คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด (Part 1,2) เริ่มต้นกันที่ "ความเชื่อผิดๆ" ก่อน
----------------------------------
เห็นแล้วเหนื่อยใจมากครับ ทั้งในละคร หรือในลิ้งค์ที่แชร์กันต่อๆมา เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัดนั้นมีหลายแบบมากที่เป็นวิธีประหลาดๆ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีคนเชื่อ และนำไปทำตาม มันมีผลต่อความเป็นความตายของผู้ที่ถูกกัดเลยนะครับ
โพสนี้ จะขอพูดถึงสิ่งที่ "ผิด" เพื่อปรับความเข้าใจกันก่อนนะครับ
******สิ่งต่อไปนี้ "ห้ามทำ" อย่างยิ่งนะครับ****
1.ดูดพิษงูออกจากแผล
ในละครเจอเยอะมาก แต่ชีวิตจริงไม่ควรทำอย่างยิ่ง จริงอยู่ที่พิษงูเป็นก้อนโปรตีนประกอบกัน และสามารถย่อยได้ แต่ถ้าหากมีเพียงแผลเล็กๆ ฟันผุ ร้อนใน กัดปาก หรือแผลในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร พิษก็เข้าสู่ร่างกายได้แล้วครับ
นอกจากนี้ ในปากของเราเต็มไปด้วยเชื้อโรคต่างๆนาๆ ที่ถ้าหากเข้าแผลของผู้ถูกกัดไป อาจจะทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม หรือแผลติดเชื้อได้เลยครับ
2.กรีดแผลเป็นตัว X
O_o แค่งูกัดก็เจ็บพอแล้วครับ อย่าไปทำให้เค้าทรมานกว่าเดิมเลย วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้พิษไหลออกจากแผล และเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากใบมีดที่ไม่สะอาด เพิ่มความลำบากในการรักษาเปล่าๆครับ
3. การขันชะเนาะ (รัดเหนือแผลให้เลือดไม่ไหล)
วิธียอดฮิตเมื่อโดนงูกัดครับ อาจเคยเป็นวิธีที่ยอมรับกันมาก่อน แต่หลังจากนี้ไป อย่าใช้นะครับ
การขันชะเนาะ หรือเอาสายรัดแน่นๆเหนือแผล มักเกิดความผิดพลาด และทำให้เลือดไม่มาเลี้ยงอวัยวะที่ถูกกัด เสี่ยงต่อการเกิดเนื้อตายจนต้องตัดอวัยวะทิ้ง(เสี่ยงมากกว่าโดนพิษงูอีกด้วยซ้ำครับ)
edit : เพิ่มค่ะ ผู้ที่ถูกงูกัด ถึงแม้ว่าจะขันชะเนาะเอาไว้ก็ไม่สามารถรั้งพิษงูไม่ให้แพร่กระจายได้ค่ะ แต่จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเนื้อตายทำให้จำเป็นต้องตัดอวัยวะนั้นทิ้งค่ะ นอกจากนี้ การขันแล้วปล่อยสลับไปมา ไม่ทำให้พิษหยุดการแพร่กระจายค่ะ
การขันชะเนาะนั้น ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆที่สนับสนุนหรือยืนยันว่าการขันชะเนาะนั้นช่วยลดการแพร่กระจายของพิษได้ค่ะ
4. มะนาว
ครับ มะนาวที่กำลังแชร์ๆกันอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยยยยย เมื่อโดนงูกัดครับ พิษงูไม่ได้แล่นเข้าไปโจมตีกระเพาะอาหาร เพราะงั้นก็ไม่รู้จะกินเข้าไปห้ามพิษยังไง
แล้วการที่อาเจียนปนเลือดออกมา ผมว่าไม่ใช่ว่าพิษหมดฤทธิ์หรอกครับ แต่ผู้ป่วยใกล้จะวิกฤติแล้วมากกว่า ถ้ายังมัวแต่ป้อนมะนาวเกรงว่าจะไม่ทันรักษาเอานะครับ พาไปโรงพยาบาลเถอะ
5. เอาไฟฟ้าช๊อต
