(พึงระลึกไว้เสมอตลอดการอ่านว่า..นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น บทความพูดถึงเรื่องราวในหนัง แต่ไม่เปิดเผยจุดสำคัญจ้า)
หลังดูหนังเรื่องนี้จบลงแล้วผู้เขียนรู้สึกเจ็บใจจี๊ดจริงๆ ประสาคนรักหนังแอ็คชั่น คือ ทั้งหลายทั้งปวงที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นหนังเรื่องนี้ ไม่เกินความสามารถของคนในวงการหนังเมืองไทยแน่นอน แต่ที่หนังแบบนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในบ้านเรา มันเป็นเรื่องของมุมมองล้วนๆ ที่ทั้งนายทุนผู้สร้าง ผู้กำกับ ตลอดจนบุคลากรที่เกี่ยวกับหนังแอ็คชั่นทั้งหลายแหล่ ยังคงติดหล่มอยู่กับความเชื่อ มุมมองเก่าๆ เกี่ยวกับการสร้างหนังแอ็คชั่น
นายทุนบ้านเราส่วนนึงปฏิเสธหนังแอ็คชั่น เพราะคิดที่ว่าการทำหนังแอ็คชั่นนั้นเสี่ยง ยุ่งยาก ขณะที่นายทุน และบุคลากรที่ยังคงสร้างหนังแอ็คชั่นออกมานั้น เป็นกลุ่มคนที่เติบโตขึ้นมาจากหนังแอ็คชั่นยุคเก่า ที่ยังยังคงวนเวียนอยู่กับตำราเล่มเก่าจากโลกใบเก่าเมื่อ 20-30 ปีก่อน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเอง จมปลักอยู่แต่กับตัวละครเฉิ่มๆ เรื่องราวโบราณๆ และงานแอ็คชั่นตกยุค...ไม่เชื่อ สังเกตสิ บ้านเรามีหนังที่มีเนื้อหาแบบแอ็คชั่นสมัยใหม่ ดิบ ดำมืด หรือตัวละครเท่ๆ แมนๆ อยู่ซักกี่เรื่อง...มีบ้างหรือเปล่า..ผู้เขียนนึกไม่ออก...ไม่มีนะ!
ล่าสุดหลายเดือนก่อน คุณพี่ จา พนม ผุดโปรเจ็กต์ใหม่ "ไอ้หมัดม้าย่อง" เห็นข่าวแล้วผู้เขียนอยากจะฮาให้น้ำตากระเด็นไปถึงดาวอันโดเมด้า คือ ไม่เห็นจะน่าดู ลงทุนมากหรือเปล่าไม่รู้ แต่ร้อยล้านนั้นอย่าฝัน ม้าย่องของพี่จาคงต้องย่องไปเก็บสตังส์จากสายหนังต่างจังหวัด แล้วก็ค่อยย่องไปถอนทุนคืนจากการฉายโชว์ก่อนลงแผ่นต่อที่ต่างประเทศแล้วหล่ะ ไอ้ครั้นจะเป็นม้าผงาด สง่าผ่าเผย จนเป็นที่ภาคภูมิใจของแผ่นดินสยามนั้น จบแล้วนะ กับกระแสเล่นจริงเจ็บจริงที่เคยสร้างขึ้นมาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน...อย่ามัวแต่หลงวนอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ จนไม่ยอมไปไหน
บางทีผู้เขียนก็นึกสงสัยว่าทำไมพี่จาและทีมงาน ถึงไม่คิดจะเป็นอะไรเท่ๆ อย่าง ตำรวจหน่วยสวาท สายลับนอกราชการ เจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ พนักงานออฟฟิศจอมบู๊ หรืออะไรอื่นดูบ้าง อะไรอื่นที่ดูแล้ว “เมือง” ดูแล้ว “สมัยใหม่” มากกว่าจะเป็นแค่เด็กตามเศียรพระ เด็กตามหาช้าง ไอ้หมัดม้าหมัดแมว อย่างที่เห็น
โลกของหนังแอ็คชั่นมันมีเรื่องให้พูดถึงมากกว่านี้อีกเยอะนัก The Bourne Identity, Taken, B13 หรือหนังแอ็คชั่นฮ่องกงดีๆ ฟอร์มกลางๆ ใช้งบไม่เยอะอย่าง Breaking News, The Stool Pigeon, Beast Stalker ไม่รู้พี่จาหรือนายทุนบ้านเราเคยดูหรือปล่าว ไม่ต้องเอาให้เท่าเค้า แต่ดูแล้วควรหัดเอามาประยุกต์ใช้ เปิดมุมมองใหม่ๆ ซะบ้าง ล่าสุดข่าวว่าพี่แกไปเล่น Fast ภาคใหม่ ผู้เขียนจะรอดูว่าแกเล่นเป็นอะไร พูดกี่โประโยค และก็มีข่าวลืออีกว่าแกจะได้เล่น The Raid ภาค 3 ผู้เขียนก็จะรอดูอีกว่าจริงไม่จริง (มีลงใน IMDB แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลง)
