วิวัฒนาการ และความก้าวหน้าของประชาธิปไตยในประเทศไทย

สังคม ประเทศชาติต้องเจริญก้าวหน้า  ก้าวหน้าด้วยระบอบประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ไม่มีหนทางอื่น
ประเทศไทยได้พัฒนาก้าวหน้าทางประชาธิปไตยแล้ว ด้วย 3 ก้าวใหญ่ๆ

ก้าวที่ 1  ปี 2475 คณะราษฎร เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตย มาสู่ประชาธิปไตย
จุดอ่อนของก้าวนี้คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยชนชั้นเบื้องบน ของผู้มีฐานะ ผู้มีการศึกษาจากต่างประเทศ ประชาชนยังไม่คุ้นเคยกับคำว่าประชาธิปไตย การปฏิวัติยังขาดการสนับสนุนจากประชาชนโดยรวม จึงเป็นการต่อสู้ของคนระดับเบื้องบนโดยเฉพาะ เป็นผลทำให้ฝ่ายอมาตย์ใหญ่ เชื้อพระวงศ์ที่เสียผลประโยชน์ และต่อต้านระบอบประชาธิปไตยได้โต้กลับ และสามารถยับยั้งความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตย เป็นผลทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ แต่ฝ่ายอมาตย์ ยังไม่อาจกุมอำนาจทางทหารได้หมด
ข้อดีของก้าวนี้คือ การสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตย

ก้าวที่ 2 เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกันต่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะยุคนั้นคือยุคเผด็จการ ที่ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ และเผด็จการทหารยังครองอำนาจอย่างยาวนาน ไร้ระบอบประชาธิปไตย ก้าวนี้เริ่มมีประชาชนบางส่วนเข้าร่วมต่อสู้กับนิสิตนักศึกษาเช่น กรรมกร ชาวนา นักวิชาการบางส่วน ความคิดเห็นระบอบประชาธิปไตยเริ่มฝังรากลงบนสังคมไทยในแนวกว้างมากขึ้น มีรัฐธรรมนูญปี 2517 มีการเลือกตั้งในปี 2518 บรรยากาศเริ่มมีประชาธิปไตย แต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้น และประชาชนบางส่วนมีแนวความคิดคอมมิวนิสต์ ฝ่ายอมาตย์ที่ซุ่มรอทำลายระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วจึงวางแผนเข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เพื่อให้กลับมาเป็นระบอบเผด็จการอมาตย์อีกครั้ง โดยอ้างว่านิสิตนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งหลัง 6 ตุลานี้ ฝ่ายอมาตย์สามารถยึดกุมอำนาจการทหารได้หมด จากนั้นทำการหลอกลวงประชาชนอย่างแนบเนียน คือหลอกว่าจะให้มีประชาธิปไตย ให้มีการเลือกตั้ง แต่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยต้องค่อยเป็นค่อยไป ประชาชนต้องเรียนรู้ถึงระบอบประชาธิปไตยก่อน เป็นผลให้ป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีได้ถึงเกือบ 8 ปี  
ก้าวที่ 2 นี้มีข้อดีคือ ระบอบประชาธิปไตยเริ่มแพร่หลายในหมู่ประชาชน เพียงแต่ยังไม่กว้างขวางมากนัก
ข้อเสียคือ นักเรียน นิสิตนักศึกษาเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตย ทำให้ยังขาดการยอมรับจากประชาชน การต่อสู้ยังขาดพลัง เพราะมีบางส่วนเห็นด้วยกับแนวทางคอมมิวนิสต์

ก้าวที่ 3 หลังการรัฐประหาร 2549 ก้าวย่างนี้เป็นก้าวใหญ่ที่สุด มั่นคงที่สุด ประชาชนตื่นตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา พัฒนาสูงกว่า 2 ก้าวที่ผ่านมา เป็นก้าวที่อมาตย์ต้องพบกับความยากลำบากที่สุดในการปราบปรามประชาชน ยุทธวิธี และวิธีการเก่าที่เคยใช้ได้ผลในย่างก้าวที่ 1 และ 2 ไม่อาจมาใช้ได้อีกแล้ว นานาชาติเริ่มมองเห็นความชั่วร้ายของฝ่ายอมาตย์ และให้การสนับสนุนประชาธิปไคยในประเทศไทย คำลวงไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว ยิ่งลวง ยิ่งปราบ ประชาชนยิ่งเพิ่ม เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายอมาตย์ถูกโดดเดี่ยวจากประชาชนอย่างแท้จริง

สังคมย่อมต้องมีวิวัฒนาการ ก้าวไปสู่ความเจริญกว่า แม้ว่าฝ่ายอมาตย์พยายามฉุดรั้งยังไงก็ตาม ประชาชนจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับชาติที่พัฒนาทั้งหลาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่