ผมก็เพิ่งเคยได้ยินตอนที่ไปรีเสิชหาข้อมูลก่อนเขียนนี่ละครับ เผื่อมีใครจำวิธีนี้ไป เลิกใช้นะครับ มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพิษงูเลย และเกรงว่าจะไปเร่งให้คนไข้เสียชีวิตเร็วขึ้นด้วยครับ = =''
6. ขยับอวัยวะที่ถูกกัด และ "แตกตื่น"
คุมสติตัวเองไว้ให้ดีครับ และพยายามอย่าให้อวัยวะที่ถูกกัดมีการใช้งาน เคลื่อนไหว ให้ขยับเฉพาะจำเป็นเท่านั้น เพราะว่าเมื่อขยับอวัยวะ เลือดก็จะมาเลี้ยงส่วนนั้นมากขึ้นครับ อาจเร่งให้พิษที่อยู่ในกระแสเลือด สูบฉีดไปยังอวัยวะสำคัญได้เร็วขึ้นไม่มากก็น้อย
7. เข้าไปตีหรือจับงู เพื่อพางูไปหาหมอด้วย
เข้าใจครับ ว่าการที่ถูกกัดก็ควรจะรู้ว่างูอะไร แต่จำลักษณะสำคัญไปก็พอ ไม่ถึงกับต้องพยายามพามันไปด้วย
อย่างที่พูดมาตลอดครับ การ "ฆ่า" งู ไม่ใช่การป้องกันตัวที่ดีเลย มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้คนที่เข้าไปตีถูกกัดมากขึ้น ดีไม่ดีแทนที่จะมีคนพาไปหาหมอ กลายเป็นโดนกัดทั้งสองคนจะแย่เอา
edit : เพิ่มเติมสำหรับการตีงูเพื่อนำไปให้หมอนะคะ การที่จะเข้าไปตีงูนั้นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของผู้ที่เข้าไปตีว่าอาจจะโดนงูกัดได้ค่ะ และถึงแม้ว่างูจะตายแล้ว ก็ยังสามารถมีreflexตอบสนองอัตโนมัติในการแว้งเข้ามากัดเมื่อถูกจับได้ค่ะ
edit : ชี้แจงเรื่องที่ว่า แล้วหมอจะเอาข้อมูลจากไหนมาตรวจนะครับ
คำตอบคือ อาการ(สำคัญที่สุด) และ การกระจายตัวของงูในพื้นที่ที่ถูกกัดครับ แค่คำบอกรูปร่างหรือบอกชื่องู หมอก็ไม่ตัดสินใจฉีดเซรุ่มเพราะแค่นั้นหรอกครับ
หรือแม้กระทั่งเคสที่พางูมาด้วยครับ ก็มีแม้กระทั่งคนที่ถูกกัดแล้วเข้าป่าตามงูไปตีมา ปรากฏว่าตีงูมาได้ครับ แต่ผิดตัว (โดนงูพิษอ่อนกัด บวม แต่ตามเข้าไปตีงูไม่มีพิษมา) ข้อมูลที่ได้มาจากผู้ถูกกัด เป็นแค่ตัวช่วยในการตัดสินใจของหมอครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดทุกอย่าง
ระงับความแค้นตัวเองไว้ให้ดีๆ อย่าไปตีมันเพราะมันกัดคนนี้คนนั้นก่อน ณ ตอนนั้นคุณต้องเลือกนะครับ ระหว่าง "การแก้แค้น" กับ "ชีวิตคนที่เรารัก"
***** อย่าลืมนะครับ "ห้ามทำ" สิ่งที่กล่าวมา******
------------------------------------------
Part ต่อไป จะเป็นการพูดถึง สิ่งที่"ควรทำ" เมื่อถูกงูพิษกัดนะครับ แต่อยากจะให้ทุกคนเข้าใจตรงกันก่อนว่าอะไรไม่ควร
ทุกๆความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการกระทำ มีผลต่อชีวิตคนที่ถูกกัดเสมอครับ เพราะฉะนั้นความเข้าใจผิดที่มีกัน อยากขอให้ปรับเปลี่ยนกันซะนะครับ
เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้ใช้ความรู้เหล่านี้ เพราะฉะนั้น รู้ไว้ ปรับความเข้าใจใหม่ ก็ไม่เสียหายอะไรครับ
ปล. เน้นขนาดนี้ อย่ามีคนเข้าใจผิดนะว่านี่คือสิ่งที่ควรทำ
----------------------
Part 2 การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด
------------------------------------
เอาล่ะครับ มาเข้าเรื่องการปฐมพยาบาลกันเลยดีกว่า แต่สิ่งแรกที่ทุกคนต้องจำกันให้ขึ้นใจเลยก็คือ!
