หนึ่งภาพยนตร์ที่ถูกกล่าวกันว่าเป็นหนังอาร์ต ซึ่งดูจะเป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อได้สัมผัส การได้ชื่อว่าเป็นหนังอาร์ตย่อมต้องไม่ถูกจริตหรือถูกใจกลุ่มคนดูทั่วไปเป็นแน่ มาดูกันว่าหนังมีลักษณะเป็นอย่างไร
Under the Skin นั้นเต็มไปด้วยความวิกลประหลาดที่ดูเพียงแค่ตัวอย่างก็บ่งบอกมากพอว่าตัวหนังนั้นจะมาแบบไหน
จากตัวอย่างมีการกล่าวถึงความคล้าย Stanley Kubrick ซึ่งก็มีบางส่วนของหนังที่บ่งบอกเช่นนั้นอยู่ แต่หากพิจารณาหลังดูจบคงต้องบอกว่ามีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรและไม่ได้มีความประหลาดหรือยิ่งใหญ่และซับซ้อนเท่างานของ Kubrick นัก
แต่สิ่งที่ในตัวอย่างบอกในหนังเรื่องนี้หรือคำเยินยอของ Blank Projector ว่า “ภาพยนตร์ที่จะพูดถึงสิ่งที่ทำให้คุณ... เป็นมนุษย์” ดูจะเป็นคำนิยามที่บ่งบอกตัวหนังได้มากเลยทีเดียว
ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอสิ่งที่ได้บางส่วนจากหนังเรื่องนี้ซึ่งทั้งหมด “ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” แต่คือการตีความของผู้เขียนเท่านั้น ก็ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านหรือหากมีความคิดที่แตกต่างก็แสดงความเห็นเพิ่มเติมได้ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความเข้าใจกันและกัน
(มีสปอยล์)
ภาพประหลาดที่ชวนดูฉงนและเสียงที่ฟังได้ศัพท์บ้างไม่ได้ศัพท์บ้างถ่ายทอดออกมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรที่จะบอกว่า หนังเรื่องนี้ไม่ปกติ...
นักขี่คนนึงบิดมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วสูงไปหยุดข้างทางแถวพุ่มไม้ จากนั้นก็เดินลงไปซักพัก แบกร่างหญิงสาวที่ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหนไปใส่ไว้หลังรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างทางก่อนหน้า ก็ยิ่งชวนไม่ปกติ...
ตามติดด้วยหวานใจใครหลายคนอย่าง Scarlett Johansson กับร่างเปลือยเปล่าที่กำลังถอดเสื้อผ้าของหญิงสาวพุ่มไม้มาสวมใส่เอง ซึ่งในฉากก็มีการใส่ “ความหมาย” บางอย่างเข้าไป จากนั้นคนขี่มอเตอร์ไซค์ก็ขับจากไป ส่วน Scarlett ก็ขับรถยนต์ที่จอดไว้ก่อนหน้า ซึ่งดูไม่ปกติอย่างไม่มีคำอธิบายอีกเช่นกัน...
Scarlett เริ่มต้นด้วยการไปช้อปปิ้งซื้อชุดและเครื่องสำอางค์มาตกแต่งใบหน้าของตน จากนั้นก็ขับรถไปเรื่อยๆ ถามทางผู้คนถึงที่ที่จะไป ซึ่งมีบางคนที่ติดรถไปบ้าง ถูกเสน่ห์ของนางจึงติดรถไปบ้าง ล้วนแล้วแต่ลงเอยด้วยความไม่ปกติอีกครั้ง...
