว่า กลุ่มอะไรที่เคยไม่ดีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 จะเริ่มกลับมาดีในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะ “กลุ่มสื่อสาร” ที่เกี่ยวข้องกับโมบาย รวมถึง “กลุ่มลิสซิ่ง-กลุ่มค้าปลีก-กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง”
นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มพลังงาน-กลุ่มปิโตรเคมี-กลุ่มอาหาร” หลังภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจเมืองจีน ซึ่งอาจเป็นตัวแปรหลักที่จะทำให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง เศรษฐกิจเมืองจีนไม่ต้องโต ขอแค่ทรงตัวในระดับ 7.5 เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว ที่ผ่านมาเมืองจีนเหมือนเครื่องยนต์สะดุด แต่รัฐบาลของเขาน่าจะพยายามผลักดันให้เติบโตประมาณ 7.7 เปอร์เซ็นต์
ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 เศรษฐกิจในแถบยุโรปน่าจะ “โดดเด่น” โดยประเทศที่มีปัญหาจะเริ่มกลับมา วันนี้ยุโรปรัดเข็มขัดมาจนถึงจุดที่พอแล้ว เห็นได้จากตัวเลข “ขาดดุลการคลัง” วันนี้เหลือแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของ GDP นั่นแปลว่า เขากำลังจะอยู่ในโหมดผ่อนคลาย ฉะนั้นเศรษฐกิจของยุโรปจะโตเร็วมากในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557
ส่วนภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาคงเติบโตเรื่อยๆอาจอยู่ระดับ 2-2.5 เปอร์เซ็นต์ เพราะตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้มีอะไรใหม่ เขาไม่ได้ออกนโยบายอะไรมากระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้นวันนี้อเมริกากำลังเติบโตแบบ “Organic Growth” (เติบโตจากภายใน)
สำหรับมาตรการ QE ของอเมริกาภายในปี 2557 คงจะเลิกจนครบ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เห็นชอบให้ลดการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนเหลือเดือนละ 55,000 ล้านเหรียญ ส่วนตัวเลขอัตราการว่างงาน วันนี้เหลือเพียง 6.5 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าอยู่ในจุดที่โอเคแล้ว แถมการจ้างงานยังเพิ่มขึ้นจนใกล้จะกลับไปที่เดิมแล้ว
“กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์” วิเคราะห์ต่อว่า “กำไรสุทธิ” ของกลุ่มที่กล่าวมา น่าจะขยายตัวกลุ่มละประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่หากดูภาพรวมทั้งปี 2557 กำไรสุทธิของ “กลุ่มสื่อสาร” อาจโต 30 เปอร์เซ็นต์ “กลุ่มพลังงาน” 15 เปอร์เซ็นต์ และ “กลุ่มสถาบันการเงิน” 13 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นหากมีจังหวะที่ดีนักลงทุนควรซื้อลงทุนหุ้นดังกล่าว เพื่อถือในสไตล์ของตนเอง
ส่วนตัวเชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เป็นปีที่แย่ แต่ในปี 2558 จะเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้น เพราะเราได้ผ่านช่วงลดลงมานานแล้ว ฉะนั้นถึงเวลาที่ดัชนีต้องกลับขึ้นไปแล้ว แต่จะไปได้ไกลหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการบริโภคมีข้อจำกัด อย่าลืมเมืองไทยมีหนี้สูง ฉะนั้นแบงก์ไทยคงต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ
“ตลอดปี 2557 ไม่อยากให้นักลงทุนสนใจดัชนีมากเกินไป แต่ส่วนตัวเชื่อว่า “ไม่ลงแรง ไม่ขึ้นแรง” นักลงทุนสบายใจได้ ฉะนั้นใช้เวลาไปกับหุ้นที่ตัวเองเลือกลงทุนจะดีกว่า ต่อให้การเมืองแย่ดัชนีก็ไม่มีทางหลุด 1,000 จุด ยกเว้นเกิดสงครามกลางเมือง”
