เห็นคุณเชษฐา เขียนถึงเรื่องราวของสตรีจีนที่น่าสนใจแล้ว ผมเลยขออนุญาตเสนอเรื่องราวของวีรสตรีอีก 1 ท่าน ที่ผมนิยมชมชอบ และมีประวัติที่น่าสนใจครับ
ในประวัติศาสตร์จีนนั้น หากกล่าวถึงลิโป้ว่าเป็นเทพนักรบที่เป็นชายแล้ว เทพนักรบที่เป็นอิสสตรี คงมิมีผู้ใดเกิน ฉินเหลียงอวี้ 秦良玉 ครับ
ฉินเหลียงอวี้นั้นไม่ใช่ชาวจีนฮั่น แต่เป็นชนชาติม้งครับ เธอเกิดในปีว่านลี่ที่ 3 ตรงกับปี ค.ศ.1574 พื้นเพเป็นคนเมืองจงโจว ปัจจุบันคือ อำเภอจ่งเสียน ขึ้นกับเขตมหานครฉงชิ่ง ว่ากันว่านางมีร่างกายสูงใหญ่เกือบ 1 จ้าง (เกือบ 2 เมตร) ในวัยเยาว์เนื่องจากเป็นชาวเขาเผ่าม้ง นางจึงเรียนวิชาขี่ม้า ยิงธนู และสู้รบตามแบบคนเผ่าม้ง ที่ทุกคนเป็นนักรบไม่แยกหญิงชายแบบชาวจีนฮั่นครับ เมื่อเธอเติบโตขึ้นเป็นสาว ก็ได้แต่งงานกับ หม่าเฉียนเฉิง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองซื่อจู่ ในราวปี 1592-93 ครับ
ปีว่านลี่ที่ 27 ตรงกับปี ค.ศ. 1599 เกิดกบฏชาวนาที่นำโดยหยางหยิ่งหลงในเสฉวนครับ หม่าเฉียนเฉิงซึ่งเป็นกรมการเมืองท้องที่ก็ต้องนำทหารออกรบปราบกบฏตามคำสั่งของราชสำนัก ซึ่งฉินเหลียงอวี้ที่เป็นภรรยาก็ร่วมนำทัพออกรบด้วย โดยเวลาออกรบนางจะใส่ชุดเกราะสีขาวเสมอ ผลการรบนั้นเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม กองทัพเมืองซื่อจู่ทำผลงานได้ดี และหม่าเฉียนเฉิงก็ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากราชสำนักให้เป็นแม่ทัพเขตจงโจว
ในช่วงระหว่างปีว่านลี่ที่ 30 จนถึง สิ้นรัชกาลว่านลี่นั้น เกิดการกบฏย่อยๆในเสฉวนและหูเป่ยหลายครั้งครับ ซึ่งหม่าเฉียนเฉิงกับฉินเหลียงอวี้ก็นำกองทัพออกร่วมต่อสู้ตามบัญชาของราชสำนักเสมอๆ โดยฉินเหลียงอวี้ได้ก่อตั้งกองทหารม้าหอกขาวขึ้น มีผลการรบยอดเยี่ยมขนาดที่ว่าบุกไปที่ไหนไม่เคยพ่ายแพ้ และนางก็นำทัพออกต่อสู้เสมอ จนในกองทัพว่ากันว่า ฉินเหลียงอวี้น่าจะเก่งกว่าสามีอย่าง หม่าเฉียนเฉิงเสียอีก
ในปี ว่านลี่ที่ 45 หลังจากหม่าเฉียนเฉิงไปรบปราบกบฏที่ป๋อโจว และเดินทางกลับเมืองซื่อจู่นั้น เขาก็ถูกราชสำนักเรียกตัวไปปักกิ่ง และโดนคุมขังด้วยข้อหาที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมกับกบฏในเสฉวนครับ จนภายหลังหม่าเฉียนเฉิงป่วยตายในที่คุมขัง และพอราชสำนักสอบสวนว่าเป็นการเข้าใจผิด ทางราชสำนักก็คืนยศศักดิ์ให้หม่าเฉียนเฉิง และให้ฉินเหลียงอวี้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพรักษาเมืองซื่อจู่แทนสามีแต่นั้นมา
