ก่อนไปหัวลำโพง ผมมาสักการะพระพรหมที่แยกราชประสงค์ก่อนกลับบ้าน เขียนจดหมายลาฝากเพื่อนถึงเถ้าแก่ไว้แล้วเมื่อวานนี้
นึกย้อนไปเมื่อผมกระโจนออกจากบ้านเมื่อจบ ปวช. ที่บ้านนอกด้วยเกรด 2 ต้นๆ มาเป็นลูกจ้างร้านไฟฟ้าเกือบ 2 ปี ชีวิตในเมืองหลวงทำเอาผมเปลี่ยนไปจากหนุ่มเด๋อด๋ามาเป็นหนุ่มอีสานแดนศิวิไลได้รวดเร็วเหลือเกิน คุ้นเคยกับความทันสมัย รถไฟฟ้า ผับ บาร์ สตรีเพศ ที่แวดล้อมวัยหนุ่มอยู่ทุกวัน แต่เงินเดือนส่งให้แม่เต็มทุกเดือนไม่เคยขาด ผมอยู่ด้วยโอทีและงานพิเศษที่ไปรับเหมางานนอกกับลูกพี่เท่านั้น แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันว่า จดหมายเรียกจากกระทรวงกลาโหมฉบับเดียว แทบจะเหมือนมือมารที่มาปิดบังแสงสว่างของชีวิตการงานของผมและครอบครัวได้ขนาดนี้
ควันไฟของธูปไม่รู้ล่องลอยไปหนไหน แต่หากผมกลับบ้านไปหนนี้แล้วโดนทหาร ทางบ้านและน้องๆ คงลำบากกันไปเป็นปี ผมโทรบอกแม่เรื่องนี้หลายสิบรอบ แม่ผมก็ยืนกรานคำเดียวว่าอย่าหนีทหารเป็นอันขาด จะสมัครเลย หรือ ลุ้นจับใบดำใบแดงก็ได้ทั้งนั้น แม่กับน้องทนได้ แต่มีอีกคนที่บอกกับผมว่าทนไม่ได้ นันคือติ๋ม ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสนิทที่สุด เธอบอบบางช่างฝันมีโลกส่วนตัวสูง ติ๋มบอกผมว่าเธอทนไม่ได้
“ถ้าโต้งกลับบ้านไปเกณฑ์ทหาร เราเลิกกัน”
ผมคิดว่าเธอพูดเล่นว่าจะเลิกกับผม แต่เธอก็เลิกกับผมจริงหลังปีใหม่มาได้สองเดือน ผมไม่พบเจอติ๋มอีกเลย แน่ล่ะในคำบนบานของผมมีเรื่องของติ๋มปนอยู่ด้วย ผมอยากพบเธออีกครั้ง หรืออย่างแย่ที่สุดก็คือให้ผมใช้มือถือรุ่นยอดนิยมของผู้ใช้แรงงานอย่างซัมซุงฮีโร่โทรหาสมาร์ทโฟนเครื่องเป็นหมื่นของเธอติดอีกสักครั้งหนึ่งเพื่อบอกว่าผมรักเธอไม่เปลี่ยนแปลง
ติ๋ม บอกผมในวันหนึ่งที่ร้านลาบเล็กๆ ในซอยใกล้คลินิกเสริมความงามที่เธอทำงานอยู่ว่า เธอก็เป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน แต่ผมก็เพียรถามอยู่บ่อยครั้งก็ยังไม่รู้ว่าพื้นเพเธอมาจากไหน
“เอาเถอะน่าโต้ง ถือว่า เราสองคนโชคดีนะ ที่มีบ้านนอกเป็นของตัวเองก็แล้วกัน” แล้วติ๋มก็หัวเราะเสียงใส ดวงตากลมโตของเธอกับขนตาเป็นแพดูเต้นพลิ้วเข้าทำนองไปกับเสียงหัวเราะนั้น
ผมชอบคำว่า มีบ้านนอกเป็นของเธอจังเลย มันดูมีสำนึกรักบ้านเกิดอย่างไรไม่รู้
นายธงสถานีรถไฟโบกธงเป็นสัญลักษณ์อยู่ข้างไม้หมอนเสียงพึ่บพั่บ ผมนั่งรอเสียงเรียกขึ้นรถไฟอยู่ในโดมสูงของสถานีรถไฟหัวลำโพง ก้าวแรกของกรุงเทพของผม ก็เหยียบย่างลงที่สถานีนี้
