ชีวิตของผม
ผมเป็นคนพื้นที่สูง เป็นครอบครัวที่ยากจนอาชีพทำไร่ข้าว ไม่มีนาได้บ้างไม่ได้บ้างบ้านก็เป็นไม้ใผ่มุงหญ้า ผมเป็นคนกลัวครู ไม่คิดจะเรียน แต่พอวันนึง
พ่อบังคับกระชาทลากถูหิ้วไปโรงเรียนผมร้องไห้กลัวมากพอถึงหน้าโรงเรียนจำได้ว่าพ่อซื้อน้ำสัมให้ 1ขวด 5บาท ทั้งโรงเรียนมีนักเรียน
ประมาณ 100กว่าคน และวันนั้นเองความคิดก็เปลี่ยนเริ่มสนุกมีเพื่อนเยอะแยะมากมายไปโรงเรียนทุกวันไม่ขาดไม่ลาไม่สาย
การเรียนก็ปานกลางพอมาถึง ช่วงชั้นป.5 ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียน ทั้งที่ไม่อยากเป็นเพราะตัวเองเป็นขี้อายหลังจากที่เรียนจบ ป.6
ช่วงเมษา2543 ได้ไปสมัครโรงเรียนแห่งนึงซึงห่างจากบ้านและโรงเรียนเดิมประมาณ 40 กิโล ต้องเดินทางตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์ไปถึงโรงเรียน
บ่ายๆ เพราะโรงเรียนที่บ้านมีแค่ป.6ขณะนั้น แต่ละสัปดาห์ผมต้องเตรียมเสบียงอาหาร ข้าวสาร 3 ลิตร ประมาณ 3กิโลและเงินซื้อกับข้าว 70/
อาทิตย์ เพราะทางโรงเรียนไม่มีอาหารกลางวันสมัยนั้น ที่โรงเรียนไม่มีหอพัก ผู้ปกครองของนักเรียนที่จะไปพักต้อง
ไปร่วมกันสร้างซึ่งทางโรงเรียนมีพื้นที่ ภายในโรงเรียนให้ และหอพักก็เป็นหอธรรมดา ไม้ใผ่มุงหญ้าคา แบบชาวเขา
ที่หุงข้าวก็หาเอาเองของใครของมันหลังหอใครชอบตรงไหนหุงตรงนั้นไม่มีโรงอาหาร แต่ละคนต้องเตรียมหม้อ จานมาจากบ้าน เองทาง
โรงเรียนไม่มีให้ บางคนหุงในป่าเก็บไม้เก็บฟืนที่นั้นทำกินเสร็จเก็บของใครของมัน (เหมือนเข้าค่ายลูกเสื้อ)กับข้าวซื้อครั้งละ 10 บาท
แบ่งกิน 2 มื้อเช้ากับเที่ยงบ้างครั้งซื้อมาม่า5บาทมาต้มกินกับข้าว ก็กินได้ 2 มื้อเหมือนกัน เงินที่ขอมาจากบ้าน 70 ต้องอยู่ถึงวันศุกร์
ซึงการเดินทาง 40 โล ไม่เคยนั้งรถถึงจะหน้าฝนหน้าร้อนหน้าหนาว เพราะกลัวไม่พอ บางครั้งเจอคนใจดีขับรถผ่านมาให้ติดรถไปบ้าง ทั้งขา
ไปและขากลับ เคยคิดจะออกตอนจากโรงเรียน ตอนชั้น ม. 2 เพราะพ่อแม่ยากจน มีอยู่ครั้งนึงที่แม่เรียกพ่อไปกินข้าวแต่พ่อไม่ยอมมากินพ่อ
บอกกับแม่ว่าพ่อไม่หิว แม่เลยตอบกลับไปว่ามาเถอะถึงข้าวไม่เยอะกินคนละนิดก็ยังดี ผมได้ยินแล้วอึ้งครอบครัวเรามาถึงขนาดนี้เลยหรอ
ผมสงสารพ่อแม่มาก เลยกินนิดเดียวบอกแม่ว่าอิ่มแล้ว ๆแอบไปร้องไห้อยู่หลังบ้านเพราะคิดว่าครอบครัวเราทำไมถึงลำบาก
ทำไมไม่เหมือนคนอื่นเขา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ลดเสบียงอาหาร จาก 3 ลิตร เหลือ 2 ลิตร เงิน จาก 70 ที่เคยติดตัวไป
แต่ละสัปดาห์ เหลือ 40บาท ไม่เคยซื้อขนมอร่อยๆกินเหมือนเพื่อนเขา ผมแอบอิจฉาเพื่อนๆคนที่เขาได้
100 บาท บางคนได้ 500 บาท/สัปดาห์ ผมจึงคิดหารายได้พิเศษพยายามไม่ขอเงินจากบ้านอีก
หยุดเสาร์อาทิตย์ ผมไปรับจ้างแถวโรงเรียน ได้ 60 บาท/วัน นานๆกลับบ้านทีเพราะแถวบ้านไม่ค่อยมีงานให้รับจ้าง
