เกือบทุกครั้งที่มีการชุมนุมของกลุ่มตรงข้ามกับรัฐบาล แม้แต่ครั้งนี้ที่เรียกตนเองว่า กปปส. ก็มักจะเอ่ยอ้าง หรือท้าวความถึงปัญหาต่าง ๆ นานา พร่ำพรรณนาถึงวิฤตการณ์สารพัดและพยายามเรียกร้องให้ทหาร ออกมาเพื่อ ทำรัฐประหาร เพื่อหวังเป็นตัวช่วยและพลักดันให้กลุ่มคนของตนขึ้นมา แต่จะเห็นได้ว่า หลังจากการทำรัฐประหาร ในทุกๆครั้ง ที่ผ่านมาปัญหาของประเทศชาติก็ไม่ได้คลี่คลายลงไปแต่น้อย ความสมานฉันท์ของคนในประเทศไม่ได้ดีขึ้นเมื่อเทียบก่อนทำรัฐประหาร มิหนำซ้ำ จะเกิดการ “แบ่งเขาแบ่งเรา” คือระหว่างภาคเหนือ- อีสานกับ ภาคใต้ มีการกระแหนะกระแหนกัน ซึ่งเกรงว่าจะกลายเป็นประเด็น “ภูมิภาคนิยม” ขึ้นมาเสียอีก
สำหรับปัญหาการทุจริตซึ่งเป็นหนึ่งในข้ออ้างของการทำรัฐประหารนั้น เกือบทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหาร คณะรัฐประหารก็มักจะฉกฉวยโอกาสที่จะแสงหาผลประโยชน์เข้าตนเองและพวกพ้อง ซึ่งมักจะเคลือบแฝงในนามของ เงินเดือน ผลประโยชน์ เบี้ยประชุม การนั่งเป็นประธานบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ การอนุมัติงบลับ การแต่งตั้งพรรคพวกตนเองเข้าไปดำรงในตำแหน่งสนช. สสร. หรือการอุปโลกน์องค์กรเฉพาะกิจอื่นๆโดยมีค่าตอบแทนจำนวนมากเป็นเครื่องล่อ ซึ่งเราจะจัดพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายประพฤติมิชอบหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่ผมนั้นถือว่าเป็นการประพฤติมิชอบแต่ทำให้ดูเนียนขึ้นเท่านั้นเอง
สรุปก็คือ เราไม่สามารถเเก้ไขปัญหาประเทศชาติด้วยการ “ล้มกระดาน” (tabura rasa) เเล้วเเทรกเเซงกระบวนการยุติธรรมตามระบบปกติด้วยการอุปโลกน์องค์กรเฉพาะกิจขึ้นมาทำหน้าที่เเทน ทำให้ความน่าเชื่อถือต่อหลักนิติรัฐรวนไปทั้งระบบ ปัญหาของประเทศชาติในปัจจุบันทวีความซับซ้อนเเละเกี่ยวกันกับกระเเสโลกาภิวัฒน์มากขึ้นทุกทีๆ จนไม่สามารถมักง่ายด้วยการทำรัฐประหารต่อไปอีกเเล้ว
และสิ่งที่สังคมไทยได้เรียนรู้และรับได้จริงๆ
1. ความเป็นกลางไม่มีอยู่จริง
2. คุณธรรม จริยธรรมไม่มีอยู่จริง
ผมมองว่าตอนนี้สังคมไทยได้เรียนรู้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ยิ่งถ้าทางกลุ่ม กปปส.อยากจะสนองความอยากส่วนตัวด้วยการเรียกร้องให้มีการทำรัฐประหาร
อีก แต่คราวนี้อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะอาจจะได้ ตีนจากประชาชนที่รัก และหวงแหนในระบอบประชาธิปไตย แทน ครับ.
จดหมายอีกครั้งถึงพวก(เต่าล้านปี)ที่สนับสนุนให้ทหารปฏิวัติ
สำหรับปัญหาการทุจริตซึ่งเป็นหนึ่งในข้ออ้างของการทำรัฐประหารนั้น เกือบทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหาร คณะรัฐประหารก็มักจะฉกฉวยโอกาสที่จะแสงหาผลประโยชน์เข้าตนเองและพวกพ้อง ซึ่งมักจะเคลือบแฝงในนามของ เงินเดือน ผลประโยชน์ เบี้ยประชุม การนั่งเป็นประธานบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ การอนุมัติงบลับ การแต่งตั้งพรรคพวกตนเองเข้าไปดำรงในตำแหน่งสนช. สสร. หรือการอุปโลกน์องค์กรเฉพาะกิจอื่นๆโดยมีค่าตอบแทนจำนวนมากเป็นเครื่องล่อ ซึ่งเราจะจัดพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายประพฤติมิชอบหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่ผมนั้นถือว่าเป็นการประพฤติมิชอบแต่ทำให้ดูเนียนขึ้นเท่านั้นเอง
สรุปก็คือ เราไม่สามารถเเก้ไขปัญหาประเทศชาติด้วยการ “ล้มกระดาน” (tabura rasa) เเล้วเเทรกเเซงกระบวนการยุติธรรมตามระบบปกติด้วยการอุปโลกน์องค์กรเฉพาะกิจขึ้นมาทำหน้าที่เเทน ทำให้ความน่าเชื่อถือต่อหลักนิติรัฐรวนไปทั้งระบบ ปัญหาของประเทศชาติในปัจจุบันทวีความซับซ้อนเเละเกี่ยวกันกับกระเเสโลกาภิวัฒน์มากขึ้นทุกทีๆ จนไม่สามารถมักง่ายด้วยการทำรัฐประหารต่อไปอีกเเล้ว
และสิ่งที่สังคมไทยได้เรียนรู้และรับได้จริงๆ
1. ความเป็นกลางไม่มีอยู่จริง
2. คุณธรรม จริยธรรมไม่มีอยู่จริง
ผมมองว่าตอนนี้สังคมไทยได้เรียนรู้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ยิ่งถ้าทางกลุ่ม กปปส.อยากจะสนองความอยากส่วนตัวด้วยการเรียกร้องให้มีการทำรัฐประหาร
อีก แต่คราวนี้อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะอาจจะได้ ตีนจากประชาชนที่รัก และหวงแหนในระบอบประชาธิปไตย แทน ครับ.