เกมเสี่ยงคูปองดิจิทัล ศึกกล่อง"ดิน-ดาว"-ฟ้องกสท.?
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 27 เมษายน 2557 01:00
คิดใหม่ วันอาทิตย์ อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์(กสท.)กำลังเล่นเกม"เสี่ยง"ในการกำหนดเงื่อนไขการแจกคูปองแลกกล่องทีวีดิจิทัลว่าจะเฉพาะกล่องภาคพื้นดิน 48 ช่องหรือจะเปิดกว้างให้แลกกล่องแบบทีวีดาวเทียม และกล่องเคเบิลทีวีได้หรือไม่
อาจจะกำลังกลายเป็น"สงครามกล่องดิน-กล่องดาว"อีกยกที่ถึงขั้นฟ้องร้องคดีในศาลปกครอง รวมไปถึงการกำหนดอนาคตของระบบโทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดิน 48 ช่องจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
ลองย้อนกลับไปดูมติเบื้องต้นของกสท.เมื่อวันที่ 21 เม.ย.กำหนดแนวทางการแจก"คูปองส่วนลด"เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบทีวีดิจิทัล และเข้าใจว่าในตอนเย็นวันที่ 22 เม.ย.กสท.มีประชุมอีกรอบน่าจะเป็น"รอบที่ 4"ที่เสียงส่วนใหญ่น่าจะเห็นพ้องแนวทางการแจกคูปองแล้ว
1.กล่องแปลสัญญาณดิจิทัลภาคพื้นดิน( Set-Top-Box ) พร้อมสายอากาศในอาคารแบบมีภาคขยาย( Active Antenna)
2.เครื่องรับโทรทัศน์แบบมีอุปกรณ์รับสัญญาณดิจิทัลในตัว
3.กล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี รองรับการดูรายการความละเอียดสูง( HD)และมีการเรียงช่องรายการตั้งแต่หมายเลข 1-36 ช่องแรกเป็นทีวีดิจิทัลและช่องที่ 37 เป็นต้นไปเป็น Pay TV ไม่หารายได้จากการโฆษณาและเป็นกล่องรับสัญญาณแบบขายขาด แม้ผู้บริโภคจะไม่จ่ายค่าบริการรายเดือนก็ดูฟรีทีวีดิจิทัล 36 ช่อง
แต่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องลือลั่นร่ำลือไปต่างๆนาๆ บางคนบอกชักจะได้กลิ่นทะ

เพราะกว่าจะได้แนวทางเช่นนี้กสท.ประชุมกันอย่างต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประชุมตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.,18 เม.ย.และ 21 เม.ย.ช่วงเช้าและช่วงเย็นก็ยังไม่ยุติ แล้วขยับมาขอรอบสุดท้ายวันที่ 22 เม.ย.เย็น
หลังจากในตอนเช้าวันที่ 22 เม.ย.มีการประชุมคณะอนุกรรมการ Digital Switch Over กับตัวแทน 17 บริษัท 24 ช่องทีวีดิจิทัล ดร.นที ศุกลรัตน์ ขอประชุม"นอกรอบ"กับตัวแทนของ 17 บริษัท 24 ช่องทีวีดิจิทัลเพื่อโน้มน้าวให้เห็นประโยชน์มากมายกับทีวีดิจิทัลจะเกิดได้เร็วขึ้นอีก หากยอมให้แลกกล่องทีวีดาวเทียมประเภท PayTV ได้จะเป็นการสร้างธุรกิจ Content ให้เกิดขึ้นจริง
เท่าที่ทราบในขณะนี้ ยังเหลือกสท.เสียงข้างน้อย"หนึ่งเดียว"คือ"อาจารย์เก๋-สุภิญญา กลางณรงค์"ที่ยืนกรานยัง"ไม่เห็นด้วย"กับการแจกคูปองส่วนลดกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลจากทีวีดาวเทียม
มติกสท.ยังไม่ถือว่าสิ้นสุดจะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อฯพิจารณาในวันที่ 6 พ.ค.ขออนุมัตินำเงินออกมาเปลี่ยนเป็นคูปองที่ยังไม่ได้ข้อยุติเรื่องมูลค่าคูปอง หลังจากนั้นกสท.จะต้องนำเรื่องเข้าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ในการประชุมชุดใหญ่วันที่ 14 พ.ค.