“การปฐมพยาบาล” เป็นแค่การประคับประคองผู้ป่วยก่อนส่งเข้าโรงพยาบาล เท่านั้นนะครับ มัน “ไม่ใช่การรักษา” ซึ่งสำหรับการปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด เป้าหมายก็คือการ “ชะลอการดูดซึมพิษ” เพื่อซื้อเวลาให้ผู้ป่วยสามารถไปโรงพยาบาลได้ทันท่วงทีครับ
และสิ่งที่ต้องบอกอีกอย่างก่อนก็คือ นี่เป็นแค่วิธีคร่าวๆเท่านั้นนะครับ การปฐมพยาบาลเป็นอะไรที่ต้องฝึก และการถูกงูกัดยังป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้อีก ตามสถานการณ์
1. ตั้งสติ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร
สำคัญมากครับ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่พึงระลึกไว้เสมอครับ เมื่อเราแตกตื่น อะไรๆก็จะไม่เป็นไปตามที่เราคิด ตั้งสมาธิให้ดี นึกให้ดีว่าเราร็อะไรบ้าง อะไรควรทำ อะไรเราทำเป็น อะไรทำให้เสี่ยง และรีบลงมือครับ การปฐมพยาบาลงูพิษกัด คือการแข่งกับเวลา
2. จำแนกงู (ถ้าทำได้จะดีกว่า มาก)
แน่นอน มีผลต่อทั้งการรักษาและการปฐมพยาบาลครับ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำนะครับ แพทย์พอวินิจฉัยจากอาการและการกระจายตัวของงูบริเวณนั้นได้ครับ
3. ดูอาการ ไม่ใช่รอยเขี้ยว (ในกรณีที่จำแนกงูไม่ได้)
การจะรู้ได้ว่าเป็นงูพิษหรือไม่นั้น แค่รอยกัด ไม่สามารถบอกได้เสมอ ว่าเป็นงูพิษหรือไม่ งูที่กัดเราล้วนพุ่งเข้าหาเราในลีลาต่างๆทั้งอ้าปากกัดเฉี่ยวกระชากลากถู จนรอยกัดอาจจะเป็นแค่ขีดยาวๆเละๆด้วยซ้ำครับ นอกจากนี้งูพิษยังมี “ฟัน” ที่กรามล่างอยู่เช่นกันนะครับ เพราะฉะนั้นรอยกัดไม่ได้บอกเราเสมอไป
สิ่งที่สำคัญคือ “อาการ” หลังจากถูกกัดครับ อาการปวดของงูพิษกัดจะ “ไม่เหมือนกับของมีคมบาด” ครับ เวลาถูกของมีคมบาดมันจะปวดตุ้บๆ หนักๆ จากแรงกดแรงกระแทก
แต่ถ้าหากเป็นงูพิษกัด จะเป็นอาการ “ปวดร้อน” เหมือนถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก และทรมานกว่าอย่างชัดเจนครับ
(ยกเว้นในกรณีของงูตระกูลงูสามเหลี่ยม (Genus Bungarus) ที่อาจไม่มีอาการเหล่านี้)
4. หยุดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น และถอดเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่รัดแน่นออก
การเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนที่ถูกกัด จะทำให้การดูดซึมพิษไปได้รวดเร็วขึ้นและอันตรายขึ้น
และในกรณีที่ถูกงูพิษทำลายระบบเลือดกัด แผลอาจบวม(มาก) และถูกกดทับโดยเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น จนทำให้อวัยวะนั้น “ตาย” เพราะขาดเลือดได้ครับ (***ห้าม ขันชะเนาะ เด็ดขาด เพราะอวัยวะจะขาดเลือดตายเช่นกัน***)
5. ใช้ผ้ายืด หรือผ้าที่มีความยืดหยุ่นพอ พันให้กระชับทั้งอวัยวะ (**ข้ามขั้นตอนนี้ได้ ถ้าหากเป็นงูพิษทำลายระบบเลือด เช่น งูเขียวหางไหม้ งูกะปะ งูแมวเซา (Family Viperidae)**)