เรื่องราวพื้นๆดูจะเป็นเช่นนี้ทั้งเรื่อง แต่ก็มีหลายฉากที่แอบจิกกัดและสะท้อนความเป็นมนุษย์ในรูปแบบของการเยินยอบ้าง ยอกย้อนบ้าง บทสรุปหนังก็เฉลยว่าท้ายที่สุดเธอไม่ใช่ “มนุษย์” แต่หนังก็บอกใบ้เรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงแรกๆซึ่งหลายท่านคงรู้สึกได้
เมื่อเรารู้ว่า Scarlett ไม่ใช่มนุษย์ มาลองพิจาณาเรื่องราวอีกครั้งว่า “ความไม่ปกติ” และสิ่งที่ทำให้ฉงนหรือไม่ทราบว่าหนังใส่มาทำไมในเรื่องนี้หมายถึงอะไร เพราะตัว Scarlett ก็ไม่ใช่สิ่ง “ปกติ” อยู่แล้ว.. ซึ่งผู้เขียนจะไม่ลำดับเรื่องราว แต่จะพูดข้ามไปข้ามมา ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับชมแล้วเพื่อง่ายต่อการปะติดปะต่อ
Scarlett ไม่ใช่มนุษย์ -- ในฉากเริ่มเรื่องที่ดูไม่รู้เรื่องก็คือ “การกำเนิด“ ของเธอนั่นเอง หนังใส่สัญลักษณ์ที่ดูเหมือนจักรวาล ดวงดาว โลก สสาร การผสานที่ดูเหมือน 2 วัตถุถูกทับซ้อนกัน เหล่านี้ล้วนมองถึงการก่อเกิดได้ทั้งสิ้น เป็นสัญลักษณ์การก่อเกิดแห่งรากเหง้าของธรรมชาติ (ดังนั้นผมจะถือว่าพวก Scarlett คือ Species หนึ่งบนโลก) อีกนัยนึงก็คือการผสานตัวเองเข้ากับ “Skin” หรือผิวหนังของ “มนุษย์” ในรูปของสัญลักษณ์
เสียงที่ได้ยินตอนแรกคือการ ”ฝึกพูดของ Species นี้เพื่อสามารถสื่อสารและทำให้ตัวเองกลมกลืนกับมนุษย์”
ผู้เขียนมองว่า Scarlett เป็นดั่งเด็กน้อยที่พึ่งกำเนิดและคนที่ขับมอเตอร์ไซค์คือคนที่คอยดูแลเธออีกที
จะเห็นว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์จะคอยเก็บกวาดสิ่งที่ Scarlett ทำและตรวจสอบความสมบูรณ์โดยการเดินและจ้องมองไปรอบตัวเธอ
Scarlett หยิบมดขึ้นมาดูครั้งแรก นั่นคือความ ”ใหม่” สำหรับเธอ “ทุกสิ่งคือความน่าสนใจเมื่อเรากำเนิด” การหยิบขึ้นมามองดูด้วยความสนใจเป็นเวลานานจึงดูปกติ ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดของเธอไม่ใช่เพียงแค่การ ”อยู่รอด” แต่คือ “การเรียนรู้” ไปพร้อมๆกัน
การอยู่รอดก็คือการสูบจิตวิญญาณ เลือด กล้ามเนื้อ สมอง ความทรงจำ เซลล์ บลาๆ หรือ “ภายใต้ Skin” นั่นเอง ในส่วนนี้สอดคล้องกับชื่อของหนังอย่าง Under The Skin ซึ่งสามารถตีความได้ 2 อย่าง
อย่างแรกคือ Scarlett ตัวตนที่ “ไม่ปกติ” หรือแตกต่าง แต่มี “Skin ปกติเหมือนกับมนุษย์” (ภายนอก)
อีกอย่างคือ “มนุษย์” จิตวิญญาณ สิ่งที่อยู่ภายใต้ Skin, อารมณ์ ความรู้สึกที่ Scarlett ไม่มีหรือ”สิ่งที่ทำให้เรา... เป็นมนุษย์” นั่นเอง
หากเรามองว่า Scarlett เป็น Species นั่นคือสิ่งมีชีวิตอย่างนึง ก็ย่อมต้องมีการหาอาหารเพื่อความอยู่รอด การที่ Scarlett สูบร่างของคนที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ เธอจ้องมองตัวเองในกระจกและเห็นความทรุดโทรมลงของตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอปล่อยชายคนนั้นไป (อาหารที่ดีย่อมนำมาสู่สุขภาพที่ดี)
ย้อนกลับไปต้นเรื่องซักนิด ตอนที่ Scarlett ช้อปปิ้ง การที่หนังถ่ายทอดมนุษย์ที่กำลังแต่งแต้มตัวเองให้มีเสน่ห์จาก “ภายนอก” หรือ “Skin” ตรงจุดนี้ทำให้เราไม่ต่างกับ Scarlett ที่เอา Skin ของมนุษย์มาสวมใส่เพื่อมนต์เสน่ห์ของเธอ…
ภาพที่ถ่ายทอดในมุมมองของ Scarlett จับจ้องไปที่คนหนุ่ม คนแก่ คือการเฟ้นหาอาหารครั้งแรกๆและการศึกษา อีกนัยนึงหนังสื่อถึงความไม่เป็นนิรันดร์ของมนุษย์...