ผมซื้อตั๋วเสร็จก็มานั่งรอ พลันนึกถึงหน้าแม่ แม่คงดีใจที่ผมกลับมาบ้านเพื่อมาเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ นี่ถ้าพ่ออยู่พ่อคงยิ่งดีใจที่ลูกจะได้เป็นทหารเหมือนพ่อ ที่อดีตเป็นลูกมือทหารเสนารักษ์คราวสงครามกาหลี เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นผมยังไม่มาเกิดในโลกนี้ด้วยซ้ำ
แม่เคยบอกว่าผมกับน้องเป็นลูกทหารผ่านศึกเฒ่า ที่พ่ออยู่ช่วยแม่เลี้ยงผมกับน้องชายได้ไม่ถึง 10 ปี พ่อก็ลาจากโลกนี้ไป
“พ่อเอ็งไม่น่ารีบจากไปเลย เค้าคงอยากเห็นโต้งเป็นทหาร”
“พ่อเค้ามาเป็นหมอที่บ้านนอก ตอนนั้นแม่เพิ่งจะเป็นสาว ตาเค้าเห็นหมอทหารปลดมาดูท่าทางเป็นหลักฐานดี เลยยกแม่ให้”
“เพื่อนแม่ล้อกันยกใหญ่ที่มีผัวแก่ แต่แม่รู้ว่าพวกมันอิจฉาแม่นะ เอ็งมีแฟนหรือยัง มีแล้วพามาเที่ยวบ้านเรานะโต้ง”
ที่มา: เพจ รวมภาพเก่าอุดรธานี โดย ห้องภาพอมรินทร์.
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=277160109076146&set=pb.271801322945358.-2207520000.1378833510.
ในชีวิตของแม่มีเรื่องเล่าไม่มากนัก เรื่องของพ่อก็จะเล่าเรื่องซ้ำๆ แบบนี้เสมอๆ แต่น้ำเสียงภาคภูมิใจแต่ตบท้ายก็ไม่พ้นเรื่องแฟนสาวของลูกไปได้สักที
เสียงรถไฟเข้าเทียบท่า ผมหยับบัตรโดยสารขึ้นมาตรวจสอบขบวน เวลา เลขที่นั่ง เมื่อหันไปเหลียวมองรอบตัว ทุกคนรอบรอบผมเหมือนจะทำสิ่งนี้เหมือนๆกัน จากนั้นก็จะหยิบสัมภาระ กระเป๋า กล่อง เป้ ย่ามเดินไปหาเจ้าหนอนเหล็กหลากสีตัวยาวนั้น เพื่ออาศัยท้องมันฝังตัวเองลงเพื่อกลับบ้าน
ผมเอาเป้ใบเดียวของผมยัดไปบนช่องเก็บของเสร็จก็นั่งแทะไก่ย่าง ข้าวเหนียวที่ซื้อมาเป็นเสบียงยามค่ำไปพลางๆ เจ้าหนอนยักษ์กำลังเคลื่อนตัวออกไป ราว 5 นาทีเพื่อนร่วมเดินทางฝั่งตรงข้ามของผมเป็นหญิงสาวสองคนก็ปรากฏกายขึ้นเมื่อเธอเดินตามหาที่นั่งเจอ พวกเธอกุลุกุจอจัดข้าวของกระเป๋าเล็กใหญ่หลายใบเข้าที่ ก่อนลงนั่งประจันหน้าผม
แว่บเดียวที่ผมสบตากับหนึ่งในสองสาวนั้น เธอช่างมีดวงตาที่กล้าหาญเหลือเกิน ผมรีบอิ่มและดื่มน้ำแทบจะทันทีที่สองสาวนั่นจัดที่นั่งลงเรียบร้อย รัศมีห่างกันแค่เมตรเศษๆ อากับกริยาของสองสาวดูตื่นตาไปกับทิวทัศน์ของเส้นทางรถไฟยามค่ำ แม้พวกเธอจะพยายามรักษามารยาท ด้วยการพูดจากันเบาๆ แต่เป็นผมเองที่แอบเผยอเปลือกตามองดูต้นขาขาวๆ ของพวกเธอ แอบมองทรวงอกของเธอผ่านช่องกระดุมที่เผยิบไหวสายลมอยู่บ่อยครั้ง ผมหลับไม่ลงเลย แม้ราตรีจะทอดผ่านมาเกินครึ่ง สองสาวหลับไปแล้วผ้าคลุมไหล่พาดผ่านทรวงอกและมันเพยิบขึ้นลงตามการเต้นของหัวใจข้างใน ขณะหลับใหลเกยคางอิงไหล่กัน