เหตุผลคัดค้านชัดเจนของคุณสุภิญญาคือกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลจากสัญญาณดาวเทียมจะรับช่องทีวีดิจิทัลได้แค่ 36 ช่องเท่านั้น ไม่ใช่ 48 ช่องทีวีดิจิทัลตามแผนแม่บทเดิมที่ได้มีมติกันไปตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนการเปลี่ยนผ่านจากอะนาล็อกสู่ดิจิทัล
หากครัวเรือนไทยไม่มีกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลภาคพื้นดิน 48 ช่องครบทั้ง 22 ล้านครัวเรือนจะทำให้เกิด"ความเสี่ยง"ถูกภาคประชาชนฟ้องศาลปกครองได้ เพราะกล่องรับทีวีดาวเทียมจะรับช่องทีวีดิจิทัลได้แค่ 36 ช่องตามกฎ Must Carry แต่อีก 12 ช่องทีวีชุมชนจะรับสัญญาณได้เฉพาะกล่องภาคพื้นดินเท่านั้น
การผลักให้ภาคชุมชนไปรับช่อง"ทีวีชุมชน" 12 ช่องจากโทรทัศน์ที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณดิจิทัลในตัวจะยิ่งทำให้ผู้บริโภคมีภาระในการซื้อโทรทัศน์ใหม่ค่อนข้างมาก แตกต่างจากการได้รับคูปองส่วนลดแลกกล่องรับสัญญาณภาคพื้นดินที่ไม่เป็นภาระเพิ่มเงินมากนัก
ในขณะเดียวกันในมุมมองภาคธุรกิจที่ประมูลทีวีดิจิทัลได้ที่มีอยู่ 17 บริษัทน่าจะมีหลายบริษัทกำลังศึกษาข้อกฎหมาย อาจจะถึงขั้น"ฟ้องศาลปกครอง"ให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อระงับมติกสท.นี้ เพราะคูปองส่วนลดกล่องรับสัญญาณดาวเทียมจะเป็นการเปิดรั้วให้เกิดคู่แข่งขันทางธุรกิจกระทบการดำเนินงานแน่ๆ
น่าจะผิดเจตนารมณ์แผนแม่บททีวีดิจิทัล แม้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่ากสท.จะนำเงินประมูล 24 ช่องไปแปลงเป็นคูปองส่วนลดเพื่อแลกกล่องรับสัญญาณเฉพาะทีวีดิจิทัล 48 ช่องอย่างเดียว แต่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปตามแผนแม่บทการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ดิจิทัลว่าหมายถึงกล่องรับสัญญาณภาคพื้นดิน 48 ช่อง ไม่ใช่กล่องรับสัญญาณจากทีวีดาวเทียมที่ไม่จำกัดจำนวนช่อง หากผู้ประมูลรู้ว่ากสท.จะให้แลกกล่องดาวเทียมได้คงจะไม่มีรายไหนเสนอราคาประมูลสูงขนาดนี้
แม้ว่ากสท.จะพยายามกำหนดเงื่อนไขให้ช่องเหล่านั้นเป็นแบบ Pay TV แต่โดยความเป็นจริงกฎหมายยังอนุญาตให้ Pay TV มีรายได้จากโฆษณาเฉลี่ยได้ไม่เกิน 5 นาทีต่อชั่วโมงหรือไม่เกิน 6 นาทีต่อชั่วโมงในช่วงไพร์มไทม์ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดคู่แข่ง"ช่องทีวีดาวเทียม"อีกไม่จำกัดมาแย่ง"งบโฆษณา"ที่ยังไม่รู้ว่าจะขยายตัวมากแค่ไหน
