อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พบธรรมะ
สำหรับจขกท. : “เมื่อเจอทุกข์จึงพบธรรม” ทุกวันนี้ยังรู้สึกขอบคุณความทุกข์ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตทุกครั้ง
เพราะการพบทุกข์ ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ และเราจะไม่ซาบซึ้งถึงความหมายของความสุขเลย
ถ้าเราไม่เคยรู้ว่าความทุกข์มันเป็นอย่างไร
สืบเนื่องจากเจ้าของกระทู้เมื่อมีเวลาว่างมักจะไปปฏิบัติธรรม เริ่มปฏิบัติครั้งแรกๆก็ตอนอายุยี่สิบต้นๆ
จนปูนนี้...แล้ว แต่ละที่ล้วนแต่ดีมีข้อแตกต่างกันไปคนละมุม ดีไปคนละแบบ
เลยขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ที่เคยไปปฏิบัติในแต่ละที่มาแบ่งปันเพื่อนๆค่ะ
เผื่อเพื่อนๆมีที่ไหนดีๆแนะนำ จะได้ลองไปกับเค้าบ้าง
1.สถานที่แรก: วัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัญ)
เราเริ่มต้นปฏิบัติธรรมครั้งแรกตอนอายุ 19 ปี ตอนนั้นที่มหาวิทยาลัยบังคับให้นักศึกษาในภาควิชาไปปฏิบัติทุกคนค่ะ
เรารู้จักหลวงพ่อจรัญครั้งแรกก็ที่นี่ แต่ไม่ใช่วัดอัมพวันนะคะ หากแต่เป็น ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ที่จังหวัดขอนแก่น
ตามประสาวัยรุ่นตอนนั้นก็แอบเคืองอาจารย์ว่าพาอิชั้นมาทำไมเนี่ย น่าเบื่อ แล้วเราทำไม่ได้ ยุกยิกๆเป็นลิง ทรมานสุดๆ
ให้บวชพราหณ์ 3 วัน แต่รู้สึกทรมาน เหมือนมันยาวนานเป็นปี ปฏิบัติแล้วน่าจะได้บาปเพิ่ม เพราะไม่เต็มใจ ทำก็ไม่ได้
ฟุ้งซ่านหนอ (ทุกวันนี้ก็เลยพอเข้าใจวัยรุ่นเวลาโดนคุณพ่อคุณแม่ลากมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม)
ก่อนนั้นจขกท.ไม่เคยได้เข้าวัดทำบุญตักบาตรอะไรเลย จนอายุได้ 22 ปี รู้สึกทุกข์หนักถึงขั้นอยากโดดตึกลงมาตายให้รู้แล้วรู้รอด
มีปัญหาก็ไม่รู้จะหันไปปรึกษาใคร เพื่อนก็ไม่มี วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือศึกษาหาหนทางดับทุกข์ โดยการอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา
เพื่อปรับมุมมองตัวเองให้อยู่ให้ได้ด้วยตนเอง หาอ่านหนังสือไปเรื่อยจนได้มาเจอหนังสือของหลวงพ่อจรัญ
เจอหนังสือที่ท่านเล่าเรื่องเวรกรรม และแนวทางในการแก้ไข ร่วมถึงกรณีศึกษาต่างๆของลูกศิษย์ลูกหาของท่านที่ได้บันทึกลงในหนังสือ
อ่านแล้วรู้สึกสนใจ อยากรู้ว่าถ้าเรามาปฏิบัติธรรมมันจะช่วยเราได้จริงหรือเปล่า ก็เลยอยากลองดูค่ะ
หนนี้ก็เลยดั้นด้นไปที่วัดอัมพวัน ไปครั้งแรกตอนปิดเทอม บวชอยู่ 7 วัน แน่นอนค่ะ สองสามวันแรกก็ยังคงเหมือนเดิม
นั่งยุกยิกเป็นลิงเป็นค่าง แล้วค่อยมาปรับสภาพได้ในวันที่ สี่ที่ห้า จนครบ 7 วัน รู้สึกนิ่งได้แบบที่ไม่เคยเป็น พอออกมา
ไอ้ตัวปัญหาที่เรามี มันก็ยังอยู่ แต่ตัวเราเริ่มเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน มองเห็นแต่ไม่แบก ไม่ยึดติด
รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของตัวเองเมื่อต้องออกมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
หลังจากนั้นจขกท.มักจะหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเสมอ สมัยอายุยังน้อง จขกท.ทำงานรับงานเป็นช่วงๆ
เมื่อหมดงานก็จะรีบหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมก่อนที่จะเริ่มต้นงานใหม่ 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง ตามแต่โอกาสจะอำนวย
ข้อดี: ได้ฝึกแบบปฏิบัติแบบเข้มข้น ได้พิจารณาสังขาร โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆแล้วเหน็บกิน...เมื่อยหนอ