“สุกิจ” ย้ำว่า เมืองไทยไม่ดีแค่ปัญหาการเมือง นอกนั้นไม่มีอะไรไม่ดีเลย เอกชนทำงาน เก่ง ต่างชาติอยากมาเที่ยวเมืองไทย แต่ในปี 2558 ของในบ้านเราคงแพงขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดี เงินเฟ้อจะวิ่งเร็ว คนมันอั้นมานาน ทุกวันนี้ผมกินข้าวบวกก๋วยเตี๋ยวและน้ำหนึ่งแก้ว ราคา 300 บาท ค่าครองชีพสมัยนี้แพงมาก
เดือนพ.ค..จังหวะดีสอยหุ้น
“สุกิจ อุดมศิริกุล” แนะนำว่า หลังเดือนพ.ค.นี้ ถือเป็นช่วงที่น่าลงทุน เพราะงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนจะประกาศครบทุกบริษัท ที่ผ่านมาราคาหุ้นขึ้นมารับข่าวผลประกอบการนาน 2-3 เดือนแล้ว ฉะนั้นหุ้นบางตัวอาจเกิดอาการ sell on fact (ขายทำกำไรเมื่อข่าวดีได้ประกาศออกมาเรียบร้อยแล้ว)
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เชื่อว่า “กำไรสุทธิ” ของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น SET INDEX ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้น่าจะอยู่ระดับ 1,440 จุด ส่วนครึ่งปีหลังดัชนีอาจยืน 1,300-1,500 จุด แต่จริงๆอาจขยับขึ้นไปได้อีก คาดว่าจะขึ้นไปยืนจุดเดิม 1,650 จุด เพราะเชื่อว่าสิ้นปี 2558 กำไรบริษัทจดทะเบียนอาจเติบโตประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์
ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 คืออะไร เขาตอบคำถามนี้ว่า ในเมืองไทยไม่มีอะไรน่ากังวลนอกจากการเมือง ป๋องย้ำ เพราะต่อให้การเมืองกลับมาปกติ เราต้องมานั่งคิดต่อว่า จะมีปัจจัยใดมาทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ แล้วรัฐบาลจะมีหน้าตาอย่างไร ที่สำคัญโมเดลปฎิรูปจะเป็นลักษณะใด หากโมเดลไม่ตรงใจคนส่วนใหญ่เรื่องคงไม่จบง่ายๆ
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ยอมรับว่าเป็นห่วงเมืองจีนที่วันนี้เศรษฐกิจยังแกว่งๆ นอกจากนั้นยังกังวลเรื่องดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกา หากเศรษฐกิจเขาฟื้นเร็วดอกเบี้ยอาจขึ้นเร็ว ด้วย ปัจจัยเหล่านี้จะมากวนตลาดเป็นพักๆ ส่วนตลาดเกิดใหม่อย่างรัสเซีย การเลือกตั้งในอินโดนีเซีย และอินเดีย อาจกระทบทั้งภูมิภาค
“สุกิจ” เล่าให้ฟังว่า เงินทุนต่างชาติเริ่มไหลมาเมืองไทยแล้วตั้งแต่เดือนก.พ.-มี.ค.57ประมาณ 20,000 ล้านบาท รวมๆทั้งปีนี้น่าจะกลับเข้ามาประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท การเมืองวุ่นวายแต่ทำไมเงินไหลมา ไม่ต้องสงสัยไป เงินส่วนใหญ่กลับมาฝั่งตลาดเกิดใหม่ ไม่ได้เข้ามาเมืองไทยคนเดียว
อันดับหนึ่งที่เงินไหลเข้ามามากที่สุด คือ ประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพราะนักลงทุนเชื่อว่าสองประเทศนี้กำลังจะดีขึ้น ที่ผ่านมาดัชนีและค่าเงินของเขาตกลงเยอะ ฉะนั้นนักลงทุนจึงมองเห็นโอกาสในการทำกำไรของค่าเงิน โดยนักลงทุนที่นำเงินเข้ามาจะเป็นกลุ่มที่คิดมาดีแล้วกับกลุ่มที่ลงทุนตามตลาด เงินส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นสถาบันการเงินและหุ้นขนาดใหญ่
ถามว่า เงินต่างชาติมีโอกาสจะไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยเท่าที่ออกไป 220,000 ล้านบาท ในช่วงเดือนพ.ค.56- ม.ค.57 หรือไม่? เขา ส่ายหัว ก่อนพูดว่า คงไม่มีโอกาสกลับมาเหมือนเดิม เพราะนักลงทุนได้โยกเงินลงทุนไปในอเมริกาและยุโรปหมดแล้ว วันนี้เมืองไทยโตน้อยกว่าประเทศอังกฤษอีกนะ
ต่อ...