ปีไท่ชางที่ 1 ตรงกับ ค.ศ. 1620 ทางราชสำนักหมิงเรียกระดมพลเพื่ออาสาไปป้องกันเมืองเสิ่นหยาง (กว่างหยวน) เพื่อต่อสู้กับพวกหนี่เจิน ที่นำโดยนูร์ฮาร์ชี ด้วยความรักชาติ ฉินเหลียงอวี้รีบอาสาทันที นางขายสมบัติส่วนตัวจำนวนมากเพื่อใช้เป็นทุนรอนในการนำกองทัพอาสาจากเสฉวนราว 3,000 คน เดินทัพขึ้นเหนือหลายพันลี้ไปรบในตงเป่ยเพื่อปกป้องชาติ ว่ากันว่ากองทัพของฉินเหลียงอวี้มีวินัยสูงมาก เดินทัพไปที่ใดก็ไม่ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน พอไปถึงเหลียวตงกองทัพทหารม้าหอกขาวของฉินเหลียงอวี้ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม รบชนะพวกหนี่เจินหลายครั้ง และมีส่วนสำคัญในการปกป้องด่านซานไห่กับเมืองกว่างหยวน
ปีเทียนฉีที่ 2 ตรงกับ ค.ศ. 1622 เช่อหย่งหนิง แม่ทัพเสฉวนก่อการกบฏต่อต้านราชสำนักครับ เขาส่งทูตนำของขวัญล้ำค่าจำนวนมากมามอบให้กับ ฉินเหลียงอวี้ที่เมืองซื่อจู่ เพื่อขอให้นางช่วยสนับสนุนเขาทำการใหญ่ แต่ฉินเหลียงอวี้ปฏิเสธ และสังหารทูตของเช่อหย่งหนิง พร้อมกับนำกองทัพจากเมืองซื่อจู่บุกตีเมืองฉงชิ่งเพื่อปราบกบฏทันที ซึ่งเธอทำสำเร็จสามารถกำจัดเช่อหย่งหนิงได้ (เพราะกองทหารกบฏพอได้ยินชื่อ ฉินเหลียงอวี้ ก็วางอาวุธยอมแพ้กันเป็นแถบๆเนื่องจากไม่อยากตายฟรี และเลื่อมใส่ในวีรกรรมของนาง) จนทางราชสำนักพระราชทานตำแหน่ง แม่ทัพใหญ่ 都督佥事 ให้ฉินเป็นรางวัล
ปีฉงเจินที่ 2 (ค.ศ. 1629) จักรพรรดิฉงเจิน ทรงเรียกระดมกองทัพทั่วประเทศให้ส่งตัวแทนมาปักกิ่งเพื่อแสดงความจงรักภักดีครับ ฉินเหลียงอวี้ก็ขายสมบัติส่วนตัวเป็นทุนรอน นำทหาร 1000 คนจากฉงชิ่งไปปักกิ่งเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิฉงเจิน ซึ่งจักรพรรดิฉงเจินทรงตื้นตันพระทัยมาก ขนาดทรงนิพนธ์ และทรงอักษรบทกลอนสดุดีฉินเหลียงอวี้ถึง 4 บทด้วยพระองค์เอง
ในรัชกาลฉงเจิน ฉินเหลียงอวี้นำทัพออกรบช่วยเหลือราชสำนักปราบกบฏหรือขุนศึกที่กระด้างกระเดื่องไปทั่วแผ่นดินครับ ทั้งในเสฉวนบ้านเกิด ตงเป่ย์ หูเป่ย์ หูหนาน และส่านซี ผลงานของเธอไม่เคยพ่ายแพ้เลย จนครั้งหนึ่งที่ยกทัพใหญ่จากเสฉวนไปช่วย อัครมหาเสนาบดี ส้าวเจี่ยซุ่น รบกับหลี่จื้อเฉิงในเหอหนาน ที่เพราะความอ่อนแอของกองทัพหมิงทำให้กองทัพทหารม้าหอกขาวพ่ายแพ้ยับเยินครับ ฉินเหลียงอวี้เสียทหารใต้บังคับบัญชาไป 3 หมื่นคน และต้องถอยทัพกลับเมืองซื่อจู่บ้านเกิดไป