เขียนนี่ไม่ได้จะด่าเอามันส์ แต่เขียนด้วยความรัก ห่วงใย อยากให้แก้ไขจริงๆ เพราะเจ็บใจที่ดูหนังอินโดเรื่อง The Raid 1 & 2 แล้ว รู้สึกว่าด้วยศักยภาพบ้านเราเหนือกว่าอินโดมากมายนัก แต่ที่มันไปไหนไม่ได้ไกล เพราะความดักดานที่แก้ไม่หาย ของทั้งนายทุน และบุคลากร อย่างที่ได้ว่ามานี่แหละ ต้มยำกุ้ง 3D ใช้ไป 16 ล้านเหรียญยูเอส. เจ๊งสนั่น กระแสเมืองนอกนิ่งสนิท The Raid ใช้เงินแค่ 1 ล้านเหรียญ หนังขายได้ทุกประเทศ แถมฮอลลีวู้ดซื้อไปรีเมค ดูหนังเขาแล้วหัดย้อนมามาดูหนังเรา…โอเค เข้าใจตรงกันนะ...พี่จา & นายทุน!!
เอาหล่ะ เข้าเรื่องกันได้เสียที บางคนบอกอีตาข้าวโพดคั่ว กาเร็ธ อีแวนส์ เป็นผู้กำกับที่เก่งชะมัดยาด หนังอย่าง The Raid ภาคแรกถึงได้ออกมาดี กลายเป็นหลักไมล์ของหนังแอ็คชั่นยุคนี้ไปแล้ว แต่ผู้เขียนเห็นต่างออกไปนะ ผู้เขียนยังกังขาในความสามารถของผู้กำกับคนนี้อยู่
บทหนัง The Raid ภาคแรกถึงตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนจนเชื่อได้ไปแล้วว่า พี่แกขโมยมาจากบทหนังเรื่อง Dredd ของ อเล็ก การ์แลนด์ (ผู้เขียนบท 28 Days Later, Sunshine และ Never Let Me Go) แทบทั้งดุ้นแบบหน้าด้านๆ ด้วยการปรับโฉมใหม่จากหนังแอ็คชั่นไซไฟโลกอนาคต มาเป็น แอ็คชั่นอาชญากรรมยุคปัจจุบัน ลดสเกลงาน ลดต้นทุน ให้กลายเป็นหนังเล็กๆ โดยที่ยังมีโครงเรื่องที่เหมือนกันเป๊ะๆ
คือเป็นหนังแอ็คชั่นในสถานที่ปิด ตำรวจต้องบุกขึ้นไปจับกลุ่มผู้ร้ายในตึก โดยที่ตึกแห่งนี้เป็นฐานผลิตยาเสพติด และมีหัวโจกใหญ่คอยควบคุมสั่งการแก๊งโจรอยู่บนชั้นสูงสุด (ใน Dredd เป็นยาเสพติดโลกอนาคตที่ชื่อว่า "สโล-โม") ตอนหนังออกมาใหม่ๆ เรื่องนี้ถูกถกเถียงกันอยู่พักนึง แต่หลังๆ แม้แต่พี่ข้าวโพดคั่วเองยังพูดติดตลกเชิงยอมรับนิดๆ ว่า ตอนที่ได้รับอีเมล์ติดต่อมาจากฮอลลีวู้ด(เพื่อขอซื้อรีเมค) แกตกใจแทบตายนึกว่าตัวเองถูกทีมงานหนังเรื่อง Dredd ส่งหมายมาฟ้องร้อง
ผู้เขียนไปเช็ครายละเอียดดูแล้ว ใช่จริงๆ อเล็ก การ์แลนด์ เขียนบทเสร็จตั้งแต่ปี 2009 หนังหาทุน และเตรียมงานสร้างช่วงกลางปี 2010 แต่ The Raid เพิ่งจะมาสร้างตอนมีนาคม 2011 แต่หนังฟอร์มเล็กถ่ายเร็วปิดกล้องเร็ว เลยได้ออกฉายก่อน
ขณะที่ความโหด ดิบสะใจของฉากแอ็คชั่นที่ถือเป็นจุดเด่นของ The Raid ภาคแรกนั้น ผู่เขียนก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่ามันจะมาจากไอเดียของ กาเร็ธ อีแวนส์ เอง เพราะทีมงานแทบทั้งหมดเป็นคนอินโด พื้นฐานของประเทศอินโดนั้นมันก็มีความโหดร้ายฝังรากลึกมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีต การฆ่าล้างแค้นกันระหว่างหมู่บ้าน ชนเผ่า พิธีกรรม การใช้ซาปาร์ต้าปาดคอตัดหัว ตัดแขนตัดขา ควักลูกตา อะไรทำนองนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัวชาวอินโดระดับล่างเท่าไหร่ หรือแม้แต่ในวงการเพลง เพลงที่พูดถึงการฉุดฆ่าคร่าข่มขืนโหดๆ สไตล์บรูทั่ลเดธ อินโดก็เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆในเอเชีย เพราะฉะนั้นนับประสาอะไรกับวงการหนัง ที่พอต้องทำอะไรที่มันดุๆ ถึงเลือดถึงเนื้อ ผู้เขียนว่าคนอินโดถนัดในเรื่องของศิลปะที่เกี่ยวข้องกับความโหดร้าย (นี่เป็นคำชม)