ปี 57 หุ้นสื่อสาร "กำไรเด่น" "สุกิจ อุดมศิริกุล"
เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว“กลุ่มสื่อสาร-ลิสซิ่ง-ค้าปลีก-รับเหมา-พลังงาน-ปิโตรเคมี-อาหาร”จะเปลี่ยนจาก “ดาวร่วง” เป็น “ดาวรุ่ง” ในช่วงครึ่งปีหลัง
บริษัทจดทะเบียนรายใดจะเป็น “ดาวเด่น-ดาวร่วง” ท่ามกลาง “ปัจจัยลบ” รุมเร้ารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเมืองที่ยืดเยื้อมา 7 เดือน กำลังซื้อที่หดตัว และราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ เป็นต้น “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” มีคำตอบ
“ป๋อง-สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) วิเคราะห์ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “ดาวเด่นในเชิงราคาหุ้น” ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 อันดับหนึ่งต้องยกให้ “หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้วเฉลี่ย 20-25 เปอร์เซ็นต์
รองลงมา คือ “กลุ่มสถาบันการเงิน” ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ และ “กลุ่มอสัหาริมทรัพย์” ที่ขยับขึ้นมา 20 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นทั้ง 3 กลุ่ม ส่วนใหญ่ดีดกลับมาเท่ากับช่วงที่เคยปรับตัวลดลงไปเกินกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น
สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นเด้งกลับมา เกิดจากเมื่อช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มเหล่านี้ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ P/E ค่อนข้างมาก หลังนักลงทุนกังวลว่า ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเมืองที่วุ่นวายจะส่งผลให้ผลประกอบการของทั้ง 3 กลุ่มแย่ แต่ปัจจุบันความกลัวเหล่านั้นนั้นค่อยๆบรรเทาอาการลงจนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาซื้อขายบนค่าเฉลี่ยของ P/E ณ จุดเดิม
เขา บอกว่า งบการเงินไตรมาสแรกปี 2557 ของกลุ่มสถาบันการเงินเติบโตประมาณ 5-8 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าออกมาดีกว่าที่คิด เดิมเราค่อนข้างเป็นห่วงกลุ่มนี้ กลัวว่าจะมีหนี้เสียจำนวนมาก กลัวแบงก์ตั้งสำรองเยอะ และกลัวแบงก์ปล่อยสินเชื่อได้น้อย แต่ผลที่ออกมาดันเกิดขึ้นกับธุรกิจสินเชื่อรถยนต์เท่านั้น
แต่จะไปโทษภาวะเศรษฐกิจอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะการที่งบการเงินของผู้ประกอบการสินเชื่อรถยนต์ออกมาไม่ค่อยดี เกิดจากโครงการรถยนต์คันแรก ดังนั้นหากตัดเรื่องแบงก์ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ออกไป ถือว่ากลุ่มสถาบันการเงินเติบโตอยู่ในทิศทางที่เคยวิเคราะห์ไว้
ส่วน “ดาวเด่นในแง่งบการเงิน” จริงๆตอนนี้ยังทำบทวิเคราะห์ไม่เสร็จ แต่เชื่อว่า “กลุ่มวัสดุก่อสร้าง” บางตัวจะโดดเด่น โดยเฉพาะบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC หลังบริษัทได้รับแรงหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมี ขณะที่ธุรกิจกระดาษไม่ค่อยดี ส่วนธุรกิจปูนซิเมนต์ทรงตัว อีกบริษัท คือ บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ หรือ TASCO
นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มอาหาร” คือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF “กลุ่มสื่อสาร” คือ บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย หรือ SIM, บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น หรือ SAMART “กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์” คือ บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE บมจ.เอสวีไอ หรือ SVI