ผมคิดถึงติ๋ม ผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดและคนที่เคยชอบแอบมองความเป็นผู้หญิงของเธออย่างหน้าด้านๆ
เช้ามืดผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ขณะที่สองสาวยังคงหลับใหล เมื่อผมเสร็จธุระกลับมา ฟ้ากำลังรุ่ง ก็เห็นแต่บั้นท้ายของเธอทั้งสองชะโงกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ที่โบกี้อีกฝั่ง หน้าตาถูกเติมแต้มสีสันมาแล้ว ไม่รู้เธอไปเข้าห้องน้ำตอนไหน อาจเป็นตอนที่ผมนั่งส้วมเพลิน หรือยืนสูบุหรี่ตัวแรกของวันอยู้ท้ายขบวนนั่นก็เป็นได้ ผมเห็นสะโพกพวกเธอแล้ว อยากสูบบุหรี่ตรงนี้อีกสักตัวจริงๆ ถ้าไม่เกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่รถไฟปรับเอาหลายบาท
รถไฟเทียบชาลา ผมเดินออกไปเรียกรถสามล้อไปต่อท่ารถกลับไปบ้าน ก็ เห็นรถเก๋งคันใหญ่มารับสองสาวสวยขับสวยออกไป ได้ยินแต่เสียงพูดคุยและหัวร่อต่อกระซิกดังไปจางๆ
หลังจากนอนคุยกับแม่และน้องชายได้สองคืน พวกเราก็ยกขบวนไปอนามัยที่เป็นสถานที่คัดเลือกทหาร
เมื่อเช้าผมเห็นแม่จุดูปไหว้ศาลพระภูมิที่บ้าน นอ้งชายยังแซวแม่เลยว่า แม่จะบนให้ผมหยิบได้ใบแดงหรือใบดำ กันแน่ เมื่อเห็นแม่ถวายน้ำแดงแทนที่จะถวายเป๊บซี่
หลังยื่นเอกสารเสร็จ ก็ตรวจร่างกาย ผมผ่านการตรวจร่างกายอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะร่างที่ไม่มีไขมันนี้ อุดมไปด้วยมัดกล้ามเพราะทำงานหนักมาตลอด บรรยากาศเหมือนสนามเชียร์กีฬามากขึ้นทุกที บางคนยกโขยงญาติพี่น้องมาช่วงลุ้นกันเป็นสิบ ทั้งฉิ่งฉาบ กาบโหม่ง ชายหนุ่มต่างปลุกพระ และเครื่องรางของขลังกันถี่ขึ้น เมื่อใกล้ขึ้นจับใบดำ ใบแดง
มันเหมือนถูกสะกดจิตเพราะทุกๆ คนทำเหมือนกันหมด ผมหยิบพระที่พอให้ไว้แต่เล็กขึ้นมาอาราธนา พร้อมกับมองไปทางแม่ ก็เห็นแม่ก็ยกมือสวดมนต์ขอพรพระอยู่เหมือนกัน แต่ผมสวดไม่ทันจบ สายตาก็พาผมออกไปจากการขอพระพระของพ่อจนได้ เมื่อสาวประเภทสองที่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย ออกมาเดินผ่านไปนั่งรออีกฟากหนึ่งนั้น เรียกเสียงเชียร์ทั้งจากกองเชียร์และเหล่าทหารเกณฑ์เป่าปากกันเสียงลั่นให้เป็นที่สนุกสนาน