ทำแบบนี้เป็นปีๆ จนจบ ม.3
ผมได้ทุนจากโรงเรียน5000 บาทแบ่งให้พ่อแม่ 2000บาท ไปสอบเรียนอยู่ โรงเรียนแถวสระบุรี ซึ่งทางโรงเรียนนี้ มีหอพักฟรี กินฟรี เข้านอน
เป็นเวลา ออกนอกโรงเรียนได้ เดือนละ 1 ครั้ง เป็นโรงเรียนสอนเกษตร สอบ1สัปดาห์เต็มมีทั้งทฤษฎีและปฎิบัติ บางวัน
ทำแปลงผักขุดดินทั้งวันบางวันหาปลาในสระที่เลี้ยงไว้บางวันเพาะเห็ดจากจำนวนที่นักเรียนไปสอบ 500 กว่าคน
ลดเหลือ 100กว่า บางคนทนไม่ไหวก็กลับ พอถึงวันสุดท้ายผลประกาศออก เรา สอบได้ ที่ 14 เย็นๆเดินทางกลับที่เชียงใหม่
เพราะยังไม่เปิดเทอม แต่ก็ไม่ได้ไปเรียนเพราะไม่มีเงินใช้ตอนเรียน ผมตัดสินมาบวชเรียนธรรมมะ แถวสุขุมวิท
บวชเณร อยู่ 2 พรรษาสอบได้นักธรรมชั้นโท และลา สิกขา กลับบ้านไปพัก 1 อาทิตย์ ลงมาหา
งานทำอาศัยวัดที่เคยบวชพอดีทางวัดให้อยู่ 1 เดือน เดินหาสมัครงานทั่วถนนสุขุมวิท(เดินหา)ยังหาไม่ได้ ไปสมัครเป็นยาม แถวราม 2 อยู่ได้
1คืน ง่วงมากพาเพื่อนออกโดนหักไป ค่าประกันนายหน้า 500 บาท ไปสมัคร แคชเชียร์ ปั้ม ทำได้ 15 วัน เงินขาด 700 บาท ลาออกไม่ได้
ค่าแรงสักบาท มีเงินอยู่เก็บอยู่ 3000 บาทจากกิจนิมนต์ ตกงานอยู่ 3 เดือนเงินหมด และได้งานอยู่โรงผลิตน้ำเข้างาน 8.00 น.เลิก 17.00
ตอนนั้นมีเงินเหลือ 20 บาท ซื้อข้าวเหนียว 2 ห่อ ปลาทูทอด 1ตัว 10 บาท แบ่งกินกับเพื่อน 2 คน ตกเย็นเดินกลับวัด 15 โล ไม่มีค่ารถ ถึง
วัดค่อยหาข้าวกินในวัด หลายเดือนผ่านไปยังหางานไม่ได้ หลวงพี่ที่เคยอาศัยลาสิกขา ตัวผมเองไม่มีที่พิ่ง ไม่ได้อาศัยในวัดต่อ
ไม่มีที่นอนเงินหมด บางวันไม่ได้กินข้าวกินน้ำพลางๆขอยืมเงินเพื่อนได้บ้างบางทีก็ให้ 20 บาท บังเอิญมีคนแนะนำให้
ไปสมัครโรงงานแห่งนึง ย่านสุขุมวิท และเดินทางไปสมัครทิ้งไว้ ผ่านไป 1 อาทิตย์ยังไม่เรียกตัดสินใจ
ไปทำงานกับอีกคนที่ได้เจอกันพาไปทำงานแถวสมุทรสาคร กับเพื่อนอีก 1 คนที่ตกงานด้วยกัน เป็นงานก่อสร้าง
ทำไปทำมาได้ 15 วัน ทางโรงงานเขาก็เรียกเลยเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานครอีกครั้งไปพักอาศัยกับคนที่ได้
งานก่อนโชคดีที่โรงงานเป็นบริษัทผลิตอาหารไม่ต้องทนหิวอีกต่อไปแอบกินบ้างข้าวเทียงไม่ต้องกินก่อนกลับห้องกินให้อิ่ม บริษัทมีรถรับส่งไม่
ต้องใช้เงินสักบาก ผมตั้งใจทำงานไม่ลาไม่ขาดไม่สายแม้วันที่ป่วยเป็นใข้ผมก็ยังฟื้นไปทำ จนหัวหน้า หัวหน้าเดินมาถามไม่สบายก็พักได้ไม่
ต้องมาก็ได้ผมตอบกลับไปว่าผมทำไหวจน 16.00 น.ขอหัวหน้ากลับไปพักก่อนไม่ขอทำโอที วันนี้ บรรยากาศทำงานสนุกสนานรู้จักเพื่อนๆ
เยอะขึ้น แค่แว็บ เดี่ยว ผ่านไป 15 วัน เงินค่าแรงวิกแรกออก ได้ 2000 กว่าบาท ค่าแรง 165/วัน ขณะนั้น เป็นวันที่ดีใจมาก ตกเย็นมาก หาซื้อ
ข้าวกินที่อยากกินมานานอร่อยๆเพราะตลอด ครึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากของโรงาน ผ่านไป 3 เดือน