(สิ่งนี้อาจฟังดูเล็กน้อย แต่เมื่อเราออกไปเผชิญโลกภายนอกแล้ว เราจะรู้เลยว่าเรามีความอดทนมากขึ้นจริงๆ)
ข้อเสีย: ในขณะที่ท่านคิดว่าท่านเริ่มจะสงบได้ และทางหลวงพ่อหรือทางวัดเองก็บอกเสมอว่า
ท่านมาปฏิบัติธรรมที่นี่ไม่คิดเงิน แล้วแต่ใครจะทำบุญเท่าไหร่ก็ได้ (รู้สึกชื่นชมทางวัดมาก
ที่อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้คนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถเข้าปฏิบัติธรรมได้)
แต่แล้วเมื่อท่านเดินเข้าโรงอาหารท่านก็จะได้ยินเสียงของแม่ชีเสียงดัง คอยบอกอย่างโน้นอย่างนี้
ถ้าจ่ายเงินน้อย ติดหนี้สงฆ์ และมีอื่นๆอีกมากมาย อารมณ์คล้ายๆท่านไปเดินตลาดแล้วได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย
(ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า) เมื่อเวลาพัก ขณะที่ท่านเก็บกวาดลานวัดอยู่ ท่านก็อาจจะมองเห็นผู้เข้าปฏิบัติหลายๆท่าน
ถ่ายรูป อัพเฟส เล่นเน็ท คุยโทรศัพท์ หรือจับกลุ่มคุยกัน เพราะหลังๆมานี้มีผู้ปฏิบัติธรรมเยอะมาก
ย่อมมีผู้คนหลากหลายแบบ แต่ก็ยินดีที่เค้าที่พวกเค้าอย่างน้อยก็สนใจมาวัด แต่ละคนตักตวงอะไรได้ไม่เท่ากัน
บางคนมาแล้วเก็บเกี่ยวไปได้ร้อย บางคนเก็บเกี่ยวไปได้ครึ่งหนึ่ง และบางคนได้ไปเพียงแค่สิบจากร้อย
เราก็ยังถือว่าเค้ายังพอได้อะไรกลับไปบ้าง บุญกุศลเป็นสิ่งที่ใครทำใครได้ ดังนั้นถ้าใครจะได้น้อย
เราก็อย่าไปด่าว่าเค้าที่เค้าไม่เหมือนเรา (นี่เป็นธรรมะอีกข้อหนึ่งที่จขกท.เรียนรู้จากความแตกต่าง
ระหว่างคนแต่ละคนเมื่อได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่)
อะไรเป็นเหตุให้คุณพบธรรมะ สถานที่ปฏิบัติธรรมที่ไหนที่ตรงจริตของคุณบ้าง มาแชร์ประสบการณ์กันค่ะ
สำหรับจขกท. : “เมื่อเจอทุกข์จึงพบธรรม” ทุกวันนี้ยังรู้สึกขอบคุณความทุกข์ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตทุกครั้ง
เพราะการพบทุกข์ ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ และเราจะไม่ซาบซึ้งถึงความหมายของความสุขเลย
ถ้าเราไม่เคยรู้ว่าความทุกข์มันเป็นอย่างไร
สืบเนื่องจากเจ้าของกระทู้เมื่อมีเวลาว่างมักจะไปปฏิบัติธรรม เริ่มปฏิบัติครั้งแรกๆก็ตอนอายุยี่สิบต้นๆ
จนปูนนี้...แล้ว แต่ละที่ล้วนแต่ดีมีข้อแตกต่างกันไปคนละมุม ดีไปคนละแบบ
เลยขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ที่เคยไปปฏิบัติในแต่ละที่มาแบ่งปันเพื่อนๆค่ะ
เผื่อเพื่อนๆมีที่ไหนดีๆแนะนำ จะได้ลองไปกับเค้าบ้าง
1.สถานที่แรก: วัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัญ)
เราเริ่มต้นปฏิบัติธรรมครั้งแรกตอนอายุ 19 ปี ตอนนั้นที่มหาวิทยาลัยบังคับให้นักศึกษาในภาควิชาไปปฏิบัติทุกคนค่ะ
เรารู้จักหลวงพ่อจรัญครั้งแรกก็ที่นี่ แต่ไม่ใช่วัดอัมพวันนะคะ หากแต่เป็น ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ที่จังหวัดขอนแก่น
ตามประสาวัยรุ่นตอนนั้นก็แอบเคืองอาจารย์ว่าพาอิชั้นมาทำไมเนี่ย น่าเบื่อ แล้วเราทำไม่ได้ ยุกยิกๆเป็นลิง ทรมานสุดๆ
ให้บวชพราหณ์ 3 วัน แต่รู้สึกทรมาน เหมือนมันยาวนานเป็นปี ปฏิบัติแล้วน่าจะได้บาปเพิ่ม เพราะไม่เต็มใจ ทำก็ไม่ได้
ฟุ้งซ่านหนอ (ทุกวันนี้ก็เลยพอเข้าใจวัยรุ่นเวลาโดนคุณพ่อคุณแม่ลากมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม)