ไม่ได้จะบอกว่า The Raid ภาคแรกไม่ดี มันดีมากอย่างที่หลายคนรู้สึกนั่นแหละกับทุนสร้างแค่นั้น แต่แค่ยังกังขาในความสามารถ และไม่อยากด่วนสรุปว่า กาเร็ธ อีแวนส์ เป็นผู้กำกับที่เจ๋งและเก่งมาก จากหนังเพียงแค่เรื่องเดียว เพราะถ้าย้อนไปดูผลงานก่อนหน้าสมัยพี่ข้าวโพดคั่วยังทำหนังอยู่ที่เวลซ์ ผลงานของแกก็เป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ห่วยๆ ไม่ได้เด็ดดวงอะไร เพิ่งมาน่าสนใจก็ตอนที่มาปักหลักทำหนังที่อินโดนี่แหละ กับหนังอย่าง Merantau (2009) ที่ได้คิวบู๊ดีๆ เด็ดๆ จากทีมงานของชาวอินโด แต่บทและตัวหนังที่ออกมาก็เหมือนก็อปปี้ องค์บาก, ต้มยำกุ้ง ของไทยเรามาเน้นๆ
เขาอาจจะเป็นแค่คนทำหนังที่ไปอยู่ถูกที่ ถูกจังหวะ มีวัตถุดิบและทีมงานดีๆ อยู่ในมือก็ได้ ซึ่งพี่ข้าวโพดคั่วยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ และคนดูอย่างเราๆ ก็ต้องติดตามงานของแกต่อไป
สำหรับในหนังภาค 2 นี้ กาเร็ธ อีแวนส์ ยังเลือกเดินในเส้นทางคล้ายๆ เดิม นั่นก็คือไปหยิบเอาโครงเรื่องในหนังของคนอื่นมาใช้ แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็สามารถทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้น เพราะแกไม่ได้โคลนนิ่งมาดื้อๆ มักง่ายเหมือนตอนทำภาคแรก แต่นำมาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นหนังในแบบฉบับของตัวเอง กับเรื่องราวที่ดูแล้วเหมือนกับฉกไอเดียมาจากหนังฮ่องกงระดับคลาสอย่าง Infernal Affairs
(ทีมงานของแกยังอุส่าห์ดีไซน์เลียนแบบทั้งสีสันและฟีลลิ่งท่านั่งของตัวละครมาจากโปสเตอร์ Infernal Affairs เพื่อบอกความนัย ฮา)
เหตุการณ์ใน The Raid 2 เดินเรื่องต่อจากภาคที่แล้ว เมื่อทางฝ่ายตำรวจเล็งเห็นในความสามารถของ ราม (ที่สามารถเอาตัวรอดมาจากตึกนรกในภาคหนึ่ง) บวกกับความต้องการที่จะกำจัดแก๊งมาเฟียใต้ดินในกรุงจาการ์ตาให้หมดไปแบบขุดรากถอนโคน ทางตำรวจจึงเกิดไอเดียที่จะส่ง ราม แทรกซึมเข้าไปเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของแก๊ง เพื่อล้วงลูกข้อมูล ปฏิบัติการบางอย่าง และอาจจะรวมถึงควานหาตัวหนอนบ่อนไส้ที่แก๊งมาเฟียเหล่านี้ได้แอบส่งมาแฝงตัวอยู่ในฝ่ายตำรวจ
กรุงจาการ์ตาปัจจุบันตกอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของมาเฟียสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ โกโตะ ครอบครัวมาเฟียจากญี่ปุ่น และแก๊งเจ้าถิ่นอย่าง บังกัน รามต้องล้างประวัติตัวเองเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ยูดา แล้วเข้าไปตีสนิทกับ อูโค่ ลูกชายของบังกันที่ถูกขังอยู่ในคุก ใช้เวลาในนั้นนานนับปี เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ กระทั่งกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของอูโค่