หัวหน้าต่อสัญญาให้เพราะเห็นว่าขยัน ผมก็ตั้งใจทำงานเหมือนเดิม จนถึง 1 ปี กว่า ก็ได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ
ชีวิตเริ่มดีขึ้น เก็บได้ก้อนนึงถึงจะไม่มากกับคนอื่นแต่มากกับมากมายกับผม นำเงินไปทำบ้านเล็กๆแถวบ้านเกิด ให้พ่อและแม่
ให้ดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่เพราะหญ้าคาอยู่ได้แค่1ปี พ่อและแม่ต้องไปเข้าป่าไปหามาเปลี่ยนทุกปีหลังๆมาเริ่มหายากผมภูมิใจที่ได้มันมา
ด้วยน้ำพักน้ำแรง หลังจากที่ทำบ้านเสร็จ ก็ได้เริ่มศึกษาต่อระดับ กศน.ม.6ตอน ปี2546-2548 และไปสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัย ย่านหัวหมาก
ปี2548ย้ายหอไปอยู่คนเดี่ยวเพราะต้องการอ่านนหนังสือเงียบๆเพราะเพื่อนชอบดูบอลตอนดึกๆ จำได้ว่า แรกๆไม่มีอะัไร มีแค่สื่อ 1ใบ กระติก
น้ำ 1 ใบ เสื้อผ้าไม่กี่ชุด พร้อมกับทำงานที่เดิมไปด้วย หัวหน้าใจดีให้ลาได้ในวันที่สอบ ซึงเราเองพยายามลงเรียนช่วงสอบให้ห่างๆกัน
เพื่อไม่ลาบ่อยและนาน เรียนจน ท้อบางวิชา สอบหลายๆครั้งซ่อมแล้วซ่อมอีกแต่ยังกัดฟันสู้จนจบ ใน ปี 2553
ประกาศผลสอบวิชาสุดท้าย ปรากฏว่าสอบผ่าน ดีใจมาก ที่จะได้รับปริญญา โทรไปบอกพ่อแม่ว่าเรียนจบแล้ว พ่อดีใจมาก
เตรียมตัวจะไปงานพิธีพระทานปริญญาบัตรในปีถัดไป พอหลังจากขึ้นทะเบียนบัณทิต ได้3 เดือน คุณพ่อล้มป่วย
และวันรุ่งขึ้นหลานโทรมาบอกว่าคุณพ่อเสียระหว่างที่ผมกำลังนั่งบนรถรับส่งจะไปทำงาน หลานร้องไห้ ผมเลยบอกไป
ว่าไม่เป็นไรเดี่ยวพรุ่งนี้จะกลับมานะ อาการผมเริ่มแซบตามากตาแดง รถรับส่งถึงโรงงงาน06.45 ช่วง 8.00เช้า ผมยังไม่ร้องไห้
เพราะอายเขาทั้งที่ในใจจะไม่ไหว ผมเดินไปบอกหัวหน้าว่าขอลากลับบ้าน 1อาทิตย์ หัวหน้าถามว่าจะไปไหน ผมแค่จะบอกว่าพ่อผมเสีย
ยังไม่ทันได้บอก พูดไม่ออกผมปล่อยร้องโฮเพื่อนๆตกใจผมไม่ฟังอะไรแล้วจะให้ลาหรือไม่ให้ลา ผมไม่ได้ิยินว่าหัวหน้าพูดอะไร
ในหัวคิดเพียงแค่ว่าให้ถึงบ้านเร็วๆผมรีบวิ่งออกมาจากโรงงาน ร้องไห้ไม่หยุด ทั้งบนรถเมล์ ร้องทั้งวันเพื่อนโทรมาหา
ไม่รับสาย ผู้ใหญ่ในบริษัทโทรมาหารับสายแต่พูดไม่ออกฟังเขาพูดแล้ววางๆไป ผมเก็บข้าวเก็บของเพื่อกลับบ้านโดยเร็ว พอเย็นก็เรียกแท็กซี่
ไปหมอชิต ระหว่งที่นั้งบนรถก็ร้องไห้ไปด้วยจนคนขับเขาถาม ว่าเป็นอะไรทะเลาะกับแฟนมาหรอ ผมพูดไม่ออกสมองคิดอะไรไม่ออกแล้ว ระ
หว่งที่นั้งรอรถทัวร์ ผมไปนั้งร้องไห้ตรงที่ไม่มีคนอยู่ พอถึงเวลาเดินทางรถออก ผมก็อดคิดไม่ได้ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ไม่รอดูลูกรับปริญญา
พ่อพูดอยู่เสมอเราจะฉลองกันเมื่อถึงวันนั้น ผมนั่งรถทัวร์คืนนั้นไม่ได้นอน ร้องไห้จนถึงบ้าน หลังทำพิธีเสร็จ ผ่าน 15 วันเริ่มทำใจได้ เดินทาง
