เรื่องในมุ้ง

เค้าว่ากันว่าคนที่เริ่มสูงวัย หรือแก่นั่นแหละ จะชอบพูดถึง “สมัยก่อนนะ” “สมัยชั้นสาวๆนะ” “ตอนหนุ่มๆนะ” (ก็แน่หละสิ) หรือแบบว่า “เด็กสมัยนี้นะ” แล้วก็อย่างงั้นอย่างี้เท้าความกันไป ผมคนหนึ่งละที่ตั้งใจจะไม่เป็นแบบนั้นเด็ดขาด!

สังขาร  อยู่ที่ใจ ใช่ตัวเลข
ใจเป็นเอก  กายเป็นโท โนวอรี่

สมัยก่อนนะ (นั่นง่ะ!)…ช่วงวัยประถม บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ แถวชานเมือง ไม่มีมุ้งลวด ไม่มีแอร์ ไม่มีเตียง ที่นอนเป็นฟูกนุ่นหนาๆหนักๆแบบพับ 3 ต่อน คุณนึกออกใช่มั้ย ที่มันเป็นลายดอกชะบาฮาวายพันธุ์ไม้เลื้อยอะไรประมาณนั้น เวลาจะนอนต้องกางออกมาแล้วค่อยปูผ้าปูที่นอน วางหมอน, สะบัดผ้าผวยให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ต้อง

“กางมุ้ง”

เริ่มจากมีมุ้ง 1 หลัง (มุ้งจะทรงคุณค่ามากขึ้นถ้าซื้อเงินผ่อนกับอาบังขี่จักรยาน) และต้องมีตัวช่วยอย่าง เชือกไนล่อน, เชือกฟาง หรือจะเป็นสายสิญจน์ก็แล้วแต่สะดวก มุ้งส่วนใหญ่มี 4 มุมใช่มั้ยครับ บางมุมพอดีเกี่ยวได้กับเสา บางมุมอาจต้องต่อเชือกฟางมาจากฝาบ้านอันแสนไกลเพื่อให้กางได้ระดับที่เท่ากันไม่พิกลพิการเอียงกะเท่เร่เหมือนบ้านเทเลทับบี้ส์ กางมุ้งเสร็จเราก็มานั่งยองๆรวบรวมสติอยู่ข้างมุ้ง

“ฟรึ้บบบ”

เสียงตวัดมุ้งด้วยท่าเดียวกับหวังจู่เสียนแล้วลอดเข้าไป ปิดฟรึ้บ! ตัวเข้าไปอยู่ในมุ้งภายในเวลา 0.5 วิ เป็นอันเสร็จไปหนึ่งเปราะ

จำได้ว่าสมัยนั้นใช้หมอนข้างเปลืองมาก เล็ก, กลาง,ใหญ่ มีทุกไซส์ ไหนจะยังตุ๊กตาโดราเอม่อนกลัวน้ำและผ้าเน่าคู่ใจอีก ที่มีเยอะๆก็เพราะว่าต้องใช้ “กันมุ้ง” กันตามขอบๆ เพื่อไม่ให้ติดที่นอน ตอนเราหลับมือเราเท้าเราจะได้ไม่ไปเผลอแตะมุ้งให้ยุงกัดจากข้างนอก และต้องไม่มีช่องโหว่ให้ยุงเข้า เราจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษตรงมุ้งด้านปลายเท้าครับ เพราะหลายคนเอาพัดลมเข้ามาไว้ในมุ้งด้วยจึงต้องกันบริเวณนั้นเป็นพิเศษ ไหนจะกลัวมุ้งเปิด ไหนจะกลัวแรงดูดของพัดลมจะดูดมุ้งเข้ามาติด เรียกได้ว่าเป็นงานที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เลยนะไอ้การกันมุ้งเนี่ย ซึ่งมันก็ทำให้เด็กอย่างผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับมันอยู่เหมือนกัน ก็คนมันง่วง อยากจะนอนแล้วนี่นา ต้องมาทำซ้ำซากทุกคืนกว่าจะได้นอน ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้ที่เปิดแอร์แล้วกระโดดขึ้นเตียงนอนสบายแฮร์ได้เลย ไม่ต้องมาเสียเวลากางมุ้งกันมุ้งให้วุ่นวาย แต่ถึงง่วงแค่ไหนก็ต้องทำ มันเป็นกิจวัตรไปแล้ว ไม่งั้นคงนอนไม่หลับแน่

“กันมุ้งดีๆด้วย ยุงเยอะนะ!”