ท้ายสุดในปีฉงเจินที่ 17 กองทัพกบฏชาวนาของหลี่จื้อเฉิงก็ตีปักกิ่งแตก ราชวงศ์หมิงจึงล่มสลายลง ในขณะนั้นเอง ฉินเหลียงอวี้ก็กำลังต่อสู่กับ จางเสียนจง ขุนศึกกบฏชาวนาผู้ยิ่งใหญ่แห่งเสฉวนครับ ซึ่งฉินช่วยปกป้องเมืองซื่อจู่และพื้นที่ใกล้เคียง (จงโจว) จากการปล้นสะดมและทำลายล้างของจางเสียนจงได้
ต่อมาเมื่อพวกแมนจูเข้าด่านมาและตีจางเสียนจงจนล่าถอยไปจากเสฉวนในปีหลงอู่ที่ 2 (คศ.1646) นั้น ฉินเหลียงอวี้ก็ยังนำกองทัพทหารม้าหอกขาวแห่งเมืองซื่อจู่ต่อต้านแมนจูต่อไปครับ จนเธอได้รับแต่งตั้งจากจักรพรรดิหลงอู่ที่ฟุโจวให้เป็น 太子太保 หรือผู้พิทักษ์รัชทายาท ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับสูงมากเท่าที่ผู้หญิงเคยได้รับ
ตลอดระยะเวลา 4 ปี หลังจากราชวงศ์หมิงที่ปักกิ่งล่มสลาย ฉินเหลียงอวี้อาศัยความสามารถทางการรบ ปกป้องเมืองซื่อจู่และจงโจวจากพวกโจร และแมนจูตลอดมาครับ และพอเธอก็ยังส่งทูตหรือความจงรักภักดีไปถวายต่อจักรพรรดิหมิงที่เมืองต่างๆเสมอ ไม่ว่าจะเป็น จักรพรรดิหลงอู่ที่ฟุโจว หรือ จักรพรรดิส้าวอู่ที่กว่างโจว เป็นต้น
ฉินเหลียงอวี้มาถึงแก่กรรมในปี 1648 ครับ เนื่องจากเธอตกจากหลังม้า ในขณะที่ขี่ม้าออกตรวจลาดตระเวนป้องกันข้าศึก ด้วยวัย 75 ปี ถือเป็นแม่ทัพหญิงที่ชาวเสฉวน โดยเฉพาะชาวฉงชิ่งให้ความนับถือยกย่องมากที่สุดคนหนึ่ง และได้รับการนับถือเป็น 1 ใน 3 เทพที่คอยปกป้องเสฉวน คู่กับ เตียหุย และงันเหงียม ขุนศึกในสมัยสามก๊ก
ฉินเหลียงอวี้ สุดยอดนักรบหญิงในประวัติศาสตร์จีน
ในประวัติศาสตร์จีนนั้น หากกล่าวถึงลิโป้ว่าเป็นเทพนักรบที่เป็นชายแล้ว เทพนักรบที่เป็นอิสสตรี คงมิมีผู้ใดเกิน ฉินเหลียงอวี้ 秦良玉 ครับ
ฉินเหลียงอวี้นั้นไม่ใช่ชาวจีนฮั่น แต่เป็นชนชาติม้งครับ เธอเกิดในปีว่านลี่ที่ 3 ตรงกับปี ค.ศ.1574 พื้นเพเป็นคนเมืองจงโจว ปัจจุบันคือ อำเภอจ่งเสียน ขึ้นกับเขตมหานครฉงชิ่ง ว่ากันว่านางมีร่างกายสูงใหญ่เกือบ 1 จ้าง (เกือบ 2 เมตร) ในวัยเยาว์เนื่องจากเป็นชาวเขาเผ่าม้ง นางจึงเรียนวิชาขี่ม้า ยิงธนู และสู้รบตามแบบคนเผ่าม้ง ที่ทุกคนเป็นนักรบไม่แยกหญิงชายแบบชาวจีนฮั่นครับ เมื่อเธอเติบโตขึ้นเป็นสาว ก็ได้แต่งงานกับ หม่าเฉียนเฉิง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองซื่อจู่ ในราวปี 1592-93 ครับ
ปีว่านลี่ที่ 27 ตรงกับปี ค.ศ. 1599 เกิดกบฏชาวนาที่นำโดยหยางหยิ่งหลงในเสฉวนครับ หม่าเฉียนเฉิงซึ่งเป็นกรมการเมืองท้องที่ก็ต้องนำทหารออกรบปราบกบฏตามคำสั่งของราชสำนัก ซึ่งฉินเหลียงอวี้ที่เป็นภรรยาก็ร่วมนำทัพออกรบด้วย โดยเวลาออกรบนางจะใส่ชุดเกราะสีขาวเสมอ ผลการรบนั้นเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม กองทัพเมืองซื่อจู่ทำผลงานได้ดี และหม่าเฉียนเฉิงก็ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากราชสำนักให้เป็นแม่ทัพเขตจงโจว