ผ้าที่ใช้ควรมีความกว้าง 10-15 เซนติเมตร (4นิ้ว) มีความยืดหยุ่น และยาวพอที่จะพันทั้งอวัยวะ (โดนกัดมือ ก็พันตั้งแต่มือขึ้นไปยันรักแร้เลยจะดีมากครับ) ทำการพันให้กระชับพอประมาณ ไม่แน่นหรือหลวมจนเกินไป (เอานิ้วสอดลงใต้ผ้าที่พันได้ และไม่รู้สึกตุ้บๆที่แขน) โดยเริ่มจากส่วนปลายก่อน เช่น จากมือไล่ขึ้นมาถึงรักแร้
ทั้งหมดนี้เพื่อชะลอการดูดซึมของพิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทครับ
ส่วนระบบเลือดนั้นดูดซึมช้ากว่า แต่ในขณะเดียวกันก็จะบวมกว่า ถ้าหากมีการมัดหรือกดทับจะเป็นอันตรายครับ ซึ่งถ้าหากเราไม่รู้ว่างูที่กัดมีพิษแบบไหนก็ พันไปก่อนครับ งูในประเทศไทยที่มีพิษแรงขนาดจะเสี่ยงต่อการตัดอวัยวะก็มีแค่งูกะปะครับ
(แต่ถ้าขันชะเนาะ งูไม่มีพิษกัดก็อาจจะต้องตัดอวัยวะนะครับ เพราะฉะนั้น !!ห้ามขันชะเนาะ!! เด็ดขาด)
6. ดามอวัยวะที่ถูกกัดด้วยของแข็ง
ไม้ ท่อแป๊ป ของแข็งๆยาวๆที่พอจะดามให้ข้อต่อบริเวณที่ถูกกัดให้ไม่งอไปมาได้สามารถใช้ได้หมดนะครับ ทั้งนี้เราดามเพื่อลดการเคลื่อนไหวที่เป็นไปได้ และพยายามประคองให้อวัยวะขนานไปกับพื้น อย่าให้ห้อยต่องแต่งหรือยกขึ้นสูงครับ
7. พาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
การปฐมพยาบาลแค่ชะลอ แต่ไม่สามารถทำลายพิษงูได้ เพราะฉะนั้นเมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้วให้รีบหาทางไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะไปเอง หรือโทรขอความช่วยเหลือก็ตาม
----------------------------------------
แน่นอนว่าหลายๆคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจคิดว่า จะไปทำได้ทำเป็นมั้ยวะ? ผมก็ตอบเลยครับว่ามันยาก และเป็นการประคับประคองเท่านั้น แต่สรุปคร่าวๆ ก็คือ
1.อย่าทำอะไรที่ไม่ควรทำ (อ่าน Part 1)
2.ลดการเคลื่อนไหวให้ได้มากที่สุด
3.พาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
----------------------------------
คงมีหลายๆคนถามว่าแล้วถ้าถูกกัดคนเดียวทำยังไง? ถูกกัดกลางป่าทำยังไง? ผมตอบตามตรงครับ ขึ้นอยู่กับพิษงูและเวลา ถ้ามันกลางป่าจริงๆ ไม่มีสัญญาณ ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ ใช้เวลาเดินทางนาน ความเป็นจริงตรงหน้าก็คือทางตันครับ การปฐมพยาบาลได้เพียงแค่ “ชะลอ” แต่ไม่สามารถหยุดพิษงูได้ครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลี่ยงที่จะถูกกัดแต่แรกดีกว่า สวมรองเท้าที่มิดชิดเมื่อเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ไม่เข้าไปตีงูเมื่อเจอ แค่นั้นก็ลดความน่าจะเป็นได้เยอะครับ
ที่มา: https://www.facebook.com/pages/Snake-Farm-QSMI/1423989014485516?ref=ts&fref=ts
----------------------------------