ในมุมมองของเจ้าของช่องทีวีดิจิทัลส่วนใหญ่ที่ไม่มีธุรกิจขายกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมอยู่เดิม เริ่มมองเห็นหายนะรออยู่ข้างหน้าที่ไม่ใช่แข่งกัน 24 ช่องแต่จะกลายเป็นอีก 200 ช่องที่ไม่มีภาระประมูลมาแข่งกับ 24 ช่องที่แบกภาระประมูล หากกสท.ยืนยันมติคูปองส่วนลดแลกกล่องทีวีดาวเทียมได้ด้วย
เปรียบเทียบง่ายๆ ระหว่างการประมูลทีวีดิจิทัลกับการจัดสรรที่ดินแปลงงามๆ กสท.ประกาศจูงใจให้ผู้สนใจเข้ามาประมูล"ที่ดิน"จำนวน 24 แปลงจาก 48 แปลง ด้วยการบอกว่าจะนำเงินบางส่วนจากการประมูลของเอกชนไปสร้างถนนและสาธารณูปโภคเพื่อให้เป็นประโยชน์กับที่ดินแปลงสาธารณะ 12 แปลงและแปลงของชุมชน 12 แปลง พร้อมทั้งล้อมรั้วอย่างดีให้มีแค่ 48 แปลงในอีก 15 ปี
ส่วนที่ดินนอกรั้วที่มีคนไปจับจองกันสะเปะสะปะไปทั่วบ้านทั่วเมือง เปรียบเทียบกับทีวีดาวเทียมที่มีอยู่ร่วม 200-300 ช่อง ทางกสท.จะจัดระเบียบให้ทำมาหากินได้น้อยลงเพราะมีการขายเกินเวลา,ขายสินค้าผิดกฎหมาย ควบคุมได้ยากมากจะต้องคุมกำเนิดไม่ให้ขยายตัวไปกว่านี้ รวมทั้งที่ดินแปลงเก่า 6 แปลงหรือฟรีทีวีแบบอนาล็อก 6 ช่องที่จ่ายค่าเช่าให้รัฐน้อยเกินไปจะต้องหมดสิทธิ์การทำมาหากินภายในอีก 5-6 ปีข้างหน้า
ปรากฏว่าเมื่อประมูลที่ดิน(ทีวีดิจิทัล)เสร็จแล้ว กสท.กลับเห็นดีเห็นงามกับการนำเงินประมูลไปลงทุนทุบรั้วทิ้ง สร้างถนนเพิ่มเติมจากแผนแม่บท เพื่อขยายไปถึงแปลงที่ดินที่มีการจับจองไปแล้วหรือทำให้ช่องทีวีดาวเทียมกว่า 200-300 ช่องได้อานิสงส์หรือประโยชน์จากกล่องรับสัญญาณที่เปิดเงื่อนไขการแลกซื้อกว้างขึ้น แทนที่จะแลกซื้อกล่องภาคพื้นดินที่รับได้แค่ 48 ช่อง แต่กลับเป็นกล่องที่ไม่มีขีดจำกัดใดๆ ในการรับชมได้หลายร้อยช่อง
แม้ว่ากสท.พยายามจะบอกว่ากำหนดให้รับได้เฉพาะช่องแบบ Pay TV และต้องรับชมแบบความชัดสูงได้( HD ) แต่ในเมื่อกฎหมายกำหนดให้ช่องแบบ Pay TV หารายได้จากโฆษณาได้ด้วยย่อมจะกลายเป็นว่าทีวีดิจิทัล 24 ช่องที่แบกภาระเงินประมูลจะมีคู่แข่งเพิ่มจากเดิมแข่งกันกับ 24 ช่องกันเองกับช่องอนาล็อกอีก 3-4 ช่อง กลายเป็นคู่แข่งขันประเภท Pay TV มาแย่งโฆษณาได้อีก
กสท.การกำหนดเงื่อนไขให้เรียงช่อง 1-36 ช่องแรกสำหรับกล่องประเภทนี้น่าจะเป็นแค่"กลลวง"หรือ"ขนมล่อ"ให้ 24 ช่องทีวีดิจิทัลคล้อยตามเฉพาะกล่องใหม่เรียง 1-36 ไม่ใช่ 11-46 แต่กล่องเก่าอีก 10 ล้านกล่องยังเรียงช่องจากหมายเลข 11-46 เหมือนเดิมที่ไม่ตรงกับช่องภาคพื้นดิน
