ปุพเพนิวาสานุสสติญาณที่แท้จริง ( ซึ่งไม่เป็นสัสสตทิฎฐิ )........ตองเก้า

เค้าโครงมันมาจาก   ที่คุณพี่เฉลิมศักดิ์แกอ้างถึงท่านพุทธทาส.....แล้วกล่าวหาว่าท่านเป็นเดียถีร์
โดยมีการอ้างอิงความเห็นของท่านพุทธทาส   ตามลิ้ง...http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/1473/index.html
เมื่อผมเข้าไปดู   ก็ปรากฎว่า ความเห็นที่ว่าล้วนเป็นพุทธวจน   .......ก็เลยสงสัยว่า  คุณพี่เหลิมแกมีวุฒิภาวะพอที่จะพูดธรรมหรือไม่

ตอนแรกก็ไม่แน่ใจในวุฒิภาวะของพี่เหลิมแก   แต่มาแน่ใจก็ตอนที่แกไปอ้างอิงความเห็นของคุณคันโทน่า
ผมก็เลยลงความเห็นว่า......คุณพี่เฉลิมศักดิ์๑   ขาดซึ่งวุฒิภาวะในการสนทนาธรรม (นี่ไม่รวมสิ่งที่แกชอบทำก็คือ ชอบแปะโน้นปะนี้ให้รกกระทู้)

คุณพี่เหลิมแกวางลิ้งกระทู้คุณคันโทน่า   http://pantip.com/topic/30487796  ซึ่งเป็นเรื่อง..."ปุพเพนิวาสานุสติของพระพุทธเจ้าไม่มีวันเป็นสัสตทิฏฐิ"
ผมเห็นว่า    ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน  นั้นคือ.......ความไม่เป็นสัตตทิฐิปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรื่องของเรื่องหรือภาษาคนทำหนังเรียกว่า ไคลแมกซ์   นั้นก็คือความมั่วของคุณพี่เหลิมกับคุณคันโทน่าครับ
ที่ว่ามั่วก็เพราะแกไม่เข้าใจธรรมครับ   อาศัยแต่ท่องบัญญัติพยัญนะ   
เวลาใดที่แกไปเจอใครใช้พยัญชนะที่ต่างจากของแก   ก็จะกล่าวหาเขาว่าผิดที่หนักหน่อยก็ว่าเป็นเดียถีร์ไปเลย

ที่ว่าทั้งสองไม่เข้าใจธรรมอย่างไร  ก็คือคันโทน่าแกยกพุทธวจนมาวาง......
ยกมาแบบเต็มๆ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=09&A=1072&Z=1919

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
             [๑๓๖] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบ
ชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอด
วิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้


แล้วคุณคันโทน่าแกตบท้ายความเห็นแบบนี้ครับ................

"กรุณาอ่านทีผมขีดเส้นใต้ดีๆนะครับ (คำพูดคุณคันโทน่า)

ท่านเปรียบกับพระภิกษุ(อยู่ในบ้านตัวเอง)ที่นั่งสมาธิอาศัยปุพเพนิวาสานุสติ ย้อนระลึกชาติไปชาตินั้น (บ้านคนอื่นนั้น)
แล้วย้อนไปชาติโน้น(บ้านคนอื่นโน้น)  แล้วย้อนไปชาตินู้น (บ้านคนอื่นนู้น) แล้วกลับถอนออกจากปุพเพนิวา (กลับบ้านตนเอง)
ย่อมระลึกได้ว่า ในชาตินั้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น...เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น (ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น)... etc


ผมชี้อีกเรื่องให้เห็น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ไปบ้านอื่นนะครับ ไม่ใช่บ้านตัวเอง
นี่ขนาดระลึกชาติตัวเอง ท่านยังบอกไปบ้านอื่นนะครับ

ชัดเจนครับว่าการเวียนว่ายตายเกิดอย่างมีเหตุปัจจัยไม่ใช่สัสตทิฏฐิ
แต่ทิฏฐิว่าวิญญาณเที่ยง อัตตาเที่ยง การมีวิญญาณล่องลอยไปเกิด อันนี้เป็นสัสตทิฏฐิ"

           ----------------------------------------------------------------------------

ผมนายตองเก้าอ่านพระสูตรที่คันโทน่าเอามาอ้างอิง   และความเห็นตบท้ายแล้ว
รู้สึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ    แต่กลัวกลัวคนเขาจะหาว่าผมบ้า  ก็เลยต้องอาศัยการแสยะยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่