เห็นแล้วเหนื่อยใจมากครับ ทั้งในละคร หรือในลิ้งค์ที่แชร์กันต่อๆมา เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัดนั้นมีหลายแบบมากที่เป็นวิธีประหลาดๆ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีคนเชื่อ และนำไปทำตาม มันมีผลต่อความเป็นความตายของผู้ที่ถูกกัดเลยนะครับ
โพสนี้ จะขอพูดถึงสิ่งที่ "ผิด" เพื่อปรับความเข้าใจกันก่อนนะครับ
******สิ่งต่อไปนี้ "ห้ามทำ" อย่างยิ่งนะครับ****
1.ดูดพิษงูออกจากแผล
ในละครเจอเยอะมาก แต่ชีวิตจริงไม่ควรทำอย่างยิ่ง จริงอยู่ที่พิษงูเป็นก้อนโปรตีนประกอบกัน และสามารถย่อยได้ แต่ถ้าหากมีเพียงแผลเล็กๆ ฟันผุ ร้อนใน กัดปาก หรือแผลในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร พิษก็เข้าสู่ร่างกายได้แล้วครับ
นอกจากนี้ ในปากของเราเต็มไปด้วยเชื้อโรคต่างๆนาๆ ที่ถ้าหากเข้าแผลของผู้ถูกกัดไป อาจจะทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม หรือแผลติดเชื้อได้เลยครับ
2.กรีดแผลเป็นตัว X
O_o แค่งูกัดก็เจ็บพอแล้วครับ อย่าไปทำให้เค้าทรมานกว่าเดิมเลย วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้พิษไหลออกจากแผล และเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากใบมีดที่ไม่สะอาด เพิ่มความลำบากในการรักษาเปล่าๆครับ
3. การขันชะเนาะ (รัดเหนือแผลให้เลือดไม่ไหล)
วิธียอดฮิตเมื่อโดนงูกัดครับ อาจเคยเป็นวิธีที่ยอมรับกันมาก่อน แต่หลังจากนี้ไป อย่าใช้นะครับ
การขันชะเนาะ หรือเอาสายรัดแน่นๆเหนือแผล มักเกิดความผิดพลาด และทำให้เลือดไม่มาเลี้ยงอวัยวะที่ถูกกัด เสี่ยงต่อการเกิดเนื้อตายจนต้องตัดอวัยวะทิ้ง(เสี่ยงมากกว่าโดนพิษงูอีกด้วยซ้ำครับ)
edit : เพิ่มค่ะ ผู้ที่ถูกงูกัด ถึงแม้ว่าจะขันชะเนาะเอาไว้ก็ไม่สามารถรั้งพิษงูไม่ให้แพร่กระจายได้ค่ะ แต่จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเนื้อตายทำให้จำเป็นต้องตัดอวัยวะนั้นทิ้งค่ะ นอกจากนี้ การขันแล้วปล่อยสลับไปมา ไม่ทำให้พิษหยุดการแพร่กระจายค่ะ
การขันชะเนาะนั้น ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆที่สนับสนุนหรือยืนยันว่าการขันชะเนาะนั้นช่วยลดการแพร่กระจายของพิษได้ค่ะ
4. มะนาว
ครับ มะนาวที่กำลังแชร์ๆกันอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยยยยย เมื่อโดนงูกัดครับ พิษงูไม่ได้แล่นเข้าไปโจมตีกระเพาะอาหาร เพราะงั้นก็ไม่รู้จะกินเข้าไปห้ามพิษยังไง
แล้วการที่อาเจียนปนเลือดออกมา ผมว่าไม่ใช่ว่าพิษหมดฤทธิ์หรอกครับ แต่ผู้ป่วยใกล้จะวิกฤติแล้วมากกว่า ถ้ายังมัวแต่ป้อนมะนาวเกรงว่าจะไม่ทันรักษาเอานะครับ พาไปโรงพยาบาลเถอะ
5. เอาไฟฟ้าช๊อต
ผมก็เพิ่งเคยได้ยินตอนที่ไปรีเสิชหาข้อมูลก่อนเขียนนี่ละครับ เผื่อมีใครจำวิธีนี้ไป เลิกใช้นะครับ มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพิษงูเลย และเกรงว่าจะไปเร่งให้คนไข้เสียชีวิตเร็วขึ้นด้วยครับ = =''