ขอถามกสท.ว่าทำไมไม่ไปแก้ไขประกาศกสท.ลงวันที่ 19 ธ.ค. 2556 ที่ไปเปิดช่องให้เจ้าของโครงข่ายหรือจานดาวเทียมไปหาประโยชน์จาก 10 ช่องแรกที่กลายเป็น"รายได้หลัก"จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายจานดาวเทียม ซึ่งควรจะมีรายได้หลักจากค่าผลิตจานและค่าติดตั้งจานมากกว่าค่าเบอร์ช่องบนหน้าจาน
ถ้าหากกสท.ยังแข็งขืนให้ยินยอมนำคูปองไปแลกกล่องดาวเทียม กลุ่มทีวีดิจิทัลน่าจะขอให้กำหนดเงื่อนไขแบบเข้มสุดๆ เช่น ช่อง PayTV จะต้องไม่มีโฆษณา , เจ้าของแพลทฟอร์มจะต้องเป็น"เจ้าของ"ช่อง Pay TV ทุกช่อง , ช่อง Pay TV จากต่างประเทศจะต้องเป็นสัดส่วนไม่เกิน 50 %ของช่องผลิตในประเทศเพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตเนื้อหา ฯลฯ
ความเห็นของผม หากนอกเหนือจากคูปองกล่องรับสัญญาณภาคพื้นดินแล้ว ยินยอมได้กรณีส่วนลดซื้อโทรทัศน์ที่มีจูนเนอร์รับดิจิทัลและคูปองส่วนลดแลกกล่องรับดิจิทัลสำหรับเคเบิลทีวีท้องถิ่น( DVB-S2 ) เพื่อช่วยทำให้เคเบิลทีวีท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจโดยตรงจากทีวีดิจิทัล 48 ช่องและการทำตามกฎ Must Carry ที่กสท.ยังไม่ได้ช่วยลดภาระใดๆ จะเป็นแรงจูงใจให้เปลี่ยนโครงข่ายจากสายทองแดงอนาล็อกมาเป็นสายไฟเบอร์รับดิจิทัลได้ในแบบความคมชัดสูง( HD) ด้วย
มูลค่าคูปองส่วนลดก็เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนมาก หากกำหนดราคาสูงถึง 1,200 บาทต่อกล่องจะดีกับผู้บริโภคแทบไม่ต้องควักเงินเพิ่ม แต่จะกลายเป็นการไปกำหนด"ราคาขาย"กล่องในท้องตลาดให้สูงขึ้นเกินไป แต่หากกำหนดมูลค่าเดิม 690 บาทต่อกล่องก็จะกลายเป็นไม่จูงใจผู้บริโภคให้นำไปแลกซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลที่ต้องเพิ่มเงินอีกไม่น้อยกว่าเท่าตัว
ศึกคูปองแลกกล่องทีวีดิจิทัลยังเป็นมหากาพย์ใน"อภิมหาสงครามทีวีดิจิทัล"ที่หากดำเนินการล่าช้าไปอีกก็จะกระทบกับฐานคนดูทีวีดิจิทัลที่ถือว่าเริ่มนับหนึ่งใบอนุญาตทีวีดิจิทัลตั้งแต่ 25 เม.ย.แล้ว แต่ฐานผู้ชมยังไม่ชัดเจน
แต่หากกสท.ดึงดันจะให้แลกกล่องได้มากกว่ากล่องภาคพื้นดิน ย่อมจะทำให้กสท.เกิดความเสี่ยงโดนคดีความทางศาลปกครองได้ แล้วผลระยะยาวอาจจะทำให้สัดส่วนของครัวเรือนไทย ที่ชมทีวีดิจิทัลจากคลื่นภาคพื้นดินยังคงหยุดอยู่ที่ประมาณ 30 %ที่ปัจจุบันครัวเรือนไทยรับชมโทรทัศน์จากหนวดกุ้ง-ก้างปลาเช่นเดิม หากเป็นเช่นนั้นก็ถือเป็นความล้มเหลวของการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกไปสู่ดิจิทัลโดยสิ้นเชิง
เกมเสี่ยงคูปองดิจิทัล ศึกกล่อง"ดิน-ดาว"-ฟ้องกสท.?