“กลุ่มเดินเรือ” คือ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ,บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง หรือ PSL และ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” คือ บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI และบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PS
“กำไรสุทธิ” ในไตรมาสแรกปี 2557 ของกลุ่มเหล่านี้น่าจะเติบโตมากกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นเพราะภายในของบริษัทปรับตัวดีขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมของแต่ละกลุ่มยังเติบโตด้วย โดยเฉพาะธุรกิจปูนซิเมนต์ที่ขยายตัวประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ธุรกิจส่งออกโตตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจสื่อสารขยายตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจอาหาร และธุรกิจเดินเรือโตตามอุตสาหกรรม ธุรกิจเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศเลย”
“สุกิจ” วิเคราะห์ต่อว่า “ดาวร่วงในเชิงราคาหุ้น” คือ “กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร” ในขณะที่ตลาดหุ้นบวก 8 เปอร์เซ็นต์ แต่กลุ่มเหล่านี้ติดลบประมาณ 4-5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ราคาหุ้น Underperform ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นถือเป็นโอกาสในการซื้อของนักลงทุน เขาส่งสัญญาณ
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นครอบครัวปตท.ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC และบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทั้ง 2 บริษัทมีปัจจัยเฉพาะตัวเข้ามากระทบพื้นฐาน แต่ในช่วงไตรมาส 2 ราคาหุ้นน่าจะดีขึ้น เพราะเขาแก้ปัญหาภายในได้แล้ว
ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี ตัวที่ฉุดให้ราคากลุ่มนี้ไม่ไปไหน ไม่ได้เกิดจากกลุ่มโอเลฟินส์ แต่มาจากกลุ่มสารพาราไซลีน หลังส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ปรับตัวลดลงจาก 400-500 เหรียญต่อตัน เหลือแค่ประมาณ 250 เหรียญต่อตัน นั่นเป็นเพราะซัพพลายออกมาค่อนข้างมาก ขณะที่ความต้องการไม่ได้หายไปไหน แต่ในช่วงไตรมาส 2 กลุ่มอะโรเมติกส์น่าจะปรับตัวดีขึ้น
ส่วน “ดาวร่วงในเชิงงบการเงิน” คือ “กลุ่มค้าปลีก” ยกเว้นบริษัทที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง หลังกำลังซื้อลดลง ส่งผลให้กลุ่มค้าปลีกเติบโตประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น บางบริษัทผลประกอบการติดลบ
ขณะเดียวกันยังมี “กลุ่มกระเบื้อง” ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะได้รับกระทบจากการบริโภคที่ลดลงเป็นหลัก นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มลิสซิ่ง” ในช่วงที่เหลือของปีนี้กลุ่มลิสซิ่งคงไม่แย่มากไปกว่านี้แล้ว ตัวสุดท้าย คือ “กลุ่มยานยนต์”
กลุ่มเหล่านี้ไม่ดี เพราะกำลังซื้อหด เขาย้ำ ถามว่าแ ล้วทำไมกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถึงดีนั่นเป็นเพราะหลายๆบริษัทยังมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ หรือ Backlog อยู่ค่อนข้างมาก เท่ากับว่าวันนี้เขากำลังเก็บของเก่ากินอยู่ ฉะนั้นธุรกิจอะไรที่ต้องหาใหม่ไม่มีของเก่าให้กินจะค่อนข้างลำบากในช่วงไตรมาสแรก