การพูดคุยกับเหยื่อครั้งแรกๆของเธอจะเห็นว่าเธอมีรูปแบบการพูดที่เหมือนๆกัน แต่เมื่อเธอได้พูดคุยกับผู้คนมากขึ้น เธอจะมีการเรียนรู้และนำคำพูด ท่าทาง การกระทำของคนที่พูดคุยด้วยไปประยุกต์ใช้ขณะนั้นและครั้งถัดไป
ฉากการล่าเหยื่อนั้น บทสนทนาอาจดูน้อยนิดและไร้ความหมาย แต่แท้ที่จริงเต็มไปด้วยความหมายแทบทั้งสิ้น ตั้งแต่การ ช่วยเหลือที่บอกทาง นี่คือเอกลักษณ์อย่างนึงของมนุษย์ ”การ ช่วย เหลือ”
การสะท้อนจิตใจของมนุษย์อย่างการบอกว่า “ชอบอยู่คนเดียวแต่ถวิลหา... ความสัมพันธ์”
“ความรับผิดชอบ” ของการมีครอบครัวทำให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของ Scarlett
การชื่นชมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ จากในหนังมีตัวละครที่พูดถึง ดวงตา ริมฝีปาก ใบหน้า ผิวกาย ทั้งหมดล้วนคือ “ภายนอก” หรือ “Skin” และ Scarlett นำการชื่นชมนั้นไปใช้กับชายอัปลักษณ์ด้วยการชมมือและหลอกล่อด้วยการสัมผัส
ในฉากชายอัปลักษณ์เป็นหนึ่งฉากที่สะท้อนมนุษย์ในการปิดกั้นคนอื่นด้วย Skin (ภายนอก) นั่นทำให้ชายอัปลักษณ์คือ ”ความไม่ปกติและแตกต่างทั้งๆที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่ Scarlett คือความปกติและธรรมชาติ”
อาจด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เราให้ความสำคัญกับ Skin มากกว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้ Skin…
ถ้าหากเป็นมนุษย์ด้วยกันคงต้องมีความ ”รังเกียจ” เกิดขึ้น แต่สำหรับ Scarlett นั้นเราจะสังเกตเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย...
หนังยังสะท้อนว่าชายอัปลักษณ์คือ “มนุษย์” แค่ไหนด้วยการแสดงออกว่าช่วยเหลือและการตกเป็นเหยื่อของ Scarlett เหมือนกับคนอื่นๆ..
ในฉากของการสูบ จะมีอยู่ฉากนึงที่ถ่ายชายที่ถูกสูบ แต่ละคนเหมือนอยู่ในบ่อดองและพยายามสื่อสารกัน แม้กระทั่งการพยายามเอื้อมมือถึงกัน เป็นฉากที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุดฉากนึงเลยทีเดียว นั่นคือการพูดถึงความรู้สึก อารมณ์ ความกลัว ความหวัง ที่เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ skin หรือสิ่งที่ทำให้เรา... เป็นมนุษย์
การจากไปของชายอีกคนที่ทั้งคู่พึ่งได้สัมผัสกันนั้นดูน่าขนลุกอย่างยิ่ง (ผู้เขียนสะดุ้งโหยงเลยทีเดียว) แต่ก็เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน...