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 27 เมษายน 2557 01:00
คิดใหม่ วันอาทิตย์ อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์(กสท.)กำลังเล่นเกม"เสี่ยง"ในการกำหนดเงื่อนไขการแจกคูปองแลกกล่องทีวีดิจิทัลว่าจะเฉพาะกล่องภาคพื้นดิน 48 ช่องหรือจะเปิดกว้างให้แลกกล่องแบบทีวีดาวเทียม และกล่องเคเบิลทีวีได้หรือไม่
อาจจะกำลังกลายเป็น"สงครามกล่องดิน-กล่องดาว"อีกยกที่ถึงขั้นฟ้องร้องคดีในศาลปกครอง รวมไปถึงการกำหนดอนาคตของระบบโทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดิน 48 ช่องจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
ลองย้อนกลับไปดูมติเบื้องต้นของกสท.เมื่อวันที่ 21 เม.ย.กำหนดแนวทางการแจก"คูปองส่วนลด"เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบทีวีดิจิทัล และเข้าใจว่าในตอนเย็นวันที่ 22 เม.ย.กสท.มีประชุมอีกรอบน่าจะเป็น"รอบที่ 4"ที่เสียงส่วนใหญ่น่าจะเห็นพ้องแนวทางการแจกคูปองแล้ว
1.กล่องแปลสัญญาณดิจิทัลภาคพื้นดิน( Set-Top-Box ) พร้อมสายอากาศในอาคารแบบมีภาคขยาย( Active Antenna)
2.เครื่องรับโทรทัศน์แบบมีอุปกรณ์รับสัญญาณดิจิทัลในตัว
3.กล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี รองรับการดูรายการความละเอียดสูง( HD)และมีการเรียงช่องรายการตั้งแต่หมายเลข 1-36 ช่องแรกเป็นทีวีดิจิทัลและช่องที่ 37 เป็นต้นไปเป็น Pay TV ไม่หารายได้จากการโฆษณาและเป็นกล่องรับสัญญาณแบบขายขาด แม้ผู้บริโภคจะไม่จ่ายค่าบริการรายเดือนก็ดูฟรีทีวีดิจิทัล 36 ช่อง
แต่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องลือลั่นร่ำลือไปต่างๆนาๆ บางคนบอกชักจะได้กลิ่นทะ
หลังจากในตอนเช้าวันที่ 22 เม.ย.มีการประชุมคณะอนุกรรมการ Digital Switch Over กับตัวแทน 17 บริษัท 24 ช่องทีวีดิจิทัล ดร.นที ศุกลรัตน์ ขอประชุม"นอกรอบ"กับตัวแทนของ 17 บริษัท 24 ช่องทีวีดิจิทัลเพื่อโน้มน้าวให้เห็นประโยชน์มากมายกับทีวีดิจิทัลจะเกิดได้เร็วขึ้นอีก หากยอมให้แลกกล่องทีวีดาวเทียมประเภท PayTV ได้จะเป็นการสร้างธุรกิจ Content ให้เกิดขึ้นจริง
เท่าที่ทราบในขณะนี้ ยังเหลือกสท.เสียงข้างน้อย"หนึ่งเดียว"คือ"อาจารย์เก๋-สุภิญญา กลางณรงค์"ที่ยืนกรานยัง"ไม่เห็นด้วย"กับการแจกคูปองส่วนลดกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลจากทีวีดาวเทียม
มติกสท.ยังไม่ถือว่าสิ้นสุดจะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อฯพิจารณาในวันที่ 6 พ.ค.ขออนุมัตินำเงินออกมาเปลี่ยนเป็นคูปองที่ยังไม่ได้ข้อยุติเรื่องมูลค่าคูปอง หลังจากนั้นกสท.จะต้องนำเรื่องเข้าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ในการประชุมชุดใหญ่วันที่ 14 พ.ค.