ในช่วงระหว่างปีว่านลี่ที่ 30 จนถึง สิ้นรัชกาลว่านลี่นั้น เกิดการกบฏย่อยๆในเสฉวนและหูเป่ยหลายครั้งครับ ซึ่งหม่าเฉียนเฉิงกับฉินเหลียงอวี้ก็นำกองทัพออกร่วมต่อสู้ตามบัญชาของราชสำนักเสมอๆ โดยฉินเหลียงอวี้ได้ก่อตั้งกองทหารม้าหอกขาวขึ้น มีผลการรบยอดเยี่ยมขนาดที่ว่าบุกไปที่ไหนไม่เคยพ่ายแพ้ และนางก็นำทัพออกต่อสู้เสมอ จนในกองทัพว่ากันว่า ฉินเหลียงอวี้น่าจะเก่งกว่าสามีอย่าง หม่าเฉียนเฉิงเสียอีก
ในปี ว่านลี่ที่ 45 หลังจากหม่าเฉียนเฉิงไปรบปราบกบฏที่ป๋อโจว และเดินทางกลับเมืองซื่อจู่นั้น เขาก็ถูกราชสำนักเรียกตัวไปปักกิ่ง และโดนคุมขังด้วยข้อหาที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมกับกบฏในเสฉวนครับ จนภายหลังหม่าเฉียนเฉิงป่วยตายในที่คุมขัง และพอราชสำนักสอบสวนว่าเป็นการเข้าใจผิด ทางราชสำนักก็คืนยศศักดิ์ให้หม่าเฉียนเฉิง และให้ฉินเหลียงอวี้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพรักษาเมืองซื่อจู่แทนสามีแต่นั้นมา
ปีไท่ชางที่ 1 ตรงกับ ค.ศ. 1620 ทางราชสำนักหมิงเรียกระดมพลเพื่ออาสาไปป้องกันเมืองเสิ่นหยาง (กว่างหยวน) เพื่อต่อสู้กับพวกหนี่เจิน ที่นำโดยนูร์ฮาร์ชี ด้วยความรักชาติ ฉินเหลียงอวี้รีบอาสาทันที นางขายสมบัติส่วนตัวจำนวนมากเพื่อใช้เป็นทุนรอนในการนำกองทัพอาสาจากเสฉวนราว 3,000 คน เดินทัพขึ้นเหนือหลายพันลี้ไปรบในตงเป่ยเพื่อปกป้องชาติ ว่ากันว่ากองทัพของฉินเหลียงอวี้มีวินัยสูงมาก เดินทัพไปที่ใดก็ไม่ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน พอไปถึงเหลียวตงกองทัพทหารม้าหอกขาวของฉินเหลียงอวี้ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม รบชนะพวกหนี่เจินหลายครั้ง และมีส่วนสำคัญในการปกป้องด่านซานไห่กับเมืองกว่างหยวน
ปีเทียนฉีที่ 2 ตรงกับ ค.ศ. 1622 เช่อหย่งหนิง แม่ทัพเสฉวนก่อการกบฏต่อต้านราชสำนักครับ เขาส่งทูตนำของขวัญล้ำค่าจำนวนมากมามอบให้กับ ฉินเหลียงอวี้ที่เมืองซื่อจู่ เพื่อขอให้นางช่วยสนับสนุนเขาทำการใหญ่ แต่ฉินเหลียงอวี้ปฏิเสธ และสังหารทูตของเช่อหย่งหนิง พร้อมกับนำกองทัพจากเมืองซื่อจู่บุกตีเมืองฉงชิ่งเพื่อปราบกบฏทันที ซึ่งเธอทำสำเร็จสามารถกำจัดเช่อหย่งหนิงได้ (เพราะกองทหารกบฏพอได้ยินชื่อ ฉินเหลียงอวี้ ก็วางอาวุธยอมแพ้กันเป็นแถบๆเนื่องจากไม่อยากตายฟรี และเลื่อมใส่ในวีรกรรมของนาง) จนทางราชสำนักพระราชทานตำแหน่ง แม่ทัพใหญ่ 都督佥事 ให้ฉินเป็นรางวัล