เรื่องราวยอกย้อนไปอีกนิด เมื่อ อูโค่ ออกจากคุกแล้วเริ่มมักใหญ่ใฝ่สูง แอบสบคบคิดกับมาเฟียบางคน ตั้งกลุ่มใหม่เงียบๆ วางแผนยึดอำนาจจาก บังกัน พ่อของตัวเอง โดยที่เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของ โกโตะ แก๊งมาเฟียญี่ปุ่น ซึ่งกำลังรอฉกฉวยผลประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน เช่นเดียวกับ ราม ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเหล่านี้ ต้องหาทางทำภารกิจตามคำสั่งให้สำเร็จ พร้อมๆ กับปกปิดสถานะของตัวเองไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
เรียกว่าจากภาคแรกที่มีเรื่องราวที่เรียบง่าย มาภาคนี้เหมือนพี่กาเร็ธ ข้าวโพดคั่วแกพยายามที่จะคั่วหนังตัวเองให้ซับซ้อนมากขึ้นด้วยการใส่ตัวละครมามากมาย เส้นเรื่องแตกแขนงแยกย่อยออกไปหลายทาง เมื่อนำมาบวกเข้ากับฉากแอ็คชั่นยังมีอยู่แน่นตลอดทั้งเรื่อง ไม่แปลกที่หนังภาคนี้จะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง
ส่วนงานแอ็คชั่นซึ่งเป็นจุดขายของหนังภาคนี้หันไปนำเสนอการต่อสู้แบบเหี้ยมเกรียมที่ให้อารมณ์เหมือนหนัง Gore Splatter มากขึ้น ตลอดทั้งเรื่องจึงอุดมไปด้วยฉากโหดเลือดสาด อาทิ การเอาของแหลมกระซวกรัวๆไม่ยั้งตามร่างกาย, การเอามือฉีกกรามคู่ต่อสู้, เอาหน้าคู่ต่อสู้ฉาบของร้อน, เอาค้อนทุบกะบาลเฉาะกระเดือก, เอาไม้เบสบอลหวดอัดเข้าไปกลางปาก หรือแม้แต่การใช้ปืนลูกซองยิงหน้าระยะประชิดจนหัวแตกโพละเหมือนลูกแตงโม
ซึ่งฉากแอ็คชั่นทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีแต่ความโหดเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกนำเสนอออกมาอย่างโดดเด่นผ่านการเคลื่อนกล้องแบบแฮนด์เฮลด์ หลายต่อหลายฉากเป็นการถ่ายทำแบบลองเทคเคลื่อนกล้องย้ายมุมไปมาอย่างน่าระทึกใจ หลอกล่อให้เราเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ กับความรุนแรงที่ปรากฏตรงหน้าจนหลงลืมเรื่องบางอย่างไปเสียสนิท และเมื่อฉากจบเดินทางมาถึง ความจริงที่เปิดเผยคลี่คลายออกมามันก็สามารถเซอร์ไพรส์จนเราอาจจะต้องอุทานออกมาดังๆว่า..เฮ้ย!
และเพราะไอเดียหักมุมในฉากจบนี่เองที่ทำให้เรื่องราวแรกเริ่มที่เหมือนจะดัดแปลงมาจากหนังฮ่องกงเรื่องดัง พัฒนาความซับซ้อน ทรงพลังขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันเหมาะสมดีกับเรื่องราวที่ว่าด้วยการโกงกิน ฉ้อฉล ผลประโยชน์ ที่เป็นเหมือนมะเร็งร้ายแทรกซึมกัดกินประเทศอินโดนีเซียมาอย่างยาวนาน จนทำให้ประเทศอินโดติดอันดับประเทศที่มีการคอรัปชั่นระดับร้ายแรงที่สุดในอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีประเทศไหนซิวตำแหน่งแชมป์ไปแล้วรึปล่าว
แต่ที่รู้ก็คือผู้เขียน เริ่มชอบในตัวพี่ข้าวโพดคั่วมากขึ้นอีกนิด รู้สึกอิจฉา และหมั่นไส้หนังอินโดนีเซียเรื่องนี้โคตรๆ เพราะของเขาดีจริง…แล้วของเราหล่ะ พร้อมจะไฝว้กับเขารึยัง?