เหตุผลคัดค้านชัดเจนของคุณสุภิญญาคือกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลจากสัญญาณดาวเทียมจะรับช่องทีวีดิจิทัลได้แค่ 36 ช่องเท่านั้น ไม่ใช่ 48 ช่องทีวีดิจิทัลตามแผนแม่บทเดิมที่ได้มีมติกันไปตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนการเปลี่ยนผ่านจากอะนาล็อกสู่ดิจิทัล
หากครัวเรือนไทยไม่มีกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลภาคพื้นดิน 48 ช่องครบทั้ง 22 ล้านครัวเรือนจะทำให้เกิด"ความเสี่ยง"ถูกภาคประชาชนฟ้องศาลปกครองได้ เพราะกล่องรับทีวีดาวเทียมจะรับช่องทีวีดิจิทัลได้แค่ 36 ช่องตามกฎ Must Carry แต่อีก 12 ช่องทีวีชุมชนจะรับสัญญาณได้เฉพาะกล่องภาคพื้นดินเท่านั้น
การผลักให้ภาคชุมชนไปรับช่อง"ทีวีชุมชน" 12 ช่องจากโทรทัศน์ที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณดิจิทัลในตัวจะยิ่งทำให้ผู้บริโภคมีภาระในการซื้อโทรทัศน์ใหม่ค่อนข้างมาก แตกต่างจากการได้รับคูปองส่วนลดแลกกล่องรับสัญญาณภาคพื้นดินที่ไม่เป็นภาระเพิ่มเงินมากนัก
ในขณะเดียวกันในมุมมองภาคธุรกิจที่ประมูลทีวีดิจิทัลได้ที่มีอยู่ 17 บริษัทน่าจะมีหลายบริษัทกำลังศึกษาข้อกฎหมาย อาจจะถึงขั้น"ฟ้องศาลปกครอง"ให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อระงับมติกสท.นี้ เพราะคูปองส่วนลดกล่องรับสัญญาณดาวเทียมจะเป็นการเปิดรั้วให้เกิดคู่แข่งขันทางธุรกิจกระทบการดำเนินงานแน่ๆ
น่าจะผิดเจตนารมณ์แผนแม่บททีวีดิจิทัล แม้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่ากสท.จะนำเงินประมูล 24 ช่องไปแปลงเป็นคูปองส่วนลดเพื่อแลกกล่องรับสัญญาณเฉพาะทีวีดิจิทัล 48 ช่องอย่างเดียว แต่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปตามแผนแม่บทการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ดิจิทัลว่าหมายถึงกล่องรับสัญญาณภาคพื้นดิน 48 ช่อง ไม่ใช่กล่องรับสัญญาณจากทีวีดาวเทียมที่ไม่จำกัดจำนวนช่อง หากผู้ประมูลรู้ว่ากสท.จะให้แลกกล่องดาวเทียมได้คงจะไม่มีรายไหนเสนอราคาประมูลสูงขนาดนี้
แม้ว่ากสท.จะพยายามกำหนดเงื่อนไขให้ช่องเหล่านั้นเป็นแบบ Pay TV แต่โดยความเป็นจริงกฎหมายยังอนุญาตให้ Pay TV มีรายได้จากโฆษณาเฉลี่ยได้ไม่เกิน 5 นาทีต่อชั่วโมงหรือไม่เกิน 6 นาทีต่อชั่วโมงในช่วงไพร์มไทม์ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดคู่แข่ง"ช่องทีวีดาวเทียม"อีกไม่จำกัดมาแย่ง"งบโฆษณา"ที่ยังไม่รู้ว่าจะขยายตัวมากแค่ไหน