แว๊บหนึ่งนั้ผมก็เห็นสายตาคู่หนึ่งขณะเดินผ่านผมนั้นมองมา เป็นสายตาที่ผมพบเจอเมื่อสองคืนก่อนบนรถไฟนั่นเอง เธออยู่ในชุดกางเกงยีนส์ขายาว ผมเกล้ามวยสูง และจับจ้องผมในทุกก้าวย่างที่ขึ้นไปจับใบดำใบแดง
ดูเหมือนคำอวยพรของแม่จะชนะคำปรารถนาและบนบนศาลกล่าวของผม ผมจับได้ใบแดงทั้งที่ปีนี้รับทหารไม่ได้มากมายเท่าปีก่อนเลย ผลัด 1 รายงานตัว 1 พฤษภาคม นี้แล้ว ผมมองลงไปทางแม่เห็นแม่ยิ้มอยู่กับน้องชาย ถัดไปเป็นกลุ่มสาวประเภทสองที่มาคัดตัวคนนั้นและเพื่อนของเธอและติ๋ม
ติ๋มยิ้มให้ผมและชี้มือมาที่ผมให้เพื่อนเธอสองคนที่เป็นเพื่อนเดินทางมากับผมเมื่อสองคืนก่อนได้รู้จัก ก่อนที่จะโบกมือบ๊ายบายกลับออกไปจากอนามัย
ผมกลับไปถึงบ้านแบบมึนงง ค่ำนั้นร่างกายแทบไม่อยากได้รับสารอาหารอะไรเลย แม่ให้น้องชายมาตามรอบหนึ่งแล้วผมก็ยังไม่ไป อีกเดี๋ยวแม่ก็เข้ามาตามแล้วยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ผมแผ่นหนึ่ง แม่บอกว่าแก๊งค์กระเทยสามคนที่อนามัยฝากมาให้
ผมหยิบออกมาดู มันเป็น เบอรโทรศัพท์มือถือ 10 หลัก ข้อความว่า “เบอร์ใหม่ของเรา ก่อนเข้ากรมโทรหานะ ลงท้าย รักโต้งเสมอจาก “ติ๋ม”
ผมปล่อยกระดาษชิ้นนั้นหลุดมือไปเหมือนคนไม่มีเอ็นยึดกระดูก ผมหมือนคนเคราห์ะซ้ำกรรมซัด น้ำตาปริ่มแต่ไม่ไหล กลิ่นธูปโชยยมาจางๆ คำบนบานของผมไม่ได้ล้มเหลวหรือผิดหวังไปซะทุกอย่าง
แต่ผมจะใช้ซัมซุงฮีโร่โทรหาติ๋ม ผู้หญิงที่ผมเคยบอกว่ารักเธอที่สุด...ดีไหม
รักในแรงบน
นึกย้อนไปเมื่อผมกระโจนออกจากบ้านเมื่อจบ ปวช. ที่บ้านนอกด้วยเกรด 2 ต้นๆ มาเป็นลูกจ้างร้านไฟฟ้าเกือบ 2 ปี ชีวิตในเมืองหลวงทำเอาผมเปลี่ยนไปจากหนุ่มเด๋อด๋ามาเป็นหนุ่มอีสานแดนศิวิไลได้รวดเร็วเหลือเกิน คุ้นเคยกับความทันสมัย รถไฟฟ้า ผับ บาร์ สตรีเพศ ที่แวดล้อมวัยหนุ่มอยู่ทุกวัน แต่เงินเดือนส่งให้แม่เต็มทุกเดือนไม่เคยขาด ผมอยู่ด้วยโอทีและงานพิเศษที่ไปรับเหมางานนอกกับลูกพี่เท่านั้น แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันว่า จดหมายเรียกจากกระทรวงกลาโหมฉบับเดียว แทบจะเหมือนมือมารที่มาปิดบังแสงสว่างของชีวิตการงานของผมและครอบครัวได้ขนาดนี้
ควันไฟของธูปไม่รู้ล่องลอยไปหนไหน แต่หากผมกลับบ้านไปหนนี้แล้วโดนทหาร ทางบ้านและน้องๆ คงลำบากกันไปเป็นปี ผมโทรบอกแม่เรื่องนี้หลายสิบรอบ แม่ผมก็ยืนกรานคำเดียวว่าอย่าหนีทหารเป็นอันขาด จะสมัครเลย หรือ ลุ้นจับใบดำใบแดงก็ได้ทั้งนั้น แม่กับน้องทนได้ แต่มีอีกคนที่บอกกับผมว่าทนไม่ได้ นันคือติ๋ม ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสนิทที่สุด เธอบอบบางช่างฝันมีโลกส่วนตัวสูง ติ๋มบอกผมว่าเธอทนไม่ได้