ถามถึง “ดาวเด่นในแง่ของกำไรสุทธิ” ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 “ป๋อง” เชื่อว่า กลุ่มอะไรที่เคยไม่ดีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 จะเริ่มกลับมาดีในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะ “กลุ่มสื่อสาร” ที่เกี่ยวข้องกับโมบาย รวมถึง “กลุ่มลิสซิ่ง-กลุ่มค้าปลีก-กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง”
นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มพลังงาน-กลุ่มปิโตรเคมี-กลุ่มอาหาร” หลังภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจเมืองจีน ซึ่งอาจเป็นตัวแปรหลักที่จะทำให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง เศรษฐกิจเมืองจีนไม่ต้องโต ขอแค่ทรงตัวในระดับ 7.5 เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว ที่ผ่านมาเมืองจีนเหมือนเครื่องยนต์สะดุด แต่รัฐบาลของเขาน่าจะพยายามผลักดันให้เติบโตประมาณ 7.7 เปอร์เซ็นต์
ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 เศรษฐกิจในแถบยุโรปน่าจะ “โดดเด่น” โดยประเทศที่มีปัญหาจะเริ่มกลับมา วันนี้ยุโรปรัดเข็มขัดมาจนถึงจุดที่พอแล้ว เห็นได้จากตัวเลข “ขาดดุลการคลัง” วันนี้เหลือแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของ GDP นั่นแปลว่า เขากำลังจะอยู่ในโหมดผ่อนคลาย ฉะนั้นเศรษฐกิจของยุโรปจะโตเร็วมากในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557
ส่วนภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาคงเติบโตเรื่อยๆอาจอยู่ระดับ 2-2.5 เปอร์เซ็นต์ เพราะตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้มีอะไรใหม่ เขาไม่ได้ออกนโยบายอะไรมากระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้นวันนี้อเมริกากำลังเติบโตแบบ “Organic Growth” (เติบโตจากภายใน)
สำหรับมาตรการ QE ของอเมริกาภายในปี 2557 คงจะเลิกจนครบ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เห็นชอบให้ลดการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนเหลือเดือนละ 55,000 ล้านเหรียญ ส่วนตัวเลขอัตราการว่างงาน วันนี้เหลือเพียง 6.5 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าอยู่ในจุดที่โอเคแล้ว แถมการจ้างงานยังเพิ่มขึ้นจนใกล้จะกลับไปที่เดิมแล้ว
“กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์” วิเคราะห์ต่อว่า “กำไรสุทธิ” ของกลุ่มที่กล่าวมา น่าจะขยายตัวกลุ่มละประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่หากดูภาพรวมทั้งปี 2557 กำไรสุทธิของ “กลุ่มสื่อสาร” อาจโต 30 เปอร์เซ็นต์ “กลุ่มพลังงาน” 15 เปอร์เซ็นต์ และ “กลุ่มสถาบันการเงิน” 13 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นหากมีจังหวะที่ดีนักลงทุนควรซื้อลงทุนหุ้นดังกล่าว เพื่อถือในสไตล์ของตนเอง
ส่วนตัวเชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เป็นปีที่แย่ แต่ในปี 2558 จะเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้น เพราะเราได้ผ่านช่วงลดลงมานานแล้ว ฉะนั้นถึงเวลาที่ดัชนีต้องกลับขึ้นไปแล้ว แต่จะไปได้ไกลหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการบริโภคมีข้อจำกัด อย่าลืมเมืองไทยมีหนี้สูง ฉะนั้นแบงก์ไทยคงต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ
“ตลอดปี 2557 ไม่อยากให้นักลงทุนสนใจดัชนีมากเกินไป แต่ส่วนตัวเชื่อว่า “ไม่ลงแรง ไม่ขึ้นแรง” นักลงทุนสบายใจได้ ฉะนั้นใช้เวลาไปกับหุ้นที่ตัวเองเลือกลงทุนจะดีกว่า ต่อให้การเมืองแย่ดัชนีก็ไม่มีทางหลุด 1,000 จุด ยกเว้นเกิดสงครามกลางเมือง”