คะแนน ★★★★
PS. รีวิวหนังใหม่-เก่า พูดคุยเรื่องหนัง เชิญแวะไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ที่
http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
(แอบดูมาแล้ว) THE RAID ภาค 2 : แรง โหด หักมุม...รึหนังไทยจะไฝว้!!!!!
(พึงระลึกไว้เสมอตลอดการอ่านว่า..นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น บทความพูดถึงเรื่องราวในหนัง แต่ไม่เปิดเผยจุดสำคัญจ้า)
หลังดูหนังเรื่องนี้จบลงแล้วผู้เขียนรู้สึกเจ็บใจจี๊ดจริงๆ ประสาคนรักหนังแอ็คชั่น คือ ทั้งหลายทั้งปวงที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นหนังเรื่องนี้ ไม่เกินความสามารถของคนในวงการหนังเมืองไทยแน่นอน แต่ที่หนังแบบนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในบ้านเรา มันเป็นเรื่องของมุมมองล้วนๆ ที่ทั้งนายทุนผู้สร้าง ผู้กำกับ ตลอดจนบุคลากรที่เกี่ยวกับหนังแอ็คชั่นทั้งหลายแหล่ ยังคงติดหล่มอยู่กับความเชื่อ มุมมองเก่าๆ เกี่ยวกับการสร้างหนังแอ็คชั่น
นายทุนบ้านเราส่วนนึงปฏิเสธหนังแอ็คชั่น เพราะคิดที่ว่าการทำหนังแอ็คชั่นนั้นเสี่ยง ยุ่งยาก ขณะที่นายทุน และบุคลากรที่ยังคงสร้างหนังแอ็คชั่นออกมานั้น เป็นกลุ่มคนที่เติบโตขึ้นมาจากหนังแอ็คชั่นยุคเก่า ที่ยังยังคงวนเวียนอยู่กับตำราเล่มเก่าจากโลกใบเก่าเมื่อ 20-30 ปีก่อน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเอง จมปลักอยู่แต่กับตัวละครเฉิ่มๆ เรื่องราวโบราณๆ และงานแอ็คชั่นตกยุค...ไม่เชื่อ สังเกตสิ บ้านเรามีหนังที่มีเนื้อหาแบบแอ็คชั่นสมัยใหม่ ดิบ ดำมืด หรือตัวละครเท่ๆ แมนๆ อยู่ซักกี่เรื่อง...มีบ้างหรือเปล่า..ผู้เขียนนึกไม่ออก...ไม่มีนะ!
ล่าสุดหลายเดือนก่อน คุณพี่ จา พนม ผุดโปรเจ็กต์ใหม่ "ไอ้หมัดม้าย่อง" เห็นข่าวแล้วผู้เขียนอยากจะฮาให้น้ำตากระเด็นไปถึงดาวอันโดเมด้า คือ ไม่เห็นจะน่าดู ลงทุนมากหรือเปล่าไม่รู้ แต่ร้อยล้านนั้นอย่าฝัน ม้าย่องของพี่จาคงต้องย่องไปเก็บสตังส์จากสายหนังต่างจังหวัด แล้วก็ค่อยย่องไปถอนทุนคืนจากการฉายโชว์ก่อนลงแผ่นต่อที่ต่างประเทศแล้วหล่ะ ไอ้ครั้นจะเป็นม้าผงาด สง่าผ่าเผย จนเป็นที่ภาคภูมิใจของแผ่นดินสยามนั้น จบแล้วนะ กับกระแสเล่นจริงเจ็บจริงที่เคยสร้างขึ้นมาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน...อย่ามัวแต่หลงวนอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ จนไม่ยอมไปไหน
บางทีผู้เขียนก็นึกสงสัยว่าทำไมพี่จาและทีมงาน ถึงไม่คิดจะเป็นอะไรเท่ๆ อย่าง ตำรวจหน่วยสวาท สายลับนอกราชการ เจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ พนักงานออฟฟิศจอมบู๊ หรืออะไรอื่นดูบ้าง อะไรอื่นที่ดูแล้ว “เมือง” ดูแล้ว “สมัยใหม่” มากกว่าจะเป็นแค่เด็กตามเศียรพระ เด็กตามหาช้าง ไอ้หมัดม้าหมัดแมว อย่างที่เห็น