“ถ้าโต้งกลับบ้านไปเกณฑ์ทหาร เราเลิกกัน”
ผมคิดว่าเธอพูดเล่นว่าจะเลิกกับผม แต่เธอก็เลิกกับผมจริงหลังปีใหม่มาได้สองเดือน ผมไม่พบเจอติ๋มอีกเลย แน่ล่ะในคำบนบานของผมมีเรื่องของติ๋มปนอยู่ด้วย ผมอยากพบเธออีกครั้ง หรืออย่างแย่ที่สุดก็คือให้ผมใช้มือถือรุ่นยอดนิยมของผู้ใช้แรงงานอย่างซัมซุงฮีโร่โทรหาสมาร์ทโฟนเครื่องเป็นหมื่นของเธอติดอีกสักครั้งหนึ่งเพื่อบอกว่าผมรักเธอไม่เปลี่ยนแปลง
ติ๋ม บอกผมในวันหนึ่งที่ร้านลาบเล็กๆ ในซอยใกล้คลินิกเสริมความงามที่เธอทำงานอยู่ว่า เธอก็เป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน แต่ผมก็เพียรถามอยู่บ่อยครั้งก็ยังไม่รู้ว่าพื้นเพเธอมาจากไหน
“เอาเถอะน่าโต้ง ถือว่า เราสองคนโชคดีนะ ที่มีบ้านนอกเป็นของตัวเองก็แล้วกัน” แล้วติ๋มก็หัวเราะเสียงใส ดวงตากลมโตของเธอกับขนตาเป็นแพดูเต้นพลิ้วเข้าทำนองไปกับเสียงหัวเราะนั้น
ผมชอบคำว่า มีบ้านนอกเป็นของเธอจังเลย มันดูมีสำนึกรักบ้านเกิดอย่างไรไม่รู้
นายธงสถานีรถไฟโบกธงเป็นสัญลักษณ์อยู่ข้างไม้หมอนเสียงพึ่บพั่บ ผมนั่งรอเสียงเรียกขึ้นรถไฟอยู่ในโดมสูงของสถานีรถไฟหัวลำโพง ก้าวแรกของกรุงเทพของผม ก็เหยียบย่างลงที่สถานีนี้
ผมซื้อตั๋วเสร็จก็มานั่งรอ พลันนึกถึงหน้าแม่ แม่คงดีใจที่ผมกลับมาบ้านเพื่อมาเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ นี่ถ้าพ่ออยู่พ่อคงยิ่งดีใจที่ลูกจะได้เป็นทหารเหมือนพ่อ ที่อดีตเป็นลูกมือทหารเสนารักษ์คราวสงครามกาหลี เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นผมยังไม่มาเกิดในโลกนี้ด้วยซ้ำ
แม่เคยบอกว่าผมกับน้องเป็นลูกทหารผ่านศึกเฒ่า ที่พ่ออยู่ช่วยแม่เลี้ยงผมกับน้องชายได้ไม่ถึง 10 ปี พ่อก็ลาจากโลกนี้ไป
“พ่อเอ็งไม่น่ารีบจากไปเลย เค้าคงอยากเห็นโต้งเป็นทหาร”
“พ่อเค้ามาเป็นหมอที่บ้านนอก ตอนนั้นแม่เพิ่งจะเป็นสาว ตาเค้าเห็นหมอทหารปลดมาดูท่าทางเป็นหลักฐานดี เลยยกแม่ให้”
“เพื่อนแม่ล้อกันยกใหญ่ที่มีผัวแก่ แต่แม่รู้ว่าพวกมันอิจฉาแม่นะ เอ็งมีแฟนหรือยัง มีแล้วพามาเที่ยวบ้านเรานะโต้ง”
ที่มา: เพจ รวมภาพเก่าอุดรธานี โดย ห้องภาพอมรินทร์.
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=277160109076146&set=pb.271801322945358.-2207520000.1378833510.