ปีฉงเจินที่ 2 (ค.ศ. 1629) จักรพรรดิฉงเจิน ทรงเรียกระดมกองทัพทั่วประเทศให้ส่งตัวแทนมาปักกิ่งเพื่อแสดงความจงรักภักดีครับ ฉินเหลียงอวี้ก็ขายสมบัติส่วนตัวเป็นทุนรอน นำทหาร 1000 คนจากฉงชิ่งไปปักกิ่งเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิฉงเจิน ซึ่งจักรพรรดิฉงเจินทรงตื้นตันพระทัยมาก ขนาดทรงนิพนธ์ และทรงอักษรบทกลอนสดุดีฉินเหลียงอวี้ถึง 4 บทด้วยพระองค์เอง
ในรัชกาลฉงเจิน ฉินเหลียงอวี้นำทัพออกรบช่วยเหลือราชสำนักปราบกบฏหรือขุนศึกที่กระด้างกระเดื่องไปทั่วแผ่นดินครับ ทั้งในเสฉวนบ้านเกิด ตงเป่ย์ หูเป่ย์ หูหนาน และส่านซี ผลงานของเธอไม่เคยพ่ายแพ้เลย จนครั้งหนึ่งที่ยกทัพใหญ่จากเสฉวนไปช่วย อัครมหาเสนาบดี ส้าวเจี่ยซุ่น รบกับหลี่จื้อเฉิงในเหอหนาน ที่เพราะความอ่อนแอของกองทัพหมิงทำให้กองทัพทหารม้าหอกขาวพ่ายแพ้ยับเยินครับ ฉินเหลียงอวี้เสียทหารใต้บังคับบัญชาไป 3 หมื่นคน และต้องถอยทัพกลับเมืองซื่อจู่บ้านเกิดไป
ท้ายสุดในปีฉงเจินที่ 17 กองทัพกบฏชาวนาของหลี่จื้อเฉิงก็ตีปักกิ่งแตก ราชวงศ์หมิงจึงล่มสลายลง ในขณะนั้นเอง ฉินเหลียงอวี้ก็กำลังต่อสู่กับ จางเสียนจง ขุนศึกกบฏชาวนาผู้ยิ่งใหญ่แห่งเสฉวนครับ ซึ่งฉินช่วยปกป้องเมืองซื่อจู่และพื้นที่ใกล้เคียง (จงโจว) จากการปล้นสะดมและทำลายล้างของจางเสียนจงได้
ต่อมาเมื่อพวกแมนจูเข้าด่านมาและตีจางเสียนจงจนล่าถอยไปจากเสฉวนในปีหลงอู่ที่ 2 (คศ.1646) นั้น ฉินเหลียงอวี้ก็ยังนำกองทัพทหารม้าหอกขาวแห่งเมืองซื่อจู่ต่อต้านแมนจูต่อไปครับ จนเธอได้รับแต่งตั้งจากจักรพรรดิหลงอู่ที่ฟุโจวให้เป็น 太子太保 หรือผู้พิทักษ์รัชทายาท ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับสูงมากเท่าที่ผู้หญิงเคยได้รับ
ตลอดระยะเวลา 4 ปี หลังจากราชวงศ์หมิงที่ปักกิ่งล่มสลาย ฉินเหลียงอวี้อาศัยความสามารถทางการรบ ปกป้องเมืองซื่อจู่และจงโจวจากพวกโจร และแมนจูตลอดมาครับ และพอเธอก็ยังส่งทูตหรือความจงรักภักดีไปถวายต่อจักรพรรดิหมิงที่เมืองต่างๆเสมอ ไม่ว่าจะเป็น จักรพรรดิหลงอู่ที่ฟุโจว หรือ จักรพรรดิส้าวอู่ที่กว่างโจว เป็นต้น
ฉินเหลียงอวี้มาถึงแก่กรรมในปี 1648 ครับ เนื่องจากเธอตกจากหลังม้า ในขณะที่ขี่ม้าออกตรวจลาดตระเวนป้องกันข้าศึก ด้วยวัย 75 ปี ถือเป็นแม่ทัพหญิงที่ชาวเสฉวน โดยเฉพาะชาวฉงชิ่งให้ความนับถือยกย่องมากที่สุดคนหนึ่ง และได้รับการนับถือเป็น 1 ใน 3 เทพที่คอยปกป้องเสฉวน คู่กับ เตียหุย และงันเหงียม ขุนศึกในสมัยสามก๊ก