6. ขยับอวัยวะที่ถูกกัด และ "แตกตื่น"
คุมสติตัวเองไว้ให้ดีครับ และพยายามอย่าให้อวัยวะที่ถูกกัดมีการใช้งาน เคลื่อนไหว ให้ขยับเฉพาะจำเป็นเท่านั้น เพราะว่าเมื่อขยับอวัยวะ เลือดก็จะมาเลี้ยงส่วนนั้นมากขึ้นครับ อาจเร่งให้พิษที่อยู่ในกระแสเลือด สูบฉีดไปยังอวัยวะสำคัญได้เร็วขึ้นไม่มากก็น้อย
7. เข้าไปตีหรือจับงู เพื่อพางูไปหาหมอด้วย
เข้าใจครับ ว่าการที่ถูกกัดก็ควรจะรู้ว่างูอะไร แต่จำลักษณะสำคัญไปก็พอ ไม่ถึงกับต้องพยายามพามันไปด้วย
อย่างที่พูดมาตลอดครับ การ "ฆ่า" งู ไม่ใช่การป้องกันตัวที่ดีเลย มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้คนที่เข้าไปตีถูกกัดมากขึ้น ดีไม่ดีแทนที่จะมีคนพาไปหาหมอ กลายเป็นโดนกัดทั้งสองคนจะแย่เอา
edit : เพิ่มเติมสำหรับการตีงูเพื่อนำไปให้หมอนะคะ การที่จะเข้าไปตีงูนั้นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของผู้ที่เข้าไปตีว่าอาจจะโดนงูกัดได้ค่ะ และถึงแม้ว่างูจะตายแล้ว ก็ยังสามารถมีreflexตอบสนองอัตโนมัติในการแว้งเข้ามากัดเมื่อถูกจับได้ค่ะ
edit : ชี้แจงเรื่องที่ว่า แล้วหมอจะเอาข้อมูลจากไหนมาตรวจนะครับ
คำตอบคือ อาการ(สำคัญที่สุด) และ การกระจายตัวของงูในพื้นที่ที่ถูกกัดครับ แค่คำบอกรูปร่างหรือบอกชื่องู หมอก็ไม่ตัดสินใจฉีดเซรุ่มเพราะแค่นั้นหรอกครับ
หรือแม้กระทั่งเคสที่พางูมาด้วยครับ ก็มีแม้กระทั่งคนที่ถูกกัดแล้วเข้าป่าตามงูไปตีมา ปรากฏว่าตีงูมาได้ครับ แต่ผิดตัว (โดนงูพิษอ่อนกัด บวม แต่ตามเข้าไปตีงูไม่มีพิษมา) ข้อมูลที่ได้มาจากผู้ถูกกัด เป็นแค่ตัวช่วยในการตัดสินใจของหมอครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดทุกอย่าง
ระงับความแค้นตัวเองไว้ให้ดีๆ อย่าไปตีมันเพราะมันกัดคนนี้คนนั้นก่อน ณ ตอนนั้นคุณต้องเลือกนะครับ ระหว่าง "การแก้แค้น" กับ "ชีวิตคนที่เรารัก"
***** อย่าลืมนะครับ "ห้ามทำ" สิ่งที่กล่าวมา******
------------------------------------------
Part ต่อไป จะเป็นการพูดถึง สิ่งที่"ควรทำ" เมื่อถูกงูพิษกัดนะครับ แต่อยากจะให้ทุกคนเข้าใจตรงกันก่อนว่าอะไรไม่ควร
ทุกๆความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการกระทำ มีผลต่อชีวิตคนที่ถูกกัดเสมอครับ เพราะฉะนั้นความเข้าใจผิดที่มีกัน อยากขอให้ปรับเปลี่ยนกันซะนะครับ
เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้ใช้ความรู้เหล่านี้ เพราะฉะนั้น รู้ไว้ ปรับความเข้าใจใหม่ ก็ไม่เสียหายอะไรครับ
ปล. เน้นขนาดนี้ อย่ามีคนเข้าใจผิดนะว่านี่คือสิ่งที่ควรทำ
----------------------
Part 2 การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด
------------------------------------
เอาล่ะครับ มาเข้าเรื่องการปฐมพยาบาลกันเลยดีกว่า แต่สิ่งแรกที่ทุกคนต้องจำกันให้ขึ้นใจเลยก็คือ!
