จางเสียนจง จอมเผด็จการ พลพต แห่งเมืองจีน

พลพตเป็นใครนั้นทุกท่านคงจะทราบที่มาที่ไปและเรื่องราวของเขาเป็นอย่างดีครับ แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีนนั้น ก็มีบุคคลที่มีแนวคิดสุดโต่งและเป็นผู้รับผิดชอบต่อการล้มตายของประชากรภายใต้การปกครองของตน อย่างมโหฬารอยู่คนหนึ่ง นามของเขาคือ จางเสียนจง 张献忠



จางเสียนจง เกิดในศักราชว่านลี่ ปีที่ 34 ตรงกับ คศ.1606 พื้นเพเป็นชาวเมืองติ้งเปียน ในมณฑลส่านซี จางเกิดมาในครอบครัวชาวนาที่ยากจน วัยเด็กก็ช่วยพ่อแม่หาเลี้ยงชีพอย่างยากลำบากครับ พอโตเป็นหนุ่มเนื่องจากมีร่างกายใหญ่โต และมีหน้าตาอันดุดันประหนึ่งเสือ (ว่ากันว่าจางมีคางอวบอูมโค้งมนดั่งหน้าของเสือโคร่ง) จางเลยหลบหนีความยากจนไปเป็นทหารหลวงในกองทัพหมิง และด้วยฝีมือการรรบที่ดุดัน ใครๆจึงพากันตั้งฉายาให้เขาว่า “ไอ้เสือเหลือง”

ล่วงมาในรัชกาลฉงเจิน ปีที่  2 เกิดภัยแล้งในส่านซีอย่างรุนแรงหนักหนามาก แต่ราชสำนักกลับนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ ทำให้ชาวนาจำนวนมากที่กำลังจะอดตายต้องจับอาวุธลุกขึ้นต่อต้านราชสำนัก ในช่วงนี้เองจางเสียนจงที่เป็นทหารเลวในกองทัพหมิงประจำส่านซี เห็นว่าราชสำนักเหลวแหลก รบอยู่ฝ่ายทางการต่อไปก็ไม่มีอนาคต จึงหลบหนีทหาร ไปเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏชาวนาที่มี่จือต่อต้านราชสำนัก
ด้วยฝีมือในการรบของจาง ทำให้เขากลายเป็นหัวหน้าโจรประจำมี่จื่อได้โดยใช้เวลาไม่นานครับ พอเข้าปีฉงเจินที่ 4 สถานการณ์ภัยแล้งในส่านซีบรรเทาลง ชาวนาจำนวนมากก็เลิกต่อต้านราชสำนักกลับไปทำไร่ไถนาตามเดิม แต่จางเสียนจงกับแก๊งค์โจรของเขาไม่ยอมสลายตัว ยังคงยึดตำบลมี่จื่อเป็นฐานทัพ คอยดักปล้นคาราวานหรือขุนนางท้องที่ยังชีพต่อไป

แม้ภัยแล้งในส่านซีจะผ่านไปแล้ว แต่เศรษฐกิจของราชสำนักหมิงยังย่ำแย่ครับ การฉ้อราษฎร์บังหลวงยังคงคุกคามไปทั่ว และด้วยสาเหตุนี้ทำให้มีชาวนาในส่านซีจำนวนมากที่โดนบีบคั้นให้ทิ้งที่นาไปเป็นโจร ซึ่งพอทุกคนได้ยินชื่อเสียงของจางที่ต่อต้านราชสำนักได้อย่างห้าวหาญ ก็พากันไปสมัครเป็นลูกน้องกันมากมาย ทำให้กองกำลังของจางเสียนจงกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ

ปีฉงเจินที่  8  จางเสียนจงก็ไปจับมือกับหลี่จื้อเฉิง ร่วมกันก่อการในส่านซีครับ กองทัพของจางและหลี่บุกโจมตีเหอหนานในปีนั้น และตีทัพของหมิงกระเจิดกระเจิงไปจากเหอหนาน หลังจากนั้นจางก็นำกองทัพแยกวงออกมาจากหลี่จื้อเฉิง บุกลงใต้เข้าไปในหูเป่ย์ และดำรงชีพด้วยการเป็นโจร ปล้นพวกขุนนางหรือเจ้าที่ดิน และเอาทรัพย์สินมาแจกชาวบ้านหากำลังคนเพิ่มไปเรื่อยๆ