ก่อนนั้นจขกท.ไม่เคยได้เข้าวัดทำบุญตักบาตรอะไรเลย จนอายุได้ 22 ปี รู้สึกทุกข์หนักถึงขั้นอยากโดดตึกลงมาตายให้รู้แล้วรู้รอด
มีปัญหาก็ไม่รู้จะหันไปปรึกษาใคร เพื่อนก็ไม่มี วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือศึกษาหาหนทางดับทุกข์ โดยการอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา
เพื่อปรับมุมมองตัวเองให้อยู่ให้ได้ด้วยตนเอง หาอ่านหนังสือไปเรื่อยจนได้มาเจอหนังสือของหลวงพ่อจรัญ
เจอหนังสือที่ท่านเล่าเรื่องเวรกรรม และแนวทางในการแก้ไข ร่วมถึงกรณีศึกษาต่างๆของลูกศิษย์ลูกหาของท่านที่ได้บันทึกลงในหนังสือ
อ่านแล้วรู้สึกสนใจ อยากรู้ว่าถ้าเรามาปฏิบัติธรรมมันจะช่วยเราได้จริงหรือเปล่า ก็เลยอยากลองดูค่ะ
หนนี้ก็เลยดั้นด้นไปที่วัดอัมพวัน ไปครั้งแรกตอนปิดเทอม บวชอยู่ 7 วัน แน่นอนค่ะ สองสามวันแรกก็ยังคงเหมือนเดิม
นั่งยุกยิกเป็นลิงเป็นค่าง แล้วค่อยมาปรับสภาพได้ในวันที่ สี่ที่ห้า จนครบ 7 วัน รู้สึกนิ่งได้แบบที่ไม่เคยเป็น พอออกมา
ไอ้ตัวปัญหาที่เรามี มันก็ยังอยู่ แต่ตัวเราเริ่มเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน มองเห็นแต่ไม่แบก ไม่ยึดติด
รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของตัวเองเมื่อต้องออกมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
หลังจากนั้นจขกท.มักจะหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเสมอ สมัยอายุยังน้อง จขกท.ทำงานรับงานเป็นช่วงๆ
เมื่อหมดงานก็จะรีบหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมก่อนที่จะเริ่มต้นงานใหม่ 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง ตามแต่โอกาสจะอำนวย
ข้อดี: ได้ฝึกแบบปฏิบัติแบบเข้มข้น ได้พิจารณาสังขาร โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆแล้วเหน็บกิน...เมื่อยหนอ
(สิ่งนี้อาจฟังดูเล็กน้อย แต่เมื่อเราออกไปเผชิญโลกภายนอกแล้ว เราจะรู้เลยว่าเรามีความอดทนมากขึ้นจริงๆ)
ข้อเสีย: ในขณะที่ท่านคิดว่าท่านเริ่มจะสงบได้ และทางหลวงพ่อหรือทางวัดเองก็บอกเสมอว่า
ท่านมาปฏิบัติธรรมที่นี่ไม่คิดเงิน แล้วแต่ใครจะทำบุญเท่าไหร่ก็ได้ (รู้สึกชื่นชมทางวัดมาก
ที่อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้คนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถเข้าปฏิบัติธรรมได้)
แต่แล้วเมื่อท่านเดินเข้าโรงอาหารท่านก็จะได้ยินเสียงของแม่ชีเสียงดัง คอยบอกอย่างโน้นอย่างนี้
ถ้าจ่ายเงินน้อย ติดหนี้สงฆ์ และมีอื่นๆอีกมากมาย อารมณ์คล้ายๆท่านไปเดินตลาดแล้วได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย
(ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า) เมื่อเวลาพัก ขณะที่ท่านเก็บกวาดลานวัดอยู่ ท่านก็อาจจะมองเห็นผู้เข้าปฏิบัติหลายๆท่าน
ถ่ายรูป อัพเฟส เล่นเน็ท คุยโทรศัพท์ หรือจับกลุ่มคุยกัน เพราะหลังๆมานี้มีผู้ปฏิบัติธรรมเยอะมาก
ย่อมมีผู้คนหลากหลายแบบ แต่ก็ยินดีที่เค้าที่พวกเค้าอย่างน้อยก็สนใจมาวัด แต่ละคนตักตวงอะไรได้ไม่เท่ากัน
บางคนมาแล้วเก็บเกี่ยวไปได้ร้อย บางคนเก็บเกี่ยวไปได้ครึ่งหนึ่ง และบางคนได้ไปเพียงแค่สิบจากร้อย
เราก็ยังถือว่าเค้ายังพอได้อะไรกลับไปบ้าง บุญกุศลเป็นสิ่งที่ใครทำใครได้ ดังนั้นถ้าใครจะได้น้อย
เราก็อย่าไปด่าว่าเค้าที่เค้าไม่เหมือนเรา (นี่เป็นธรรมะอีกข้อหนึ่งที่จขกท.เรียนรู้จากความแตกต่าง
ระหว่างคนแต่ละคนเมื่อได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่)