กลับกรุงเทพเพื่อจะไปทำงาน และวันที่รอคอยก็มาถึง วันที่รับเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร บางครอบครัวเขาดูมีความสุขสนุกสนาน
เฮฮามีพ่อแม่มายินดีกับลูก แต่ผมไม่มีใครมา มีเพียงเพื่อน 3-4 คนที่รู้ข่าวทั้งๆที่ไม่ได้บอกใคร เป็นวันที่เศร้าของผม
แม่ผมไม่ได้มา เพราะกลัวแม่ลำบากเลยไม่ให้มากรุงเทพแอบน้อยใจในชีวิตที่รันทด ใจผมเริ่มเฉยๆไม่รู้สึกยินดี ดีใจกับเหตุการณ์
จะเกิดที่อยู่ข้างหน้าทั้งๆที่รอวันนี้มานานแสนนาน ผมเอารูปพ่อใบเล็กๆใส่ในกระเป๋า ในวันงานในวันที่สำเร็จกลับไม่มีความสุข
ชีวิตผมมืดมนฝันของผมสลายเหมือนโลกนี้มีแค่ผม
1 เดือนจากนั้นผมกลับบ้าน แต่ทุกครั้งที่ผมกลับพ่อจะเป็นคนมารับด้วยตนเองและทุกวันอาทิตย์พ่อก็จะโทรมาหาวันนี้
ก็เศร้าอีกครั้งกลายเป็นคนอื่นที่มารับ และทุกๆวันอาทิตย์หลังจากนั้นก็ไม่มีใครโทรหา แม่รู้ว่าผมเสียใจ
ในวันที่กลับบ้านพ่อไม่ได้ไปรับ ไม่มีใครโทรหาในวันอาทิตย์ แม่พยายามทำแทนโทรมาหา ผมร้องไห้กับแม่
เป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่เข็มแข็ง พอผมถึงบ้านถ่ายรูปกับแม่ เสร็จแล้ว บ่ายๆก็เดินทางไปหลุมฝังศพในป่าช้าคนเดี่ยว
ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนกลัวผีมาก ตั้งแต่พอเอาพ่อไปฝังที่ตรงนั้นผมก็ไม่รู้สึกกลัวอีกเลย กลายเป็นคนละคน
แม่ยังไม่กล้าไป และผมก็ได้เอารูปที่ได้จากรับปริญญาบัตรมาให้พ่อ 1ใบ แล้วบอกพ่อว่า "ผมกลับมาแล้ว
เอาใบปริญญมาให้พ่อแล้ว" แล้วผมก็นั่งร้องไห้สักพักก็กลับ บ้าน
จากนั้น 2 ปี ผมก็ลาออกจากททำงานเก่าที่ผมเคยทำมาตั้งแต่ต้น เป็น เวลา 11 ปี ไปสมัครงานไปสัมภาษณ์ไปด้วยระหว่างที่ยัง
ทำงานอยู่ โชคดีที่ได้งาน ด้าน HR. เขารับทั้งที่ผมไม่มีประสบการณ์แต่ผมไม่มีความสุขกับงานทำไปวันๆ ตอบแทนเขาที่อุส่าห์รับผม แรกงง
ผ่านไป 1อาทิตย์เริ่มเข้าใจทำเองได้แล้วไม่เข้าใจถามบ้าง ทุกวันนี้ ผมก็ดูแลแม่ส่งเงินไปให้เดือนละ 2000 บาทไม่ให้ทำงานอะไร
กลัวเจ็บป่วย กลัวเสียไปอีกคน ส่งน้องเรียนส่งมอเตอร์ไซค์ให้น้องกับหลาน 1คัน ใช้ไปเรียน เงินเดือน 13000 ยังไม่ผ่านโปร
ตอนนี้ผมเหนื่อยกับชีวิตท้อแท้ต่อกับโชคชะตาของตัวเอง อยากตัดเวลาที่มันเศร้าๆออกไปจากชีวิต ไม่อยากเจอมันอีก อยากใช้ชีวิตเรียบ
ง่ายไม่ต้องมีรถไม่ต้องมีบ้านสวยๆ เคยฝันอยากเป็นปลัดอำเภอไว้อวดพ่อฝันหลายๆอย่าง วันนี้ผมไม่อยากได้อะไรแล้ว
ฝันที่ยิ่งใหญ่ตอนนี้เก็บตังไว้ก้อนนึงไว้กลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายอยากดูแลแม่ด้วยตัวเอง ขอแค่ผมได้อยู่กับใกล้ๆแม่ ครบครัวที่พร้อม
หน้า เพียงแค่นี้จริงๆ
เขียนไปร้องไห้ไปครับ เหมือนเหตุการณ์พิ่งเกิดเมื่อวาน พิมพ์ตกก็ขออภัย
(ขอบขอบพระคุณทุกๆท่านทุกๆคน ที่มาให้กำลังใจผู้ชายตัวเล็กๆคนนึงที่วันนี้รู้สึกท้อแท้ได้มีแรงก้าวเดินต่อไป ขอบคุณจริงๆ)