แม่ตะโกนเสียงสูงดั่งมารายห์ แครี่ย์มาจากอีกห้องทุกคืนเพื่อ re-check (มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวัยเด็กลงไปอีกตอนสมัยเด็กมากแบบว่ายังล้างก้นเองไม่เป็น “สุดย๊าง?” เสียงแม่ตะโกนถามจากหน้าส้วมทุกวันเพราะรอล้างก้นให้)

เอาหละ พอกันมุ้งจตุรทิศจนมั่นใจว่าไม่มีช่องโหว่ให้ยุงเข้าได้ก็ถึงขั้นตอนต่อไปครับ คือการนั่งอึ่งอยู่ตรงกลางที่นอน ใช้สายตากวาดไปรอบๆมุ้งอย่างพิจารณา เหมือนตัวอะไรสักอย่างกำลังหาแมลงกินโดยพร้อมใช้ลิ้นตวัดแผล่บเข้าปากได้ทุกเมื่อ

หวี่…วี๊…หงึ่ง…

มียุงจนได้ -_- (เป็นสัจธรรมครับ ผมเป็นเด็กเข้าใจโลก)

เพี๊ยะ!…เปรี๊ยะ!

สองมือตบไม่ยั้งอย่างอัตโนมัติหมายทำลายให้สิ้นซาก ตอนเปิดมือดูผลงานเป็นโมเม้นต์ที่ลุ้นมาก ลุ้นเหมือนรายการเวทีทองรอบแจ็คพอตที่ชั่งของให้หนักกว่าของชิ้นก่อน เป็นอะไรที่ฟินมากถ้าได้เห็นศพยุงจมกองเลือดบนฝ่ามือ และจะเฟลมากถ้าเปิดมาเจอมือเปล่า (ความรู้สึกเหมือนชั่งของแล้วเบากว่าชิ้นก่อน แจ็คพอตไม่แตก ตกรอบ)

“บอกให้กันมุ้งดี๊ๆ..เห็นม๊าย!”

เสียงตบยุงของผมไปกระตุ้นต่อมปรี๊ดของแม่ให้เสียงสูงขึ้นจากครั้งแรก 20%

จริงๆเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติที่หลายบ้านต้องทำทุกคืนอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องพิสดารกาญจนาแต่อย่างใด เอาเป็นว่า เล่าให้ฟังเผื่อใครเกิดมาไม่เคยนอนมุ้ง ไม่รู้เรื่องมุ้งโงโลยี แบบว่าบ้านไฮโซอ่ะยูโน๋ว นอนแอร์แต่เด็กไรงี้ หรือคนที่เคยมีประสบการณ์มาแล้วแต่ลืมโมเม้นต์สุดคลาสสิคแบบนี้ไป ผมก็เลยมาเล่าให้ได้รำลึกความหลังกันดู //ไม่แก๊…(เสียงสูงกว่าแม่)

ทีนี้พอเล่นตบแผะกับยุงจนยุงในมุ้งสูญพันธุ์หมดแล้วช่วงที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เหมือนสวรรค์ทรงโปรด ฟินเนเล่กับการเอนหลังลงนอนห่มผ้าผวยพร้อมจะหลับอย่างสบายอุรา…

…เพียงเธอหลับตา ฮ้าา เพียงเธอหลับตา จะปรากฎกายหน้าเธอ…
.
.
.
.
.
.
.
ลืมปิดไฟ!!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่