ในชีวิตของแม่มีเรื่องเล่าไม่มากนัก เรื่องของพ่อก็จะเล่าเรื่องซ้ำๆ แบบนี้เสมอๆ แต่น้ำเสียงภาคภูมิใจแต่ตบท้ายก็ไม่พ้นเรื่องแฟนสาวของลูกไปได้สักที
เสียงรถไฟเข้าเทียบท่า ผมหยับบัตรโดยสารขึ้นมาตรวจสอบขบวน เวลา เลขที่นั่ง เมื่อหันไปเหลียวมองรอบตัว ทุกคนรอบรอบผมเหมือนจะทำสิ่งนี้เหมือนๆกัน จากนั้นก็จะหยิบสัมภาระ กระเป๋า กล่อง เป้ ย่ามเดินไปหาเจ้าหนอนเหล็กหลากสีตัวยาวนั้น เพื่ออาศัยท้องมันฝังตัวเองลงเพื่อกลับบ้าน
ผมเอาเป้ใบเดียวของผมยัดไปบนช่องเก็บของเสร็จก็นั่งแทะไก่ย่าง ข้าวเหนียวที่ซื้อมาเป็นเสบียงยามค่ำไปพลางๆ เจ้าหนอนยักษ์กำลังเคลื่อนตัวออกไป ราว 5 นาทีเพื่อนร่วมเดินทางฝั่งตรงข้ามของผมเป็นหญิงสาวสองคนก็ปรากฏกายขึ้นเมื่อเธอเดินตามหาที่นั่งเจอ พวกเธอกุลุกุจอจัดข้าวของกระเป๋าเล็กใหญ่หลายใบเข้าที่ ก่อนลงนั่งประจันหน้าผม
แว่บเดียวที่ผมสบตากับหนึ่งในสองสาวนั้น เธอช่างมีดวงตาที่กล้าหาญเหลือเกิน ผมรีบอิ่มและดื่มน้ำแทบจะทันทีที่สองสาวนั่นจัดที่นั่งลงเรียบร้อย รัศมีห่างกันแค่เมตรเศษๆ อากับกริยาของสองสาวดูตื่นตาไปกับทิวทัศน์ของเส้นทางรถไฟยามค่ำ แม้พวกเธอจะพยายามรักษามารยาท ด้วยการพูดจากันเบาๆ แต่เป็นผมเองที่แอบเผยอเปลือกตามองดูต้นขาขาวๆ ของพวกเธอ แอบมองทรวงอกของเธอผ่านช่องกระดุมที่เผยิบไหวสายลมอยู่บ่อยครั้ง ผมหลับไม่ลงเลย แม้ราตรีจะทอดผ่านมาเกินครึ่ง สองสาวหลับไปแล้วผ้าคลุมไหล่พาดผ่านทรวงอกและมันเพยิบขึ้นลงตามการเต้นของหัวใจข้างใน ขณะหลับใหลเกยคางอิงไหล่กัน
ผมคิดถึงติ๋ม ผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดและคนที่เคยชอบแอบมองความเป็นผู้หญิงของเธออย่างหน้าด้านๆ
เช้ามืดผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ขณะที่สองสาวยังคงหลับใหล เมื่อผมเสร็จธุระกลับมา ฟ้ากำลังรุ่ง ก็เห็นแต่บั้นท้ายของเธอทั้งสองชะโงกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ที่โบกี้อีกฝั่ง หน้าตาถูกเติมแต้มสีสันมาแล้ว ไม่รู้เธอไปเข้าห้องน้ำตอนไหน อาจเป็นตอนที่ผมนั่งส้วมเพลิน หรือยืนสูบุหรี่ตัวแรกของวันอยู้ท้ายขบวนนั่นก็เป็นได้ ผมเห็นสะโพกพวกเธอแล้ว อยากสูบบุหรี่ตรงนี้อีกสักตัวจริงๆ ถ้าไม่เกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่รถไฟปรับเอาหลายบาท
รถไฟเทียบชาลา ผมเดินออกไปเรียกรถสามล้อไปต่อท่ารถกลับไปบ้าน ก็ เห็นรถเก๋งคันใหญ่มารับสองสาวสวยขับสวยออกไป ได้ยินแต่เสียงพูดคุยและหัวร่อต่อกระซิกดังไปจางๆ
หลังจากนอนคุยกับแม่และน้องชายได้สองคืน พวกเราก็ยกขบวนไปอนามัยที่เป็นสถานที่คัดเลือกทหาร