สำหรับคนที่ท้ออยู่ ยังมีคนที่ท้อกว่า
ผมเป็นคนพื้นที่สูง เป็นครอบครัวที่ยากจนอาชีพทำไร่ข้าว ไม่มีนาได้บ้างไม่ได้บ้างบ้านก็เป็นไม้ใผ่มุงหญ้า ผมเป็นคนกลัวครู ไม่คิดจะเรียน แต่พอวันนึง
พ่อบังคับกระชาทลากถูหิ้วไปโรงเรียนผมร้องไห้กลัวมากพอถึงหน้าโรงเรียนจำได้ว่าพ่อซื้อน้ำสัมให้ 1ขวด 5บาท ทั้งโรงเรียนมีนักเรียน
ประมาณ 100กว่าคน และวันนั้นเองความคิดก็เปลี่ยนเริ่มสนุกมีเพื่อนเยอะแยะมากมายไปโรงเรียนทุกวันไม่ขาดไม่ลาไม่สาย
การเรียนก็ปานกลางพอมาถึง ช่วงชั้นป.5 ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียน ทั้งที่ไม่อยากเป็นเพราะตัวเองเป็นขี้อายหลังจากที่เรียนจบ ป.6
ช่วงเมษา2543 ได้ไปสมัครโรงเรียนแห่งนึงซึงห่างจากบ้านและโรงเรียนเดิมประมาณ 40 กิโล ต้องเดินทางตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์ไปถึงโรงเรียน
บ่ายๆ เพราะโรงเรียนที่บ้านมีแค่ป.6ขณะนั้น แต่ละสัปดาห์ผมต้องเตรียมเสบียงอาหาร ข้าวสาร 3 ลิตร ประมาณ 3กิโลและเงินซื้อกับข้าว 70/
อาทิตย์ เพราะทางโรงเรียนไม่มีอาหารกลางวันสมัยนั้น ที่โรงเรียนไม่มีหอพัก ผู้ปกครองของนักเรียนที่จะไปพักต้อง
ไปร่วมกันสร้างซึ่งทางโรงเรียนมีพื้นที่ ภายในโรงเรียนให้ และหอพักก็เป็นหอธรรมดา ไม้ใผ่มุงหญ้าคา แบบชาวเขา
ที่หุงข้าวก็หาเอาเองของใครของมันหลังหอใครชอบตรงไหนหุงตรงนั้นไม่มีโรงอาหาร แต่ละคนต้องเตรียมหม้อ จานมาจากบ้าน เองทาง
โรงเรียนไม่มีให้ บางคนหุงในป่าเก็บไม้เก็บฟืนที่นั้นทำกินเสร็จเก็บของใครของมัน (เหมือนเข้าค่ายลูกเสื้อ)กับข้าวซื้อครั้งละ 10 บาท
แบ่งกิน 2 มื้อเช้ากับเที่ยงบ้างครั้งซื้อมาม่า5บาทมาต้มกินกับข้าว ก็กินได้ 2 มื้อเหมือนกัน เงินที่ขอมาจากบ้าน 70 ต้องอยู่ถึงวันศุกร์
ซึงการเดินทาง 40 โล ไม่เคยนั้งรถถึงจะหน้าฝนหน้าร้อนหน้าหนาว เพราะกลัวไม่พอ บางครั้งเจอคนใจดีขับรถผ่านมาให้ติดรถไปบ้าง ทั้งขา
ไปและขากลับ เคยคิดจะออกตอนจากโรงเรียน ตอนชั้น ม. 2 เพราะพ่อแม่ยากจน มีอยู่ครั้งนึงที่แม่เรียกพ่อไปกินข้าวแต่พ่อไม่ยอมมากินพ่อ
บอกกับแม่ว่าพ่อไม่หิว แม่เลยตอบกลับไปว่ามาเถอะถึงข้าวไม่เยอะกินคนละนิดก็ยังดี ผมได้ยินแล้วอึ้งครอบครัวเรามาถึงขนาดนี้เลยหรอ
ผมสงสารพ่อแม่มาก เลยกินนิดเดียวบอกแม่ว่าอิ่มแล้ว ๆแอบไปร้องไห้อยู่หลังบ้านเพราะคิดว่าครอบครัวเราทำไมถึงลำบาก
ทำไมไม่เหมือนคนอื่นเขา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ลดเสบียงอาหาร จาก 3 ลิตร เหลือ 2 ลิตร เงิน จาก 70 ที่เคยติดตัวไป
แต่ละสัปดาห์ เหลือ 40บาท ไม่เคยซื้อขนมอร่อยๆกินเหมือนเพื่อนเขา ผมแอบอิจฉาเพื่อนๆคนที่เขาได้
100 บาท บางคนได้ 500 บาท/สัปดาห์ ผมจึงคิดหารายได้พิเศษพยายามไม่ขอเงินจากบ้านอีก
หยุดเสาร์อาทิตย์ ผมไปรับจ้างแถวโรงเรียน ได้ 60 บาท/วัน นานๆกลับบ้านทีเพราะแถวบ้านไม่ค่อยมีงานให้รับจ้าง