โลกของหนังแอ็คชั่นมันมีเรื่องให้พูดถึงมากกว่านี้อีกเยอะนัก The Bourne Identity, Taken, B13 หรือหนังแอ็คชั่นฮ่องกงดีๆ ฟอร์มกลางๆ ใช้งบไม่เยอะอย่าง Breaking News, The Stool Pigeon, Beast Stalker ไม่รู้พี่จาหรือนายทุนบ้านเราเคยดูหรือปล่าว ไม่ต้องเอาให้เท่าเค้า แต่ดูแล้วควรหัดเอามาประยุกต์ใช้ เปิดมุมมองใหม่ๆ ซะบ้าง ล่าสุดข่าวว่าพี่แกไปเล่น Fast ภาคใหม่ ผู้เขียนจะรอดูว่าแกเล่นเป็นอะไร พูดกี่โประโยค และก็มีข่าวลืออีกว่าแกจะได้เล่น The Raid ภาค 3 ผู้เขียนก็จะรอดูอีกว่าจริงไม่จริง (มีลงใน IMDB แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลง)
เขียนนี่ไม่ได้จะด่าเอามันส์ แต่เขียนด้วยความรัก ห่วงใย อยากให้แก้ไขจริงๆ เพราะเจ็บใจที่ดูหนังอินโดเรื่อง The Raid 1 & 2 แล้ว รู้สึกว่าด้วยศักยภาพบ้านเราเหนือกว่าอินโดมากมายนัก แต่ที่มันไปไหนไม่ได้ไกล เพราะความดักดานที่แก้ไม่หาย ของทั้งนายทุน และบุคลากร อย่างที่ได้ว่ามานี่แหละ ต้มยำกุ้ง 3D ใช้ไป 16 ล้านเหรียญยูเอส. เจ๊งสนั่น กระแสเมืองนอกนิ่งสนิท The Raid ใช้เงินแค่ 1 ล้านเหรียญ หนังขายได้ทุกประเทศ แถมฮอลลีวู้ดซื้อไปรีเมค ดูหนังเขาแล้วหัดย้อนมามาดูหนังเรา…โอเค เข้าใจตรงกันนะ...พี่จา & นายทุน!!
เอาหล่ะ เข้าเรื่องกันได้เสียที บางคนบอกอีตาข้าวโพดคั่ว กาเร็ธ อีแวนส์ เป็นผู้กำกับที่เก่งชะมัดยาด หนังอย่าง The Raid ภาคแรกถึงได้ออกมาดี กลายเป็นหลักไมล์ของหนังแอ็คชั่นยุคนี้ไปแล้ว แต่ผู้เขียนเห็นต่างออกไปนะ ผู้เขียนยังกังขาในความสามารถของผู้กำกับคนนี้อยู่
บทหนัง The Raid ภาคแรกถึงตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนจนเชื่อได้ไปแล้วว่า พี่แกขโมยมาจากบทหนังเรื่อง Dredd ของ อเล็ก การ์แลนด์ (ผู้เขียนบท 28 Days Later, Sunshine และ Never Let Me Go) แทบทั้งดุ้นแบบหน้าด้านๆ ด้วยการปรับโฉมใหม่จากหนังแอ็คชั่นไซไฟโลกอนาคต มาเป็น แอ็คชั่นอาชญากรรมยุคปัจจุบัน ลดสเกลงาน ลดต้นทุน ให้กลายเป็นหนังเล็กๆ โดยที่ยังมีโครงเรื่องที่เหมือนกันเป๊ะๆ
คือเป็นหนังแอ็คชั่นในสถานที่ปิด ตำรวจต้องบุกขึ้นไปจับกลุ่มผู้ร้ายในตึก โดยที่ตึกแห่งนี้เป็นฐานผลิตยาเสพติด และมีหัวโจกใหญ่คอยควบคุมสั่งการแก๊งโจรอยู่บนชั้นสูงสุด (ใน Dredd เป็นยาเสพติดโลกอนาคตที่ชื่อว่า "สโล-โม") ตอนหนังออกมาใหม่ๆ เรื่องนี้ถูกถกเถียงกันอยู่พักนึง แต่หลังๆ แม้แต่พี่ข้าวโพดคั่วเองยังพูดติดตลกเชิงยอมรับนิดๆ ว่า ตอนที่ได้รับอีเมล์ติดต่อมาจากฮอลลีวู้ด(เพื่อขอซื้อรีเมค) แกตกใจแทบตายนึกว่าตัวเองถูกทีมงานหนังเรื่อง Dredd ส่งหมายมาฟ้องร้อง
ผู้เขียนไปเช็ครายละเอียดดูแล้ว ใช่จริงๆ อเล็ก การ์แลนด์ เขียนบทเสร็จตั้งแต่ปี 2009 หนังหาทุน และเตรียมงานสร้างช่วงกลางปี 2010 แต่ The Raid เพิ่งจะมาสร้างตอนมีนาคม 2011 แต่หนังฟอร์มเล็กถ่ายเร็วปิดกล้องเร็ว เลยได้ออกฉายก่อน
ขณะที่ความโหด ดิบสะใจของฉากแอ็คชั่นที่ถือเป็นจุดเด่นของ The Raid ภาคแรกนั้น ผู่เขียนก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่ามันจะมาจากไอเดียของ กาเร็ธ อีแวนส์ เอง เพราะทีมงานแทบทั้งหมดเป็นคนอินโด พื้นฐานของประเทศอินโดนั้นมันก็มีความโหดร้ายฝังรากลึกมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีต การฆ่าล้างแค้นกันระหว่างหมู่บ้าน ชนเผ่า พิธีกรรม การใช้ซาปาร์ต้าปาดคอตัดหัว ตัดแขนตัดขา ควักลูกตา อะไรทำนองนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัวชาวอินโดระดับล่างเท่าไหร่ หรือแม้แต่ในวงการเพลง เพลงที่พูดถึงการฉุดฆ่าคร่าข่มขืนโหดๆ สไตล์บรูทั่ลเดธ อินโดก็เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆในเอเชีย เพราะฉะนั้นนับประสาอะไรกับวงการหนัง ที่พอต้องทำอะไรที่มันดุๆ ถึงเลือดถึงเนื้อ ผู้เขียนว่าคนอินโดถนัดในเรื่องของศิลปะที่เกี่ยวข้องกับความโหดร้าย (นี่เป็นคำชม)
