วันนี้มีชายชาวฝรั่งเศษคนหนึ่งบังเอิญมาพบอาตมาที่สำนัก (เขาพูดไทยไม่ได้) อาตมาถามเขาว่า เขานับถือศาสนาอะไร? เขาบอกว่าไม่นับถือศาสนาอะไร แต่กำลังศึกษาศาสนาพุทธอยู่ อาตมาเลยบอกเขาว่า พุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นพราหมณ์ไปเกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง ส่วนคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นเป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุผล พิสูจน์ได้ และไม่สอนเรื่องการตายแล้วจะมีการเวียนกลับมาเกิดใหม่ได้อีก ตอนแรกเขาดูเหมือนแปลกใจ
แต่เมื่ออาตมาได้อธิบายว่า คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นคำสอนระดับศีลธรรม ไม่ใช่คำสอนระดับสูง ส่วนคำสอนระดับสูงนั้นเป็นคำสอนเรื่องการดับทุกข์ ที่สอนให้ใช้ปัญญานำหน้าสมาธิ โดยปัญญานั้นก็สรุปอยู่เรื่องความว่างจากตัวตน หรือสุญญตา โดยอธิบายว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม สร้างร่างกาย แล้วร่างกายก็สร้างจิต ดังนั้นจึงจะหาตัวตนที่เป็นเราหรือของใครๆหรือของสื่งใดๆจริงๆ (ชนิดที่จะเป็นอมตะ) ไม่มี เขาก็เข้าใจและบอกว่าถ้ามองโลกอย่างนี้ก็จะไม่มีทุกข์
นี่แสดงว่าเขาเข้าใจหลักอริยสัจ ๔ ได้โดยง่าย เพราะเขาไม่มีความเชื่อที่งมงายมาปิดกั้นสติปัญญาของเขาเอาไว้ แต่จะตรงข้ามกับคนที่ยึดติดในความเชื่อโดยเฉพาะจากพุทธศาสนาส่วนที่ผิดเพี้ยน ที่แม้จะศึกษาอริยสัจ ๔ มาอย่างมากมาย ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ ยิ่งเรื่องเห็นแจ้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง (แต่มีชาวอเมริกาคนหนึ่ง พูดไทยได้ดี อยู่เมืองไทยมาหลายปี ศึกษาเซ็นมาก่อนหลายปี และกินแต่ผักดิบและผลไม้เท่านั้น รู้จักกับอาตมา แต่อาตมากลับสอนให้เขาเข้าใจไม่ได้ เขาไม่ยอมรับ เพราะเขายังยึดติดอยู่ในความเชื่ออย่างของเขามาก่อน โดยไม่ยอมปล่อยวางความเชื่อของเขา)
สรุปได้ว่า การที่เราจะได้รับความรู้สูงสุดเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้าได้ เราจะต้องทำลายความเชื่อทั้งหลายที่เรามีอยู่ให้หมดสิ้นไปก่อน ให้สติปัญญาของเราเป็นอิสระอย่างเต็มที่ก่อน เราจึงจะรับความรู้สูงสุดนี้ได้ แต่ถ้าไม่กำจัดความเชื่อให้หมดก่อน สติปัญญาของเราก็จะไม่เป็นอิสระ ไม่สามารถพิจารณาเหตุผลตามที่เป็นอยู่จริงได้ อันจะทำให้ไม่เกิดความเข้าใจในคำสอนเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้าได้
คนที่จะเข้าใจคำสอนเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้าได้จะต้องไม่มีความยึดติดในศาสนาหรือความเชื่อใดๆ
แต่เมื่ออาตมาได้อธิบายว่า คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นคำสอนระดับศีลธรรม ไม่ใช่คำสอนระดับสูง ส่วนคำสอนระดับสูงนั้นเป็นคำสอนเรื่องการดับทุกข์ ที่สอนให้ใช้ปัญญานำหน้าสมาธิ โดยปัญญานั้นก็สรุปอยู่เรื่องความว่างจากตัวตน หรือสุญญตา โดยอธิบายว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม สร้างร่างกาย แล้วร่างกายก็สร้างจิต ดังนั้นจึงจะหาตัวตนที่เป็นเราหรือของใครๆหรือของสื่งใดๆจริงๆ (ชนิดที่จะเป็นอมตะ) ไม่มี เขาก็เข้าใจและบอกว่าถ้ามองโลกอย่างนี้ก็จะไม่มีทุกข์
นี่แสดงว่าเขาเข้าใจหลักอริยสัจ ๔ ได้โดยง่าย เพราะเขาไม่มีความเชื่อที่งมงายมาปิดกั้นสติปัญญาของเขาเอาไว้ แต่จะตรงข้ามกับคนที่ยึดติดในความเชื่อโดยเฉพาะจากพุทธศาสนาส่วนที่ผิดเพี้ยน ที่แม้จะศึกษาอริยสัจ ๔ มาอย่างมากมาย ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ ยิ่งเรื่องเห็นแจ้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง (แต่มีชาวอเมริกาคนหนึ่ง พูดไทยได้ดี อยู่เมืองไทยมาหลายปี ศึกษาเซ็นมาก่อนหลายปี และกินแต่ผักดิบและผลไม้เท่านั้น รู้จักกับอาตมา แต่อาตมากลับสอนให้เขาเข้าใจไม่ได้ เขาไม่ยอมรับ เพราะเขายังยึดติดอยู่ในความเชื่ออย่างของเขามาก่อน โดยไม่ยอมปล่อยวางความเชื่อของเขา)
สรุปได้ว่า การที่เราจะได้รับความรู้สูงสุดเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้าได้ เราจะต้องทำลายความเชื่อทั้งหลายที่เรามีอยู่ให้หมดสิ้นไปก่อน ให้สติปัญญาของเราเป็นอิสระอย่างเต็มที่ก่อน เราจึงจะรับความรู้สูงสุดนี้ได้ แต่ถ้าไม่กำจัดความเชื่อให้หมดก่อน สติปัญญาของเราก็จะไม่เป็นอิสระ ไม่สามารถพิจารณาเหตุผลตามที่เป็นอยู่จริงได้ อันจะทำให้ไม่เกิดความเข้าใจในคำสอนเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้าได้