ทำแบบนี้เป็นปีๆ จนจบ ม.3
ผมได้ทุนจากโรงเรียน5000 บาทแบ่งให้พ่อแม่ 2000บาท ไปสอบเรียนอยู่ โรงเรียนแถวสระบุรี ซึ่งทางโรงเรียนนี้ มีหอพักฟรี กินฟรี เข้านอน
เป็นเวลา ออกนอกโรงเรียนได้ เดือนละ 1 ครั้ง เป็นโรงเรียนสอนเกษตร สอบ1สัปดาห์เต็มมีทั้งทฤษฎีและปฎิบัติ บางวัน
ทำแปลงผักขุดดินทั้งวันบางวันหาปลาในสระที่เลี้ยงไว้บางวันเพาะเห็ดจากจำนวนที่นักเรียนไปสอบ 500 กว่าคน
ลดเหลือ 100กว่า บางคนทนไม่ไหวก็กลับ พอถึงวันสุดท้ายผลประกาศออก เรา สอบได้ ที่ 14 เย็นๆเดินทางกลับที่เชียงใหม่
เพราะยังไม่เปิดเทอม แต่ก็ไม่ได้ไปเรียนเพราะไม่มีเงินใช้ตอนเรียน ผมตัดสินมาบวชเรียนธรรมมะ แถวสุขุมวิท
บวชเณร อยู่ 2 พรรษาสอบได้นักธรรมชั้นโท และลา สิกขา กลับบ้านไปพัก 1 อาทิตย์ ลงมาหา
งานทำอาศัยวัดที่เคยบวชพอดีทางวัดให้อยู่ 1 เดือน เดินหาสมัครงานทั่วถนนสุขุมวิท(เดินหา)ยังหาไม่ได้ ไปสมัครเป็นยาม แถวราม 2 อยู่ได้
1คืน ง่วงมากพาเพื่อนออกโดนหักไป ค่าประกันนายหน้า 500 บาท ไปสมัคร แคชเชียร์ ปั้ม ทำได้ 15 วัน เงินขาด 700 บาท ลาออกไม่ได้
ค่าแรงสักบาท มีเงินอยู่เก็บอยู่ 3000 บาทจากกิจนิมนต์ ตกงานอยู่ 3 เดือนเงินหมด และได้งานอยู่โรงผลิตน้ำเข้างาน 8.00 น.เลิก 17.00
ตอนนั้นมีเงินเหลือ 20 บาท ซื้อข้าวเหนียว 2 ห่อ ปลาทูทอด 1ตัว 10 บาท แบ่งกินกับเพื่อน 2 คน ตกเย็นเดินกลับวัด 15 โล ไม่มีค่ารถ ถึง
วัดค่อยหาข้าวกินในวัด หลายเดือนผ่านไปยังหางานไม่ได้ หลวงพี่ที่เคยอาศัยลาสิกขา ตัวผมเองไม่มีที่พิ่ง ไม่ได้อาศัยในวัดต่อ
ไม่มีที่นอนเงินหมด บางวันไม่ได้กินข้าวกินน้ำพลางๆขอยืมเงินเพื่อนได้บ้างบางทีก็ให้ 20 บาท บังเอิญมีคนแนะนำให้
ไปสมัครโรงงานแห่งนึง ย่านสุขุมวิท และเดินทางไปสมัครทิ้งไว้ ผ่านไป 1 อาทิตย์ยังไม่เรียกตัดสินใจ
ไปทำงานกับอีกคนที่ได้เจอกันพาไปทำงานแถวสมุทรสาคร กับเพื่อนอีก 1 คนที่ตกงานด้วยกัน เป็นงานก่อสร้าง
ทำไปทำมาได้ 15 วัน ทางโรงงานเขาก็เรียกเลยเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานครอีกครั้งไปพักอาศัยกับคนที่ได้
งานก่อนโชคดีที่โรงงานเป็นบริษัทผลิตอาหารไม่ต้องทนหิวอีกต่อไปแอบกินบ้างข้าวเทียงไม่ต้องกินก่อนกลับห้องกินให้อิ่ม บริษัทมีรถรับส่งไม่
ต้องใช้เงินสักบาก ผมตั้งใจทำงานไม่ลาไม่ขาดไม่สายแม้วันที่ป่วยเป็นใข้ผมก็ยังฟื้นไปทำ จนหัวหน้า หัวหน้าเดินมาถามไม่สบายก็พักได้ไม่
ต้องมาก็ได้ผมตอบกลับไปว่าผมทำไหวจน 16.00 น.ขอหัวหน้ากลับไปพักก่อนไม่ขอทำโอที วันนี้ บรรยากาศทำงานสนุกสนานรู้จักเพื่อนๆ
เยอะขึ้น แค่แว็บ เดี่ยว ผ่านไป 15 วัน เงินค่าแรงวิกแรกออก ได้ 2000 กว่าบาท ค่าแรง 165/วัน ขณะนั้น เป็นวันที่ดีใจมาก ตกเย็นมาก หาซื้อ
ข้าวกินที่อยากกินมานานอร่อยๆเพราะตลอด ครึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากของโรงาน ผ่านไป 3 เดือน