ในมุมมองของเจ้าของช่องทีวีดิจิทัลส่วนใหญ่ที่ไม่มีธุรกิจขายกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมอยู่เดิม เริ่มมองเห็นหายนะรออยู่ข้างหน้าที่ไม่ใช่แข่งกัน 24 ช่องแต่จะกลายเป็นอีก 200 ช่องที่ไม่มีภาระประมูลมาแข่งกับ 24 ช่องที่แบกภาระประมูล หากกสท.ยืนยันมติคูปองส่วนลดแลกกล่องทีวีดาวเทียมได้ด้วย
เปรียบเทียบง่ายๆ ระหว่างการประมูลทีวีดิจิทัลกับการจัดสรรที่ดินแปลงงามๆ กสท.ประกาศจูงใจให้ผู้สนใจเข้ามาประมูล"ที่ดิน"จำนวน 24 แปลงจาก 48 แปลง ด้วยการบอกว่าจะนำเงินบางส่วนจากการประมูลของเอกชนไปสร้างถนนและสาธารณูปโภคเพื่อให้เป็นประโยชน์กับที่ดินแปลงสาธารณะ 12 แปลงและแปลงของชุมชน 12 แปลง พร้อมทั้งล้อมรั้วอย่างดีให้มีแค่ 48 แปลงในอีก 15 ปี
ส่วนที่ดินนอกรั้วที่มีคนไปจับจองกันสะเปะสะปะไปทั่วบ้านทั่วเมือง เปรียบเทียบกับทีวีดาวเทียมที่มีอยู่ร่วม 200-300 ช่อง ทางกสท.จะจัดระเบียบให้ทำมาหากินได้น้อยลงเพราะมีการขายเกินเวลา,ขายสินค้าผิดกฎหมาย ควบคุมได้ยากมากจะต้องคุมกำเนิดไม่ให้ขยายตัวไปกว่านี้ รวมทั้งที่ดินแปลงเก่า 6 แปลงหรือฟรีทีวีแบบอนาล็อก 6 ช่องที่จ่ายค่าเช่าให้รัฐน้อยเกินไปจะต้องหมดสิทธิ์การทำมาหากินภายในอีก 5-6 ปีข้างหน้า
ปรากฏว่าเมื่อประมูลที่ดิน(ทีวีดิจิทัล)เสร็จแล้ว กสท.กลับเห็นดีเห็นงามกับการนำเงินประมูลไปลงทุนทุบรั้วทิ้ง สร้างถนนเพิ่มเติมจากแผนแม่บท เพื่อขยายไปถึงแปลงที่ดินที่มีการจับจองไปแล้วหรือทำให้ช่องทีวีดาวเทียมกว่า 200-300 ช่องได้อานิสงส์หรือประโยชน์จากกล่องรับสัญญาณที่เปิดเงื่อนไขการแลกซื้อกว้างขึ้น แทนที่จะแลกซื้อกล่องภาคพื้นดินที่รับได้แค่ 48 ช่อง แต่กลับเป็นกล่องที่ไม่มีขีดจำกัดใดๆ ในการรับชมได้หลายร้อยช่อง
แม้ว่ากสท.พยายามจะบอกว่ากำหนดให้รับได้เฉพาะช่องแบบ Pay TV และต้องรับชมแบบความชัดสูงได้( HD ) แต่ในเมื่อกฎหมายกำหนดให้ช่องแบบ Pay TV หารายได้จากโฆษณาได้ด้วยย่อมจะกลายเป็นว่าทีวีดิจิทัล 24 ช่องที่แบกภาระเงินประมูลจะมีคู่แข่งเพิ่มจากเดิมแข่งกันกับ 24 ช่องกันเองกับช่องอนาล็อกอีก 3-4 ช่อง กลายเป็นคู่แข่งขันประเภท Pay TV มาแย่งโฆษณาได้อีก
กสท.การกำหนดเงื่อนไขให้เรียงช่อง 1-36 ช่องแรกสำหรับกล่องประเภทนี้น่าจะเป็นแค่"กลลวง"หรือ"ขนมล่อ"ให้ 24 ช่องทีวีดิจิทัลคล้อยตามเฉพาะกล่องใหม่เรียง 1-36 ไม่ใช่ 11-46 แต่กล่องเก่าอีก 10 ล้านกล่องยังเรียงช่องจากหมายเลข 11-46 เหมือนเดิมที่ไม่ตรงกับช่องภาคพื้นดิน