ภาพผิวหนังของมนุษย์ที่ปลิวไสวและดูไร้น้ำหนักอยู่เป็นระยะเวลานึง ชวนสยองลึกลับดำดิ่งอย่างประหลาด แต่เป็นความหมายที่พูดถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวหนังว่านั่นคือ “มนุษย์” เป็นฉากที่ย้ำถึงสิ่งที่อยู่ ”ภายใน” ว่านั่นคือสิ่งสำคัญ (Scarlett กลืนกินสิ่งที่อยู่ภายใต้ Skin) ไม่ใช่ภายนอก (Skin)
ภาพแสงสีและสัญลักษณ์ที่ชวนฉงนอีกครั้ง ตั้งแต่ภาพที่เหมือนมีอะไรไหลหรือโดนดูด อาจเป็นการกลืนกินของ Scarlett แต่มีบางภาพที่ดูเหมือนเป็นการเต้นของชีพจรแทนส่วนของมนุษย์ จากนั้นก็กลายเป็นภาพสีแดงๆแทนส่วนของ Scarlett (ผมมองว่า Species ของพวกเธอไม่มีอายุขัยถ้าหากพวกเธอสูบมนุษย์ เธอก็อยู่ได้ตลอด)
ในฉากที่ Scarlett พูดคุยกับชายแถวทะเล แต่จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ชายคนนี้ต้องไปช่วยคนที่กำลังจะโดนทะเลกลืนกิน ในขณะที่ Scarlett เพียงจ้องมอง เป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่าง ”มนุษย์กับพวก Scarlett” ทั้งนี้ก็สะท้อนคนที่เห็นการเดือดร้อนของคนอื่นแต่ไม่ได้ทำการช่วยเหลือว่าไม่ต่างกับ Scarlett…
แม้การพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือก็ไม่ได้ช่วยให้คนๆนั้นรอด เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความโศกเศร้าอาลัย ซึ่งแน่นอนว่า Scarlett ก็ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนั้นด้วย เธอกลับฆ่าชายที่กำลังเสียใจและนำตัวไป ทิ้งไว้เพียงเด็กน้อยให้อยู่อย่างเดียวดาย..
ในฉากนี้แสดงความเป็นมนุษย์นั่นคือ “ความรู้สึก” ที่ไม่มีความแน่นอน ทั้งปกติ สุข เศร้า เหงา หวาดกลัว แม้แต่เด็กน้อยยังรับรู้ได้ถึงความ “โดดเดี่ยวและความน่ากลัว” ซึ่ง Scarlett ไม่มี
มาดูสิ่งที่ Scarlett เริ่มเปลี่ยนไปบ้าง ซึ่งหลายๆอย่างค่อนข้างเยินยอและพูดถึงสิ่งที่ทำให้เรา... เป็นมนุษย์
ตั้งแต่ที่ Scarlett สูบชายอัปลักษณ์ เธอเริ่มตระหนักถึงความ ”ไม่สมบูรณ์” จนถึงขั้นทำให้เธอหยุดชะงักมองดูตัวเองอย่างเวทนาอยู่พักใหญ่
ภาพถ่ายทอดใบหน้าของเธอตอนขับรถเป็นระยะเวลานานที่ไม่อาจบอกได้ว่าเธอ “มีความรู้สึกอย่างไร” ทั้งๆที่ดูเหมือนเธอมีความรู้สึก เป็นสิ่งที่บอกความแตกต่างของเธอกับมนุษย์ ถ้าหากลองย้อนมองว่าถ่ายใบหน้าของมนุษย์นานขนาดนั้นย่อมต้องมีความรู้สึกนึกคิดที่แสดงออกมาให้เห็นแน่ ส่วนนี้ขอชื่นชมในการแสดงของ Scarlett เต็มๆ
ครั้งแรกที่เธออยากลองสัมผัส ”รสชาติ” ของอาหารนั่นคือการอยากลองเป็น “มนุษย์” ฉากนี้นับเป็นหนึ่งฉากที่งดงามอย่างยิ่งในการพยายามลองลิ้มรสด้วยปากและมือที่สั่นระริกของ Scarlett ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ เพราะหากมองถึงสิ่งมีชีวิตอื่น “การกินอาหารเป็นเพียงแค่การเอาตัวรอด” แต่สำหรับมนุษย์อาจใช่ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือการดื่มด่ำกับรสชาติ การใช้ความรู้สึก เป็นส่วนที่อยู่ภายใต้ Skin นั่นเอง..
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเธอไม่อาจรับประทานได้ ถึงกับต้องคายทิ้ง ทำให้คนในร้านหันมามองและดู “ไม่ปกติ” ขึ้นมาทันที
มีต่อ...