หัวหน้าต่อสัญญาให้เพราะเห็นว่าขยัน ผมก็ตั้งใจทำงานเหมือนเดิม จนถึง 1 ปี กว่า ก็ได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ
ชีวิตเริ่มดีขึ้น เก็บได้ก้อนนึงถึงจะไม่มากกับคนอื่นแต่มากกับมากมายกับผม นำเงินไปทำบ้านเล็กๆแถวบ้านเกิด ให้พ่อและแม่
ให้ดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่เพราะหญ้าคาอยู่ได้แค่1ปี พ่อและแม่ต้องไปเข้าป่าไปหามาเปลี่ยนทุกปีหลังๆมาเริ่มหายากผมภูมิใจที่ได้มันมา
ด้วยน้ำพักน้ำแรง หลังจากที่ทำบ้านเสร็จ ก็ได้เริ่มศึกษาต่อระดับ กศน.ม.6ตอน ปี2546-2548 และไปสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัย ย่านหัวหมาก
ปี2548ย้ายหอไปอยู่คนเดี่ยวเพราะต้องการอ่านนหนังสือเงียบๆเพราะเพื่อนชอบดูบอลตอนดึกๆ จำได้ว่า แรกๆไม่มีอะัไร มีแค่สื่อ 1ใบ กระติก
น้ำ 1 ใบ เสื้อผ้าไม่กี่ชุด พร้อมกับทำงานที่เดิมไปด้วย หัวหน้าใจดีให้ลาได้ในวันที่สอบ ซึงเราเองพยายามลงเรียนช่วงสอบให้ห่างๆกัน
เพื่อไม่ลาบ่อยและนาน เรียนจน ท้อบางวิชา สอบหลายๆครั้งซ่อมแล้วซ่อมอีกแต่ยังกัดฟันสู้จนจบ ใน ปี 2553
ประกาศผลสอบวิชาสุดท้าย ปรากฏว่าสอบผ่าน ดีใจมาก ที่จะได้รับปริญญา โทรไปบอกพ่อแม่ว่าเรียนจบแล้ว พ่อดีใจมาก
เตรียมตัวจะไปงานพิธีพระทานปริญญาบัตรในปีถัดไป พอหลังจากขึ้นทะเบียนบัณทิต ได้3 เดือน คุณพ่อล้มป่วย
และวันรุ่งขึ้นหลานโทรมาบอกว่าคุณพ่อเสียระหว่างที่ผมกำลังนั่งบนรถรับส่งจะไปทำงาน หลานร้องไห้ ผมเลยบอกไป
ว่าไม่เป็นไรเดี่ยวพรุ่งนี้จะกลับมานะ อาการผมเริ่มแซบตามากตาแดง รถรับส่งถึงโรงงงาน06.45 ช่วง 8.00เช้า ผมยังไม่ร้องไห้
เพราะอายเขาทั้งที่ในใจจะไม่ไหว ผมเดินไปบอกหัวหน้าว่าขอลากลับบ้าน 1อาทิตย์ หัวหน้าถามว่าจะไปไหน ผมแค่จะบอกว่าพ่อผมเสีย
ยังไม่ทันได้บอก พูดไม่ออกผมปล่อยร้องโฮเพื่อนๆตกใจผมไม่ฟังอะไรแล้วจะให้ลาหรือไม่ให้ลา ผมไม่ได้ิยินว่าหัวหน้าพูดอะไร
ในหัวคิดเพียงแค่ว่าให้ถึงบ้านเร็วๆผมรีบวิ่งออกมาจากโรงงาน ร้องไห้ไม่หยุด ทั้งบนรถเมล์ ร้องทั้งวันเพื่อนโทรมาหา
ไม่รับสาย ผู้ใหญ่ในบริษัทโทรมาหารับสายแต่พูดไม่ออกฟังเขาพูดแล้ววางๆไป ผมเก็บข้าวเก็บของเพื่อกลับบ้านโดยเร็ว พอเย็นก็เรียกแท็กซี่
ไปหมอชิต ระหว่งที่นั้งบนรถก็ร้องไห้ไปด้วยจนคนขับเขาถาม ว่าเป็นอะไรทะเลาะกับแฟนมาหรอ ผมพูดไม่ออกสมองคิดอะไรไม่ออกแล้ว ระ
หว่งที่นั้งรอรถทัวร์ ผมไปนั้งร้องไห้ตรงที่ไม่มีคนอยู่ พอถึงเวลาเดินทางรถออก ผมก็อดคิดไม่ได้ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ไม่รอดูลูกรับปริญญา
พ่อพูดอยู่เสมอเราจะฉลองกันเมื่อถึงวันนั้น ผมนั่งรถทัวร์คืนนั้นไม่ได้นอน ร้องไห้จนถึงบ้าน หลังทำพิธีเสร็จ ผ่าน 15 วันเริ่มทำใจได้ เดินทาง