เมื่อเช้าผมเห็นแม่จุดูปไหว้ศาลพระภูมิที่บ้าน นอ้งชายยังแซวแม่เลยว่า แม่จะบนให้ผมหยิบได้ใบแดงหรือใบดำ กันแน่ เมื่อเห็นแม่ถวายน้ำแดงแทนที่จะถวายเป๊บซี่
หลังยื่นเอกสารเสร็จ ก็ตรวจร่างกาย ผมผ่านการตรวจร่างกายอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะร่างที่ไม่มีไขมันนี้ อุดมไปด้วยมัดกล้ามเพราะทำงานหนักมาตลอด บรรยากาศเหมือนสนามเชียร์กีฬามากขึ้นทุกที บางคนยกโขยงญาติพี่น้องมาช่วงลุ้นกันเป็นสิบ ทั้งฉิ่งฉาบ กาบโหม่ง ชายหนุ่มต่างปลุกพระ และเครื่องรางของขลังกันถี่ขึ้น เมื่อใกล้ขึ้นจับใบดำ ใบแดง
มันเหมือนถูกสะกดจิตเพราะทุกๆ คนทำเหมือนกันหมด ผมหยิบพระที่พอให้ไว้แต่เล็กขึ้นมาอาราธนา พร้อมกับมองไปทางแม่ ก็เห็นแม่ก็ยกมือสวดมนต์ขอพรพระอยู่เหมือนกัน แต่ผมสวดไม่ทันจบ สายตาก็พาผมออกไปจากการขอพระพระของพ่อจนได้ เมื่อสาวประเภทสองที่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย ออกมาเดินผ่านไปนั่งรออีกฟากหนึ่งนั้น เรียกเสียงเชียร์ทั้งจากกองเชียร์และเหล่าทหารเกณฑ์เป่าปากกันเสียงลั่นให้เป็นที่สนุกสนาน
แว๊บหนึ่งนั้ผมก็เห็นสายตาคู่หนึ่งขณะเดินผ่านผมนั้นมองมา เป็นสายตาที่ผมพบเจอเมื่อสองคืนก่อนบนรถไฟนั่นเอง เธออยู่ในชุดกางเกงยีนส์ขายาว ผมเกล้ามวยสูง และจับจ้องผมในทุกก้าวย่างที่ขึ้นไปจับใบดำใบแดง
ดูเหมือนคำอวยพรของแม่จะชนะคำปรารถนาและบนบนศาลกล่าวของผม ผมจับได้ใบแดงทั้งที่ปีนี้รับทหารไม่ได้มากมายเท่าปีก่อนเลย ผลัด 1 รายงานตัว 1 พฤษภาคม นี้แล้ว ผมมองลงไปทางแม่เห็นแม่ยิ้มอยู่กับน้องชาย ถัดไปเป็นกลุ่มสาวประเภทสองที่มาคัดตัวคนนั้นและเพื่อนของเธอและติ๋ม
ติ๋มยิ้มให้ผมและชี้มือมาที่ผมให้เพื่อนเธอสองคนที่เป็นเพื่อนเดินทางมากับผมเมื่อสองคืนก่อนได้รู้จัก ก่อนที่จะโบกมือบ๊ายบายกลับออกไปจากอนามัย
ผมกลับไปถึงบ้านแบบมึนงง ค่ำนั้นร่างกายแทบไม่อยากได้รับสารอาหารอะไรเลย แม่ให้น้องชายมาตามรอบหนึ่งแล้วผมก็ยังไม่ไป อีกเดี๋ยวแม่ก็เข้ามาตามแล้วยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ผมแผ่นหนึ่ง แม่บอกว่าแก๊งค์กระเทยสามคนที่อนามัยฝากมาให้
ผมหยิบออกมาดู มันเป็น เบอรโทรศัพท์มือถือ 10 หลัก ข้อความว่า “เบอร์ใหม่ของเรา ก่อนเข้ากรมโทรหานะ ลงท้าย รักโต้งเสมอจาก “ติ๋ม”
ผมปล่อยกระดาษชิ้นนั้นหลุดมือไปเหมือนคนไม่มีเอ็นยึดกระดูก ผมหมือนคนเคราห์ะซ้ำกรรมซัด น้ำตาปริ่มแต่ไม่ไหล กลิ่นธูปโชยยมาจางๆ คำบนบานของผมไม่ได้ล้มเหลวหรือผิดหวังไปซะทุกอย่าง
แต่ผมจะใช้ซัมซุงฮีโร่โทรหาติ๋ม ผู้หญิงที่ผมเคยบอกว่ารักเธอที่สุด...ดีไหม