ช่วงปีฉงเจินที่ 10 จนถึงปี ฉงเจินที่ 13 จางเสียนจงและพลพรรคก็เร่ร่อนรบไปเรื่อยๆใน หูเป่ย์ , อานฮุย, เจียงสู และเสฉวน ครับ แพ้มั่งชนะมั่งตามเรื่องไป บางทีก็แกล้งสวามิภักดิ์ราชสำนัก และกลับมาก่อกบฏใหม่ไปเรื่อยๆ หรือบางทีโดนโจมตีหนักก็สลายโต๋หนีข้ามมณฑลไปรวบรวมชาวนาที่ไม่พอใจราชสำนักมาตั้งแก๊งค์โจรรบใหม่วนไปวนมา ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นมีชาวนาที่อดอยากและไม่พอใจราชสำนักมากมาย จางเสียนจงเลยสามารถสร้างกองทัพชาวนาได้ใหม่แบบไม่มีสิ้นสุด

จนปีฉงเจินที่ 15 จางเสียนจงก็มีกองทัพที่เข้มแข็งมาก ในขณะที่กองทัพหมิงในหูเป่ย์อ่อนแอลงเรื่อยๆ สุดท้ายจางสามารถบุกตีหวู๋ฮั่น และจับอ๋องของราชวงศ์หมิงสองพระองค์ประหารทิ้งที่หวู่ฮั่น ทำให้ราชสำนักยิ่งประหวั่นพรั่นพรึงจางเสียนจงมากขึ้น สุดท้ายสิ้นปีฉงเจินที่ 14 จางก็ควบคุมหูเป่ย์เอาไว้ได้เกือบหมด



ในปีนั้นเอง จางเสียนจงเริ่มมองไปที่เสฉวนครับ เขาเห็นว่าเสฉวนถูกรบกวนจากพวกกบฏน้อยกว่า น้ำท่าอุดมสมบูรณ์กว่าหูเป่ย์ที่เขาตระเวณรบปล้นขุนนางและเจ้าที่ดินจนหมดมณฑลแล้ว จางน่าจะสามารถหาเงินทองและกองทหารจากเสฉวนได้สะดวกโยธิน
ปีฉงเจินที่ 17 จางเสียนจงก็นำกองทัพ 1 แสนคนบุกฉงชิ่งครับ เขาตีเมืองอยู่หลายสัปดาห์ก็ยึดฉงชิ่งได้ และจางก็จัดการฆ่าล้างเมืองเสียเรียบ ก่อนจะป่าวประกาศว่า เมืองไหนไม่ยอมจำนน จะฆ่าล้างให้หมดเมือง แต่หากเมืองไหนยอมเปิดเมืองจำนนดีๆ ก็จะไว้ชีวิต
ชาวเสฉวนเห็นชะตาชาวฉงชิ่งหลายหมื่นคนโดนสังหารเรียบก็หวาดกลัวมากครับ ทุกเมืองทั้งกรมการเมืองยันชาวบ้านก็เปิดประตูต้อนรับกองทัพของจางโดยดี ทำให้จางเสียนจงบุกถึงเฉิงตูนครหลวงของเสฉวน และควบคุมทั้งมณฑลเอาไว้ได้ในเวลาไม่นานนัก

เมื่อจางยึดครองเสฉวนแล้ว เขาก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรต้าซี (อาณาจักรปัจจิม) ครับ เขาแต่งตั้งอวยยศให้เหล่าขุนศึกที่ติดตามเขามาจากหูเป่ย์เป็นขุนน้ำขุนนางกันหมด พร้อมกับให้กองทหารกระจัดกระจายกันดูแลเมืองต่างๆในเสฉวน
ในตอนแรกๆ จางก็พยายามจะเป็นกษัตริย์ที่ดีครับ เขาออกว่าราชการไม่มีขาด และเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายข้าวปลาแก่ชาวนาที่ยากจน แต่พอเกิดกรณีที่อดีตทหารของราชสำนักหมิงเข้ายึดเมืองฉงชิ่งคืนไป และมีชาวบ้านในเสฉวนไปร่วมมือกับกองทัพหมิงจำนวนมาก ก็ทำให้จางสติแตก
จางเสียนจงคิดเอาเองว่า ชาวเสฉวนทรยศและไม่ต้อนรับเขา เขาไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้าน ทั้งๆที่พยายามจะเป็นกษัตริย์ที่ดีแล้ว ดังนั้นอย่ากระนั้นเลย เป็นคนดีมันลำบาก ทำชั่วเป็นทรราชเสียง่ายกว่า

จากนั้นมา จางเสียนจงก็ออกคำสั่งให้กองทหารของเขาจัดการฆ่าเจ้าที่ดินทั้งหมดในเสฉวนทิ้งครับ และยึดทรัพย์มาให้หมด

พอเจ้าที่ดินโดนฆ่าหมดแล้ว จางก็จัดการฆ่าเหล่าขุนนางเก่าของราชสำนักหมิงต่อ

พอฆ่าขุนนางหมด จางก็สั่งให้ฆ่าบัณฑิตและคนที่รู้หนังสือให้หมดมณฑล

พอฆ่าบัณฑิตหมดแล้ว จางก็สั่งให้ฆ่าพ่อค้า คนมีเงิน แลคนมีฐานะทั้งมณฑล เพื่อเอาเงินทองเป็นของหลวง