“การปฐมพยาบาล” เป็นแค่การประคับประคองผู้ป่วยก่อนส่งเข้าโรงพยาบาล เท่านั้นนะครับ มัน “ไม่ใช่การรักษา” ซึ่งสำหรับการปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด เป้าหมายก็คือการ “ชะลอการดูดซึมพิษ” เพื่อซื้อเวลาให้ผู้ป่วยสามารถไปโรงพยาบาลได้ทันท่วงทีครับ
และสิ่งที่ต้องบอกอีกอย่างก่อนก็คือ นี่เป็นแค่วิธีคร่าวๆเท่านั้นนะครับ การปฐมพยาบาลเป็นอะไรที่ต้องฝึก และการถูกงูกัดยังป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้อีก ตามสถานการณ์
1. ตั้งสติ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร
สำคัญมากครับ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่พึงระลึกไว้เสมอครับ เมื่อเราแตกตื่น อะไรๆก็จะไม่เป็นไปตามที่เราคิด ตั้งสมาธิให้ดี นึกให้ดีว่าเราร็อะไรบ้าง อะไรควรทำ อะไรเราทำเป็น อะไรทำให้เสี่ยง และรีบลงมือครับ การปฐมพยาบาลงูพิษกัด คือการแข่งกับเวลา
2. จำแนกงู (ถ้าทำได้จะดีกว่า มาก)
แน่นอน มีผลต่อทั้งการรักษาและการปฐมพยาบาลครับ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำนะครับ แพทย์พอวินิจฉัยจากอาการและการกระจายตัวของงูบริเวณนั้นได้ครับ
3. ดูอาการ ไม่ใช่รอยเขี้ยว (ในกรณีที่จำแนกงูไม่ได้)
การจะรู้ได้ว่าเป็นงูพิษหรือไม่นั้น แค่รอยกัด ไม่สามารถบอกได้เสมอ ว่าเป็นงูพิษหรือไม่ งูที่กัดเราล้วนพุ่งเข้าหาเราในลีลาต่างๆทั้งอ้าปากกัดเฉี่ยวกระชากลากถู จนรอยกัดอาจจะเป็นแค่ขีดยาวๆเละๆด้วยซ้ำครับ นอกจากนี้งูพิษยังมี “ฟัน” ที่กรามล่างอยู่เช่นกันนะครับ เพราะฉะนั้นรอยกัดไม่ได้บอกเราเสมอไป
สิ่งที่สำคัญคือ “อาการ” หลังจากถูกกัดครับ อาการปวดของงูพิษกัดจะ “ไม่เหมือนกับของมีคมบาด” ครับ เวลาถูกของมีคมบาดมันจะปวดตุ้บๆ หนักๆ จากแรงกดแรงกระแทก
แต่ถ้าหากเป็นงูพิษกัด จะเป็นอาการ “ปวดร้อน” เหมือนถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก และทรมานกว่าอย่างชัดเจนครับ
(ยกเว้นในกรณีของงูตระกูลงูสามเหลี่ยม (Genus Bungarus) ที่อาจไม่มีอาการเหล่านี้)
4. หยุดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น และถอดเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่รัดแน่นออก
การเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนที่ถูกกัด จะทำให้การดูดซึมพิษไปได้รวดเร็วขึ้นและอันตรายขึ้น
และในกรณีที่ถูกงูพิษทำลายระบบเลือดกัด แผลอาจบวม(มาก) และถูกกดทับโดยเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น จนทำให้อวัยวะนั้น “ตาย” เพราะขาดเลือดได้ครับ (***ห้าม ขันชะเนาะ เด็ดขาด เพราะอวัยวะจะขาดเลือดตายเช่นกัน***)
5. ใช้ผ้ายืด หรือผ้าที่มีความยืดหยุ่นพอ พันให้กระชับทั้งอวัยวะ (**ข้ามขั้นตอนนี้ได้ ถ้าหากเป็นงูพิษทำลายระบบเลือด เช่น งูเขียวหางไหม้ งูกะปะ งูแมวเซา (Family Viperidae)**)