[CR] Under the Skin (2013) เยินยอและยอกย้อน [Rate R]
หนึ่งภาพยนตร์ที่ถูกกล่าวกันว่าเป็นหนังอาร์ต ซึ่งดูจะเป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อได้สัมผัส การได้ชื่อว่าเป็นหนังอาร์ตย่อมต้องไม่ถูกจริตหรือถูกใจกลุ่มคนดูทั่วไปเป็นแน่ มาดูกันว่าหนังมีลักษณะเป็นอย่างไร
Under the Skin นั้นเต็มไปด้วยความวิกลประหลาดที่ดูเพียงแค่ตัวอย่างก็บ่งบอกมากพอว่าตัวหนังนั้นจะมาแบบไหน
จากตัวอย่างมีการกล่าวถึงความคล้าย Stanley Kubrick ซึ่งก็มีบางส่วนของหนังที่บ่งบอกเช่นนั้นอยู่ แต่หากพิจารณาหลังดูจบคงต้องบอกว่ามีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรและไม่ได้มีความประหลาดหรือยิ่งใหญ่และซับซ้อนเท่างานของ Kubrick นัก
แต่สิ่งที่ในตัวอย่างบอกในหนังเรื่องนี้หรือคำเยินยอของ Blank Projector ว่า “ภาพยนตร์ที่จะพูดถึงสิ่งที่ทำให้คุณ... เป็นมนุษย์” ดูจะเป็นคำนิยามที่บ่งบอกตัวหนังได้มากเลยทีเดียว
ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอสิ่งที่ได้บางส่วนจากหนังเรื่องนี้ซึ่งทั้งหมด “ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” แต่คือการตีความของผู้เขียนเท่านั้น ก็ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านหรือหากมีความคิดที่แตกต่างก็แสดงความเห็นเพิ่มเติมได้ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความเข้าใจกันและกัน (มีสปอยล์)
ภาพประหลาดที่ชวนดูฉงนและเสียงที่ฟังได้ศัพท์บ้างไม่ได้ศัพท์บ้างถ่ายทอดออกมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรที่จะบอกว่า หนังเรื่องนี้ไม่ปกติ...
นักขี่คนนึงบิดมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วสูงไปหยุดข้างทางแถวพุ่มไม้ จากนั้นก็เดินลงไปซักพัก แบกร่างหญิงสาวที่ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหนไปใส่ไว้หลังรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างทางก่อนหน้า ก็ยิ่งชวนไม่ปกติ...
ตามติดด้วยหวานใจใครหลายคนอย่าง Scarlett Johansson กับร่างเปลือยเปล่าที่กำลังถอดเสื้อผ้าของหญิงสาวพุ่มไม้มาสวมใส่เอง ซึ่งในฉากก็มีการใส่ “ความหมาย” บางอย่างเข้าไป จากนั้นคนขี่มอเตอร์ไซค์ก็ขับจากไป ส่วน Scarlett ก็ขับรถยนต์ที่จอดไว้ก่อนหน้า ซึ่งดูไม่ปกติอย่างไม่มีคำอธิบายอีกเช่นกัน...
Scarlett เริ่มต้นด้วยการไปช้อปปิ้งซื้อชุดและเครื่องสำอางค์มาตกแต่งใบหน้าของตน จากนั้นก็ขับรถไปเรื่อยๆ ถามทางผู้คนถึงที่ที่จะไป ซึ่งมีบางคนที่ติดรถไปบ้าง ถูกเสน่ห์ของนางจึงติดรถไปบ้าง ล้วนแล้วแต่ลงเอยด้วยความไม่ปกติอีกครั้ง...