กลับกรุงเทพเพื่อจะไปทำงาน และวันที่รอคอยก็มาถึง วันที่รับเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร บางครอบครัวเขาดูมีความสุขสนุกสนาน
เฮฮามีพ่อแม่มายินดีกับลูก แต่ผมไม่มีใครมา มีเพียงเพื่อน 3-4 คนที่รู้ข่าวทั้งๆที่ไม่ได้บอกใคร เป็นวันที่เศร้าของผม
แม่ผมไม่ได้มา เพราะกลัวแม่ลำบากเลยไม่ให้มากรุงเทพแอบน้อยใจในชีวิตที่รันทด ใจผมเริ่มเฉยๆไม่รู้สึกยินดี ดีใจกับเหตุการณ์
จะเกิดที่อยู่ข้างหน้าทั้งๆที่รอวันนี้มานานแสนนาน ผมเอารูปพ่อใบเล็กๆใส่ในกระเป๋า ในวันงานในวันที่สำเร็จกลับไม่มีความสุข
ชีวิตผมมืดมนฝันของผมสลายเหมือนโลกนี้มีแค่ผม
1 เดือนจากนั้นผมกลับบ้าน แต่ทุกครั้งที่ผมกลับพ่อจะเป็นคนมารับด้วยตนเองและทุกวันอาทิตย์พ่อก็จะโทรมาหาวันนี้
ก็เศร้าอีกครั้งกลายเป็นคนอื่นที่มารับ และทุกๆวันอาทิตย์หลังจากนั้นก็ไม่มีใครโทรหา แม่รู้ว่าผมเสียใจ
ในวันที่กลับบ้านพ่อไม่ได้ไปรับ ไม่มีใครโทรหาในวันอาทิตย์ แม่พยายามทำแทนโทรมาหา ผมร้องไห้กับแม่
เป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่เข็มแข็ง พอผมถึงบ้านถ่ายรูปกับแม่ เสร็จแล้ว บ่ายๆก็เดินทางไปหลุมฝังศพในป่าช้าคนเดี่ยว
ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนกลัวผีมาก ตั้งแต่พอเอาพ่อไปฝังที่ตรงนั้นผมก็ไม่รู้สึกกลัวอีกเลย กลายเป็นคนละคน
แม่ยังไม่กล้าไป และผมก็ได้เอารูปที่ได้จากรับปริญญาบัตรมาให้พ่อ 1ใบ แล้วบอกพ่อว่า "ผมกลับมาแล้ว
เอาใบปริญญมาให้พ่อแล้ว" แล้วผมก็นั่งร้องไห้สักพักก็กลับ บ้าน
จากนั้น 2 ปี ผมก็ลาออกจากททำงานเก่าที่ผมเคยทำมาตั้งแต่ต้น เป็น เวลา 11 ปี ไปสมัครงานไปสัมภาษณ์ไปด้วยระหว่างที่ยัง
ทำงานอยู่ โชคดีที่ได้งาน ด้าน HR. เขารับทั้งที่ผมไม่มีประสบการณ์แต่ผมไม่มีความสุขกับงานทำไปวันๆ ตอบแทนเขาที่อุส่าห์รับผม แรกงง
ผ่านไป 1อาทิตย์เริ่มเข้าใจทำเองได้แล้วไม่เข้าใจถามบ้าง ทุกวันนี้ ผมก็ดูแลแม่ส่งเงินไปให้เดือนละ 2000 บาทไม่ให้ทำงานอะไร
กลัวเจ็บป่วย กลัวเสียไปอีกคน ส่งน้องเรียนส่งมอเตอร์ไซค์ให้น้องกับหลาน 1คัน ใช้ไปเรียน เงินเดือน 13000 ยังไม่ผ่านโปร
ตอนนี้ผมเหนื่อยกับชีวิตท้อแท้ต่อกับโชคชะตาของตัวเอง อยากตัดเวลาที่มันเศร้าๆออกไปจากชีวิต ไม่อยากเจอมันอีก อยากใช้ชีวิตเรียบ
ง่ายไม่ต้องมีรถไม่ต้องมีบ้านสวยๆ เคยฝันอยากเป็นปลัดอำเภอไว้อวดพ่อฝันหลายๆอย่าง วันนี้ผมไม่อยากได้อะไรแล้ว
ฝันที่ยิ่งใหญ่ตอนนี้เก็บตังไว้ก้อนนึงไว้กลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายอยากดูแลแม่ด้วยตัวเอง ขอแค่ผมได้อยู่กับใกล้ๆแม่ ครบครัวที่พร้อม
หน้า เพียงแค่นี้จริงๆ
เขียนไปร้องไห้ไปครับ เหมือนเหตุการณ์พิ่งเกิดเมื่อวาน พิมพ์ตกก็ขออภัย
(ขอบขอบพระคุณทุกๆท่านทุกๆคน ที่มาให้กำลังใจผู้ชายตัวเล็กๆคนนึงที่วันนี้รู้สึกท้อแท้ได้มีแรงก้าวเดินต่อไป ขอบคุณจริงๆ)