ขอถามกสท.ว่าทำไมไม่ไปแก้ไขประกาศกสท.ลงวันที่ 19 ธ.ค. 2556 ที่ไปเปิดช่องให้เจ้าของโครงข่ายหรือจานดาวเทียมไปหาประโยชน์จาก 10 ช่องแรกที่กลายเป็น"รายได้หลัก"จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายจานดาวเทียม ซึ่งควรจะมีรายได้หลักจากค่าผลิตจานและค่าติดตั้งจานมากกว่าค่าเบอร์ช่องบนหน้าจาน
ถ้าหากกสท.ยังแข็งขืนให้ยินยอมนำคูปองไปแลกกล่องดาวเทียม กลุ่มทีวีดิจิทัลน่าจะขอให้กำหนดเงื่อนไขแบบเข้มสุดๆ เช่น ช่อง PayTV จะต้องไม่มีโฆษณา , เจ้าของแพลทฟอร์มจะต้องเป็น"เจ้าของ"ช่อง Pay TV ทุกช่อง , ช่อง Pay TV จากต่างประเทศจะต้องเป็นสัดส่วนไม่เกิน 50 %ของช่องผลิตในประเทศเพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตเนื้อหา ฯลฯ
ความเห็นของผม หากนอกเหนือจากคูปองกล่องรับสัญญาณภาคพื้นดินแล้ว ยินยอมได้กรณีส่วนลดซื้อโทรทัศน์ที่มีจูนเนอร์รับดิจิทัลและคูปองส่วนลดแลกกล่องรับดิจิทัลสำหรับเคเบิลทีวีท้องถิ่น( DVB-S2 ) เพื่อช่วยทำให้เคเบิลทีวีท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจโดยตรงจากทีวีดิจิทัล 48 ช่องและการทำตามกฎ Must Carry ที่กสท.ยังไม่ได้ช่วยลดภาระใดๆ จะเป็นแรงจูงใจให้เปลี่ยนโครงข่ายจากสายทองแดงอนาล็อกมาเป็นสายไฟเบอร์รับดิจิทัลได้ในแบบความคมชัดสูง( HD) ด้วย
มูลค่าคูปองส่วนลดก็เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนมาก หากกำหนดราคาสูงถึง 1,200 บาทต่อกล่องจะดีกับผู้บริโภคแทบไม่ต้องควักเงินเพิ่ม แต่จะกลายเป็นการไปกำหนด"ราคาขาย"กล่องในท้องตลาดให้สูงขึ้นเกินไป แต่หากกำหนดมูลค่าเดิม 690 บาทต่อกล่องก็จะกลายเป็นไม่จูงใจผู้บริโภคให้นำไปแลกซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลที่ต้องเพิ่มเงินอีกไม่น้อยกว่าเท่าตัว
ศึกคูปองแลกกล่องทีวีดิจิทัลยังเป็นมหากาพย์ใน"อภิมหาสงครามทีวีดิจิทัล"ที่หากดำเนินการล่าช้าไปอีกก็จะกระทบกับฐานคนดูทีวีดิจิทัลที่ถือว่าเริ่มนับหนึ่งใบอนุญาตทีวีดิจิทัลตั้งแต่ 25 เม.ย.แล้ว แต่ฐานผู้ชมยังไม่ชัดเจน
แต่หากกสท.ดึงดันจะให้แลกกล่องได้มากกว่ากล่องภาคพื้นดิน ย่อมจะทำให้กสท.เกิดความเสี่ยงโดนคดีความทางศาลปกครองได้ แล้วผลระยะยาวอาจจะทำให้สัดส่วนของครัวเรือนไทย ที่ชมทีวีดิจิทัลจากคลื่นภาคพื้นดินยังคงหยุดอยู่ที่ประมาณ 30 %ที่ปัจจุบันครัวเรือนไทยรับชมโทรทัศน์จากหนวดกุ้ง-ก้างปลาเช่นเดิม หากเป็นเช่นนั้นก็ถือเป็นความล้มเหลวของการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกไปสู่ดิจิทัลโดยสิ้นเชิง