เรื่องราวพื้นๆดูจะเป็นเช่นนี้ทั้งเรื่อง แต่ก็มีหลายฉากที่แอบจิกกัดและสะท้อนความเป็นมนุษย์ในรูปแบบของการเยินยอบ้าง ยอกย้อนบ้าง บทสรุปหนังก็เฉลยว่าท้ายที่สุดเธอไม่ใช่ “มนุษย์” แต่หนังก็บอกใบ้เรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงแรกๆซึ่งหลายท่านคงรู้สึกได้
เมื่อเรารู้ว่า Scarlett ไม่ใช่มนุษย์ มาลองพิจาณาเรื่องราวอีกครั้งว่า “ความไม่ปกติ” และสิ่งที่ทำให้ฉงนหรือไม่ทราบว่าหนังใส่มาทำไมในเรื่องนี้หมายถึงอะไร เพราะตัว Scarlett ก็ไม่ใช่สิ่ง “ปกติ” อยู่แล้ว.. ซึ่งผู้เขียนจะไม่ลำดับเรื่องราว แต่จะพูดข้ามไปข้ามมา ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับชมแล้วเพื่อง่ายต่อการปะติดปะต่อ
Scarlett ไม่ใช่มนุษย์ -- ในฉากเริ่มเรื่องที่ดูไม่รู้เรื่องก็คือ “การกำเนิด“ ของเธอนั่นเอง หนังใส่สัญลักษณ์ที่ดูเหมือนจักรวาล ดวงดาว โลก สสาร การผสานที่ดูเหมือน 2 วัตถุถูกทับซ้อนกัน เหล่านี้ล้วนมองถึงการก่อเกิดได้ทั้งสิ้น เป็นสัญลักษณ์การก่อเกิดแห่งรากเหง้าของธรรมชาติ (ดังนั้นผมจะถือว่าพวก Scarlett คือ Species หนึ่งบนโลก) อีกนัยนึงก็คือการผสานตัวเองเข้ากับ “Skin” หรือผิวหนังของ “มนุษย์” ในรูปของสัญลักษณ์
เสียงที่ได้ยินตอนแรกคือการ ”ฝึกพูดของ Species นี้เพื่อสามารถสื่อสารและทำให้ตัวเองกลมกลืนกับมนุษย์”
ผู้เขียนมองว่า Scarlett เป็นดั่งเด็กน้อยที่พึ่งกำเนิดและคนที่ขับมอเตอร์ไซค์คือคนที่คอยดูแลเธออีกที
จะเห็นว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์จะคอยเก็บกวาดสิ่งที่ Scarlett ทำและตรวจสอบความสมบูรณ์โดยการเดินและจ้องมองไปรอบตัวเธอ
Scarlett หยิบมดขึ้นมาดูครั้งแรก นั่นคือความ ”ใหม่” สำหรับเธอ “ทุกสิ่งคือความน่าสนใจเมื่อเรากำเนิด” การหยิบขึ้นมามองดูด้วยความสนใจเป็นเวลานานจึงดูปกติ ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดของเธอไม่ใช่เพียงแค่การ ”อยู่รอด” แต่คือ “การเรียนรู้” ไปพร้อมๆกัน
การอยู่รอดก็คือการสูบจิตวิญญาณ เลือด กล้ามเนื้อ สมอง ความทรงจำ เซลล์ บลาๆ หรือ “ภายใต้ Skin” นั่นเอง ในส่วนนี้สอดคล้องกับชื่อของหนังอย่าง Under The Skin ซึ่งสามารถตีความได้ 2 อย่าง
อย่างแรกคือ Scarlett ตัวตนที่ “ไม่ปกติ” หรือแตกต่าง แต่มี “Skin ปกติเหมือนกับมนุษย์” (ภายนอก)
อีกอย่างคือ “มนุษย์” จิตวิญญาณ สิ่งที่อยู่ภายใต้ Skin, อารมณ์ ความรู้สึกที่ Scarlett ไม่มีหรือ”สิ่งที่ทำให้เรา... เป็นมนุษย์” นั่นเอง
หากเรามองว่า Scarlett เป็น Species นั่นคือสิ่งมีชีวิตอย่างนึง ก็ย่อมต้องมีการหาอาหารเพื่อความอยู่รอด การที่ Scarlett สูบร่างของคนที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ เธอจ้องมองตัวเองในกระจกและเห็นความทรุดโทรมลงของตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอปล่อยชายคนนั้นไป (อาหารที่ดีย่อมนำมาสู่สุขภาพที่ดี)
ย้อนกลับไปต้นเรื่องซักนิด ตอนที่ Scarlett ช้อปปิ้ง การที่หนังถ่ายทอดมนุษย์ที่กำลังแต่งแต้มตัวเองให้มีเสน่ห์จาก “ภายนอก” หรือ “Skin” ตรงจุดนี้ทำให้เราไม่ต่างกับ Scarlett ที่เอา Skin ของมนุษย์มาสวมใส่เพื่อมนต์เสน่ห์ของเธอ…
ภาพที่ถ่ายทอดในมุมมองของ Scarlett จับจ้องไปที่คนหนุ่ม คนแก่ คือการเฟ้นหาอาหารครั้งแรกๆและการศึกษา อีกนัยนึงหนังสื่อถึงความไม่เป็นนิรันดร์ของมนุษย์...