พอฆ่าจนไม่มีอะไรจะให้ฆ่า จางก็สั่งให้กองทหารของเขาฆ่าคนแก่ ผู้หญิง และเด็กทิ้งให้หมด และออกปล้นหมู่บ้านแลเมืองต่างๆทั่วมณฑล ใครต่อต้านต้องฆ่าให้เรียบ

ในบันทึกของเยซูอิดที่อาศัยในเสฉวนช่วงนั้นบอกว่า จางเสียนจงนิยมสะสมเท้าของผู้หญิง และหูของผู้ชายมากครับ บางวันเขานึกครึ้มอกครึ้มใจ ก็จะสั่งให้กองทหารไปตัดเท้าตัดหูชาวบ้านมากองให้ดูเล่นๆ หากรู้ว่าผู้หญิงคนไหนหน้าตาสะสวยก็จะสั่งให้ไปตัดเท้ามาเก็บสะสมไว้
ต่อมาพอฆ่าชาวบ้านจนหมด จางไม่รู้จะฆ่าใคร ก็เริ่มสั่งให้กองทหารสู้รบกันเอง เพื่อฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด ใครฆ่าได้เยอะๆก็จะได้รางวัลและยศศักดิ์ครับ ว่ากันว่า จางเปิดให้เหล่าทหารสอบเป็นขุนนาง โดยนับจำนวนหูและหัวคนชาวบ้านที่สังหารได้เป็นคะแนนสอบก็มี

จางเสียนจงปกครองเสฉวนได้  2  ปีนิดๆ เขาก็ตัดสินใจที่จะทิ้งเสฉวนกลับไปส่านซีบ้านเกิดครับ กองทัพของจางเคลื่อนพลจากเสฉวนในปี 1647 และเดินทัพขึ้นเหนือ ก่อนจะไปเจอกับกองทัพชิงที่เขามาพิชิตส่านซีพอดี สองฝ่ายจึงสู้รบกัน ด้วยความที่กองทหารของจางนั้นเละตุ้มเป๊ะด้านวินัยและใจจะรบมาตั้งแต่ปกครองเสฉวนแล้ว ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทัพชิงครับ กองทัพของจางพินาศย่อยยับ ส่วนตัวเขาก็ตายในสนามรบ ปิดฉากจอมเผด็จการและกบฏชาวนาในยุคปลายราชวงศ์หมิงไปอีกราย

วีรกรรมของจางในเสฉวน ยังคงเปิดที่น่าสะพรึงมาถึงทุกวันนี้ครับ ว่ากันว่าในต้นรัชกาลว่านลี่ เสฉวนทั้งมณฑลมีประชากรราวๆ 3.1 ล้านคน แต่พอตกถึงรัชกาลคังซี (40 ปีหลังจากจางเสียนจงตายไปแล้ว) มีการตรวจสอบสัมมะโนครัวประชากรในเสฉวน พบว่าเหลือแค่ไม่กี่หมื่นคน
นครเฉิงตูที่เป็นเมืองเอกของเสฉวน ในรัชกาลว่านลี่เลยมีประชากรเกือบ 4 แสนคน แต่พอรัชกาลคังซีเหลือประชากรแค่ไม่กี่ร้อย ขุนนางในยุคนั้นบันทึกว่าเสมือนเมืองร้างที่มีแต่เสือโคร่งชุกชุม

ซึ่งหากข้อมูลนี้เป็นความจริง จางเสียนจงได้ทำให้ประชากรเสฉวนราว 99% หายไปภายในเวลาแค่ 2 ปี ที่เขาปกครองเสฉวนครับ และผลจากการกระทำของจางก็ส่งผลต่อโครงสร้างประชากรเสฉวนไปตลอดกาล เนื่องจากการหายไปแทบทั้งหมดประชากรที่พูดภาษาถิ่นปาสู่โบราณ ทำให้ปัจจุบันคนเสฉวนส่วนใหญ่ไม่ได้พูดสำเนียงแบบปาสู่กันแล้ว แต่เป็นสำเนียงแบบหูกว่าง (หูเป่ย์และหูหนาน) แทน เนื่องประชากรที่อาศัยในเสฉวนปัจจุบัน เป็นชาวหูเป่ย์-หูหนาน ที่อพยพเข้ามาในช่วงปลายรัชกาลคังซีจรดรัชกาลเฉียนหลง และเพิ่มจำนวนจนเต็มมณฑล แทนประชากรที่พูดภาษาสำเนียงปาสู่เดิม ที่ถูกจางเสียนจงล้างจนแทบหมดมณฑลในอดีต

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่