ไม่ได้จะบอกว่า The Raid ภาคแรกไม่ดี มันดีมากอย่างที่หลายคนรู้สึกนั่นแหละกับทุนสร้างแค่นั้น แต่แค่ยังกังขาในความสามารถ และไม่อยากด่วนสรุปว่า กาเร็ธ อีแวนส์ เป็นผู้กำกับที่เจ๋งและเก่งมาก จากหนังเพียงแค่เรื่องเดียว เพราะถ้าย้อนไปดูผลงานก่อนหน้าสมัยพี่ข้าวโพดคั่วยังทำหนังอยู่ที่เวลซ์ ผลงานของแกก็เป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ห่วยๆ ไม่ได้เด็ดดวงอะไร เพิ่งมาน่าสนใจก็ตอนที่มาปักหลักทำหนังที่อินโดนี่แหละ กับหนังอย่าง Merantau (2009) ที่ได้คิวบู๊ดีๆ เด็ดๆ จากทีมงานของชาวอินโด แต่บทและตัวหนังที่ออกมาก็เหมือนก็อปปี้ องค์บาก, ต้มยำกุ้ง ของไทยเรามาเน้นๆ
เขาอาจจะเป็นแค่คนทำหนังที่ไปอยู่ถูกที่ ถูกจังหวะ มีวัตถุดิบและทีมงานดีๆ อยู่ในมือก็ได้ ซึ่งพี่ข้าวโพดคั่วยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ และคนดูอย่างเราๆ ก็ต้องติดตามงานของแกต่อไป
สำหรับในหนังภาค 2 นี้ กาเร็ธ อีแวนส์ ยังเลือกเดินในเส้นทางคล้ายๆ เดิม นั่นก็คือไปหยิบเอาโครงเรื่องในหนังของคนอื่นมาใช้ แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็สามารถทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้น เพราะแกไม่ได้โคลนนิ่งมาดื้อๆ มักง่ายเหมือนตอนทำภาคแรก แต่นำมาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นหนังในแบบฉบับของตัวเอง กับเรื่องราวที่ดูแล้วเหมือนกับฉกไอเดียมาจากหนังฮ่องกงระดับคลาสอย่าง Infernal Affairs
เหตุการณ์ใน The Raid 2 เดินเรื่องต่อจากภาคที่แล้ว เมื่อทางฝ่ายตำรวจเล็งเห็นในความสามารถของ ราม (ที่สามารถเอาตัวรอดมาจากตึกนรกในภาคหนึ่ง) บวกกับความต้องการที่จะกำจัดแก๊งมาเฟียใต้ดินในกรุงจาการ์ตาให้หมดไปแบบขุดรากถอนโคน ทางตำรวจจึงเกิดไอเดียที่จะส่ง ราม แทรกซึมเข้าไปเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของแก๊ง เพื่อล้วงลูกข้อมูล ปฏิบัติการบางอย่าง และอาจจะรวมถึงควานหาตัวหนอนบ่อนไส้ที่แก๊งมาเฟียเหล่านี้ได้แอบส่งมาแฝงตัวอยู่ในฝ่ายตำรวจ
กรุงจาการ์ตาปัจจุบันตกอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของมาเฟียสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ โกโตะ ครอบครัวมาเฟียจากญี่ปุ่น และแก๊งเจ้าถิ่นอย่าง บังกัน รามต้องล้างประวัติตัวเองเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ยูดา แล้วเข้าไปตีสนิทกับ อูโค่ ลูกชายของบังกันที่ถูกขังอยู่ในคุก ใช้เวลาในนั้นนานนับปี เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ กระทั่งกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของอูโค่