การพูดคุยกับเหยื่อครั้งแรกๆของเธอจะเห็นว่าเธอมีรูปแบบการพูดที่เหมือนๆกัน แต่เมื่อเธอได้พูดคุยกับผู้คนมากขึ้น เธอจะมีการเรียนรู้และนำคำพูด ท่าทาง การกระทำของคนที่พูดคุยด้วยไปประยุกต์ใช้ขณะนั้นและครั้งถัดไป
ฉากการล่าเหยื่อนั้น บทสนทนาอาจดูน้อยนิดและไร้ความหมาย แต่แท้ที่จริงเต็มไปด้วยความหมายแทบทั้งสิ้น ตั้งแต่การ ช่วยเหลือที่บอกทาง นี่คือเอกลักษณ์อย่างนึงของมนุษย์ ”การ ช่วย เหลือ”
การสะท้อนจิตใจของมนุษย์อย่างการบอกว่า “ชอบอยู่คนเดียวแต่ถวิลหา... ความสัมพันธ์”
“ความรับผิดชอบ” ของการมีครอบครัวทำให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของ Scarlett
การชื่นชมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ จากในหนังมีตัวละครที่พูดถึง ดวงตา ริมฝีปาก ใบหน้า ผิวกาย ทั้งหมดล้วนคือ “ภายนอก” หรือ “Skin” และ Scarlett นำการชื่นชมนั้นไปใช้กับชายอัปลักษณ์ด้วยการชมมือและหลอกล่อด้วยการสัมผัส
ในฉากชายอัปลักษณ์เป็นหนึ่งฉากที่สะท้อนมนุษย์ในการปิดกั้นคนอื่นด้วย Skin (ภายนอก) นั่นทำให้ชายอัปลักษณ์คือ ”ความไม่ปกติและแตกต่างทั้งๆที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่ Scarlett คือความปกติและธรรมชาติ”
อาจด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เราให้ความสำคัญกับ Skin มากกว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้ Skin…
ถ้าหากเป็นมนุษย์ด้วยกันคงต้องมีความ ”รังเกียจ” เกิดขึ้น แต่สำหรับ Scarlett นั้นเราจะสังเกตเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย...
หนังยังสะท้อนว่าชายอัปลักษณ์คือ “มนุษย์” แค่ไหนด้วยการแสดงออกว่าช่วยเหลือและการตกเป็นเหยื่อของ Scarlett เหมือนกับคนอื่นๆ..
ในฉากของการสูบ จะมีอยู่ฉากนึงที่ถ่ายชายที่ถูกสูบ แต่ละคนเหมือนอยู่ในบ่อดองและพยายามสื่อสารกัน แม้กระทั่งการพยายามเอื้อมมือถึงกัน เป็นฉากที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุดฉากนึงเลยทีเดียว นั่นคือการพูดถึงความรู้สึก อารมณ์ ความกลัว ความหวัง ที่เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ skin หรือสิ่งที่ทำให้เรา... เป็นมนุษย์
การจากไปของชายอีกคนที่ทั้งคู่พึ่งได้สัมผัสกันนั้นดูน่าขนลุกอย่างยิ่ง (ผู้เขียนสะดุ้งโหยงเลยทีเดียว) แต่ก็เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน...