ผ้าที่ใช้ควรมีความกว้าง 10-15 เซนติเมตร (4นิ้ว) มีความยืดหยุ่น และยาวพอที่จะพันทั้งอวัยวะ (โดนกัดมือ ก็พันตั้งแต่มือขึ้นไปยันรักแร้เลยจะดีมากครับ) ทำการพันให้กระชับพอประมาณ ไม่แน่นหรือหลวมจนเกินไป (เอานิ้วสอดลงใต้ผ้าที่พันได้ และไม่รู้สึกตุ้บๆที่แขน) โดยเริ่มจากส่วนปลายก่อน เช่น จากมือไล่ขึ้นมาถึงรักแร้
ทั้งหมดนี้เพื่อชะลอการดูดซึมของพิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทครับ
ส่วนระบบเลือดนั้นดูดซึมช้ากว่า แต่ในขณะเดียวกันก็จะบวมกว่า ถ้าหากมีการมัดหรือกดทับจะเป็นอันตรายครับ ซึ่งถ้าหากเราไม่รู้ว่างูที่กัดมีพิษแบบไหนก็ พันไปก่อนครับ งูในประเทศไทยที่มีพิษแรงขนาดจะเสี่ยงต่อการตัดอวัยวะก็มีแค่งูกะปะครับ
(แต่ถ้าขันชะเนาะ งูไม่มีพิษกัดก็อาจจะต้องตัดอวัยวะนะครับ เพราะฉะนั้น !!ห้ามขันชะเนาะ!! เด็ดขาด)
6. ดามอวัยวะที่ถูกกัดด้วยของแข็ง
ไม้ ท่อแป๊ป ของแข็งๆยาวๆที่พอจะดามให้ข้อต่อบริเวณที่ถูกกัดให้ไม่งอไปมาได้สามารถใช้ได้หมดนะครับ ทั้งนี้เราดามเพื่อลดการเคลื่อนไหวที่เป็นไปได้ และพยายามประคองให้อวัยวะขนานไปกับพื้น อย่าให้ห้อยต่องแต่งหรือยกขึ้นสูงครับ
7. พาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
การปฐมพยาบาลแค่ชะลอ แต่ไม่สามารถทำลายพิษงูได้ เพราะฉะนั้นเมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้วให้รีบหาทางไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะไปเอง หรือโทรขอความช่วยเหลือก็ตาม
----------------------------------------
แน่นอนว่าหลายๆคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจคิดว่า จะไปทำได้ทำเป็นมั้ยวะ? ผมก็ตอบเลยครับว่ามันยาก และเป็นการประคับประคองเท่านั้น แต่สรุปคร่าวๆ ก็คือ
1.อย่าทำอะไรที่ไม่ควรทำ (อ่าน Part 1)
2.ลดการเคลื่อนไหวให้ได้มากที่สุด
3.พาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
----------------------------------
คงมีหลายๆคนถามว่าแล้วถ้าถูกกัดคนเดียวทำยังไง? ถูกกัดกลางป่าทำยังไง? ผมตอบตามตรงครับ ขึ้นอยู่กับพิษงูและเวลา ถ้ามันกลางป่าจริงๆ ไม่มีสัญญาณ ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ ใช้เวลาเดินทางนาน ความเป็นจริงตรงหน้าก็คือทางตันครับ การปฐมพยาบาลได้เพียงแค่ “ชะลอ” แต่ไม่สามารถหยุดพิษงูได้ครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลี่ยงที่จะถูกกัดแต่แรกดีกว่า สวมรองเท้าที่มิดชิดเมื่อเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ไม่เข้าไปตีงูเมื่อเจอ แค่นั้นก็ลดความน่าจะเป็นได้เยอะครับ
ที่มา: https://www.facebook.com/pages/Snake-Farm-QSMI/1423989014485516?ref=ts&fref=ts
สุดยอดความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ขอความรู้เกี่ยวกับ การปฐมพยาบาลเวลาโดนงูกัด
แล้ววิธีที่ถูกต้องคืออะไรหรอครับ