เรื่องราวยอกย้อนไปอีกนิด เมื่อ อูโค่ ออกจากคุกแล้วเริ่มมักใหญ่ใฝ่สูง แอบสบคบคิดกับมาเฟียบางคน ตั้งกลุ่มใหม่เงียบๆ วางแผนยึดอำนาจจาก บังกัน พ่อของตัวเอง โดยที่เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของ โกโตะ แก๊งมาเฟียญี่ปุ่น ซึ่งกำลังรอฉกฉวยผลประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน เช่นเดียวกับ ราม ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเหล่านี้ ต้องหาทางทำภารกิจตามคำสั่งให้สำเร็จ พร้อมๆ กับปกปิดสถานะของตัวเองไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
เรียกว่าจากภาคแรกที่มีเรื่องราวที่เรียบง่าย มาภาคนี้เหมือนพี่กาเร็ธ ข้าวโพดคั่วแกพยายามที่จะคั่วหนังตัวเองให้ซับซ้อนมากขึ้นด้วยการใส่ตัวละครมามากมาย เส้นเรื่องแตกแขนงแยกย่อยออกไปหลายทาง เมื่อนำมาบวกเข้ากับฉากแอ็คชั่นยังมีอยู่แน่นตลอดทั้งเรื่อง ไม่แปลกที่หนังภาคนี้จะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง
ส่วนงานแอ็คชั่นซึ่งเป็นจุดขายของหนังภาคนี้หันไปนำเสนอการต่อสู้แบบเหี้ยมเกรียมที่ให้อารมณ์เหมือนหนัง Gore Splatter มากขึ้น ตลอดทั้งเรื่องจึงอุดมไปด้วยฉากโหดเลือดสาด อาทิ การเอาของแหลมกระซวกรัวๆไม่ยั้งตามร่างกาย, การเอามือฉีกกรามคู่ต่อสู้, เอาหน้าคู่ต่อสู้ฉาบของร้อน, เอาค้อนทุบกะบาลเฉาะกระเดือก, เอาไม้เบสบอลหวดอัดเข้าไปกลางปาก หรือแม้แต่การใช้ปืนลูกซองยิงหน้าระยะประชิดจนหัวแตกโพละเหมือนลูกแตงโม
ซึ่งฉากแอ็คชั่นทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีแต่ความโหดเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกนำเสนอออกมาอย่างโดดเด่นผ่านการเคลื่อนกล้องแบบแฮนด์เฮลด์ หลายต่อหลายฉากเป็นการถ่ายทำแบบลองเทคเคลื่อนกล้องย้ายมุมไปมาอย่างน่าระทึกใจ หลอกล่อให้เราเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ กับความรุนแรงที่ปรากฏตรงหน้าจนหลงลืมเรื่องบางอย่างไปเสียสนิท และเมื่อฉากจบเดินทางมาถึง ความจริงที่เปิดเผยคลี่คลายออกมามันก็สามารถเซอร์ไพรส์จนเราอาจจะต้องอุทานออกมาดังๆว่า..เฮ้ย!
และเพราะไอเดียหักมุมในฉากจบนี่เองที่ทำให้เรื่องราวแรกเริ่มที่เหมือนจะดัดแปลงมาจากหนังฮ่องกงเรื่องดัง พัฒนาความซับซ้อน ทรงพลังขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันเหมาะสมดีกับเรื่องราวที่ว่าด้วยการโกงกิน ฉ้อฉล ผลประโยชน์ ที่เป็นเหมือนมะเร็งร้ายแทรกซึมกัดกินประเทศอินโดนีเซียมาอย่างยาวนาน จนทำให้ประเทศอินโดติดอันดับประเทศที่มีการคอรัปชั่นระดับร้ายแรงที่สุดในอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีประเทศไหนซิวตำแหน่งแชมป์ไปแล้วรึปล่าว
แต่ที่รู้ก็คือผู้เขียน เริ่มชอบในตัวพี่ข้าวโพดคั่วมากขึ้นอีกนิด รู้สึกอิจฉา และหมั่นไส้หนังอินโดนีเซียเรื่องนี้โคตรๆ เพราะของเขาดีจริง…แล้วของเราหล่ะ พร้อมจะไฝว้กับเขารึยัง?
คะแนน ★★★★
PS. รีวิวหนังใหม่-เก่า พูดคุยเรื่องหนัง เชิญแวะไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ที่ http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518