“สุกิจ” ย้ำว่า เมืองไทยไม่ดีแค่ปัญหาการเมือง นอกนั้นไม่มีอะไรไม่ดีเลย เอกชนทำงาน เก่ง ต่างชาติอยากมาเที่ยวเมืองไทย แต่ในปี 2558 ของในบ้านเราคงแพงขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดี เงินเฟ้อจะวิ่งเร็ว คนมันอั้นมานาน ทุกวันนี้ผมกินข้าวบวกก๋วยเตี๋ยวและน้ำหนึ่งแก้ว ราคา 300 บาท ค่าครองชีพสมัยนี้แพงมาก
เดือนพ.ค..จังหวะดีสอยหุ้น
“สุกิจ อุดมศิริกุล” แนะนำว่า หลังเดือนพ.ค.นี้ ถือเป็นช่วงที่น่าลงทุน เพราะงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนจะประกาศครบทุกบริษัท ที่ผ่านมาราคาหุ้นขึ้นมารับข่าวผลประกอบการนาน 2-3 เดือนแล้ว ฉะนั้นหุ้นบางตัวอาจเกิดอาการ sell on fact (ขายทำกำไรเมื่อข่าวดีได้ประกาศออกมาเรียบร้อยแล้ว)
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เชื่อว่า “กำไรสุทธิ” ของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น SET INDEX ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้น่าจะอยู่ระดับ 1,440 จุด ส่วนครึ่งปีหลังดัชนีอาจยืน 1,300-1,500 จุด แต่จริงๆอาจขยับขึ้นไปได้อีก คาดว่าจะขึ้นไปยืนจุดเดิม 1,650 จุด เพราะเชื่อว่าสิ้นปี 2558 กำไรบริษัทจดทะเบียนอาจเติบโตประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์
ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 คืออะไร เขาตอบคำถามนี้ว่า ในเมืองไทยไม่มีอะไรน่ากังวลนอกจากการเมือง ป๋องย้ำ เพราะต่อให้การเมืองกลับมาปกติ เราต้องมานั่งคิดต่อว่า จะมีปัจจัยใดมาทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ แล้วรัฐบาลจะมีหน้าตาอย่างไร ที่สำคัญโมเดลปฎิรูปจะเป็นลักษณะใด หากโมเดลไม่ตรงใจคนส่วนใหญ่เรื่องคงไม่จบง่ายๆ
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ยอมรับว่าเป็นห่วงเมืองจีนที่วันนี้เศรษฐกิจยังแกว่งๆ นอกจากนั้นยังกังวลเรื่องดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกา หากเศรษฐกิจเขาฟื้นเร็วดอกเบี้ยอาจขึ้นเร็ว ด้วย ปัจจัยเหล่านี้จะมากวนตลาดเป็นพักๆ ส่วนตลาดเกิดใหม่อย่างรัสเซีย การเลือกตั้งในอินโดนีเซีย และอินเดีย อาจกระทบทั้งภูมิภาค
“สุกิจ” เล่าให้ฟังว่า เงินทุนต่างชาติเริ่มไหลมาเมืองไทยแล้วตั้งแต่เดือนก.พ.-มี.ค.57ประมาณ 20,000 ล้านบาท รวมๆทั้งปีนี้น่าจะกลับเข้ามาประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท การเมืองวุ่นวายแต่ทำไมเงินไหลมา ไม่ต้องสงสัยไป เงินส่วนใหญ่กลับมาฝั่งตลาดเกิดใหม่ ไม่ได้เข้ามาเมืองไทยคนเดียว
อันดับหนึ่งที่เงินไหลเข้ามามากที่สุด คือ ประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพราะนักลงทุนเชื่อว่าสองประเทศนี้กำลังจะดีขึ้น ที่ผ่านมาดัชนีและค่าเงินของเขาตกลงเยอะ ฉะนั้นนักลงทุนจึงมองเห็นโอกาสในการทำกำไรของค่าเงิน โดยนักลงทุนที่นำเงินเข้ามาจะเป็นกลุ่มที่คิดมาดีแล้วกับกลุ่มที่ลงทุนตามตลาด เงินส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นสถาบันการเงินและหุ้นขนาดใหญ่
ถามว่า เงินต่างชาติมีโอกาสจะไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยเท่าที่ออกไป 220,000 ล้านบาท ในช่วงเดือนพ.ค.56- ม.ค.57 หรือไม่? เขา ส่ายหัว ก่อนพูดว่า คงไม่มีโอกาสกลับมาเหมือนเดิม เพราะนักลงทุนได้โยกเงินลงทุนไปในอเมริกาและยุโรปหมดแล้ว วันนี้เมืองไทยโตน้อยกว่าประเทศอังกฤษอีกนะ
ต่อ...