ภาพผิวหนังของมนุษย์ที่ปลิวไสวและดูไร้น้ำหนักอยู่เป็นระยะเวลานึง ชวนสยองลึกลับดำดิ่งอย่างประหลาด แต่เป็นความหมายที่พูดถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวหนังว่านั่นคือ “มนุษย์” เป็นฉากที่ย้ำถึงสิ่งที่อยู่ ”ภายใน” ว่านั่นคือสิ่งสำคัญ (Scarlett กลืนกินสิ่งที่อยู่ภายใต้ Skin) ไม่ใช่ภายนอก (Skin)
ภาพแสงสีและสัญลักษณ์ที่ชวนฉงนอีกครั้ง ตั้งแต่ภาพที่เหมือนมีอะไรไหลหรือโดนดูด อาจเป็นการกลืนกินของ Scarlett แต่มีบางภาพที่ดูเหมือนเป็นการเต้นของชีพจรแทนส่วนของมนุษย์ จากนั้นก็กลายเป็นภาพสีแดงๆแทนส่วนของ Scarlett (ผมมองว่า Species ของพวกเธอไม่มีอายุขัยถ้าหากพวกเธอสูบมนุษย์ เธอก็อยู่ได้ตลอด)
ในฉากที่ Scarlett พูดคุยกับชายแถวทะเล แต่จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ชายคนนี้ต้องไปช่วยคนที่กำลังจะโดนทะเลกลืนกิน ในขณะที่ Scarlett เพียงจ้องมอง เป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่าง ”มนุษย์กับพวก Scarlett” ทั้งนี้ก็สะท้อนคนที่เห็นการเดือดร้อนของคนอื่นแต่ไม่ได้ทำการช่วยเหลือว่าไม่ต่างกับ Scarlett…
แม้การพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือก็ไม่ได้ช่วยให้คนๆนั้นรอด เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความโศกเศร้าอาลัย ซึ่งแน่นอนว่า Scarlett ก็ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนั้นด้วย เธอกลับฆ่าชายที่กำลังเสียใจและนำตัวไป ทิ้งไว้เพียงเด็กน้อยให้อยู่อย่างเดียวดาย..
ในฉากนี้แสดงความเป็นมนุษย์นั่นคือ “ความรู้สึก” ที่ไม่มีความแน่นอน ทั้งปกติ สุข เศร้า เหงา หวาดกลัว แม้แต่เด็กน้อยยังรับรู้ได้ถึงความ “โดดเดี่ยวและความน่ากลัว” ซึ่ง Scarlett ไม่มี
มาดูสิ่งที่ Scarlett เริ่มเปลี่ยนไปบ้าง ซึ่งหลายๆอย่างค่อนข้างเยินยอและพูดถึงสิ่งที่ทำให้เรา... เป็นมนุษย์
ตั้งแต่ที่ Scarlett สูบชายอัปลักษณ์ เธอเริ่มตระหนักถึงความ ”ไม่สมบูรณ์” จนถึงขั้นทำให้เธอหยุดชะงักมองดูตัวเองอย่างเวทนาอยู่พักใหญ่
ภาพถ่ายทอดใบหน้าของเธอตอนขับรถเป็นระยะเวลานานที่ไม่อาจบอกได้ว่าเธอ “มีความรู้สึกอย่างไร” ทั้งๆที่ดูเหมือนเธอมีความรู้สึก เป็นสิ่งที่บอกความแตกต่างของเธอกับมนุษย์ ถ้าหากลองย้อนมองว่าถ่ายใบหน้าของมนุษย์นานขนาดนั้นย่อมต้องมีความรู้สึกนึกคิดที่แสดงออกมาให้เห็นแน่ ส่วนนี้ขอชื่นชมในการแสดงของ Scarlett เต็มๆ
ครั้งแรกที่เธออยากลองสัมผัส ”รสชาติ” ของอาหารนั่นคือการอยากลองเป็น “มนุษย์” ฉากนี้นับเป็นหนึ่งฉากที่งดงามอย่างยิ่งในการพยายามลองลิ้มรสด้วยปากและมือที่สั่นระริกของ Scarlett ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ เพราะหากมองถึงสิ่งมีชีวิตอื่น “การกินอาหารเป็นเพียงแค่การเอาตัวรอด” แต่สำหรับมนุษย์อาจใช่ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือการดื่มด่ำกับรสชาติ การใช้ความรู้สึก เป็นส่วนที่อยู่ภายใต้ Skin นั่นเอง..
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเธอไม่อาจรับประทานได้ ถึงกับต้องคายทิ้ง ทำให้คนในร้านหันมามองและดู “ไม่ปกติ” ขึ้นมาทันที
มีต่อ...