สืบเนื่องมาจาก วันศุกร์ที่จะถึงนี้น้องสาวสามีจะแต่งงาน แต่ไปจัดงานที่จังหวัดขอนแก่น ...
เรามีลูก2คน ลูกสาวคนโต 10ขวบ ลูกชายคนเล็ก 1.8ขวบ คุณสามีต้องการหอบเราและลูกไปด้วย เราเองไม่อยากพาลูกไปเพราะสงสารคนเล็กที่ต้องนั่งรถนาน และคนโตต้องหยุดเรียนในวันศุกร์ ที่สำคัญเธอพลาด 2events สำคัญ คือ
1.การแสดงละครเวทีที่รร. (เธอตั้งใจอยากแสดงมาก)
2. เธอเป็นนักกีฬา Tee ball ของรร. จะมี tournament แข่งกับรร.อื่น ในวันเสาร์นี้เป็นแมทช์แรก (ซึ่งวันนี้เมื่อเธอไปบอกครูว่าเธอไปแข่งไม่ได้ ครูตัดเธอออกจากทีมทันที)
ลูกสาวเดินน้ำตาคลอมาบอกว่าครูขีดชื่อออกจากทีม เราสงสารลูกจับใจ นึกถึงวันที่เธอวิ่งมาบอกด้วยรอยยิ้มว่าเธอติดทีมของรร. ใจของเราก็ยิ่งเจ็บ และเมื่อเราถามถึงการแสดงละคร เธอว่าครูหาเพีอนคนอื่นมาลงแทนแล้ว และจะมีซ้อมทุกวันจนกว่าจะถึงวันแสดง "แม่จ๋า มีเอมคนเดียวที่ left out ... เอมคนเดียวเลย แล้วเวลาเพื่อนไปซ้อมกันเอมจะทำอะไรดีจ๊ะ" ปากเราก็บอกว่า หาอย่างอื่นทำ หรือไม่ก็ทำงานที่ค้างให้เสร็จ หรือถ้าไม่มีงานค้างให้ไปหาครูถามครูว่าจะให้หนูช่วยอะไรไหม ... แต่ในใจเราเต็บจี๊ดขึ้นมาอีกรอบ
โทรไปเล่าให้สามีฟัง แกว่า "ดีแล้ว ผิดหวังซะบ้าง จะได้มีภูมิ" บอกตรงๆว่าอึ้ง ได้ยินแล้วไปไม่ถูก ใจเราอยากช่วยลูก ไอ้เรื่องกีฬาคงไม่ทันแล้วเพราะวันนี้เขาจัด position กันแล้ว แต่อย่างน้อยอยากให้ลูกได้มีส่วนในกิจกรรมแสดงละคร ใจเราจะบอกสามีว่าอย่าให้ลูกหยุดเลย แต่พอได้ยินประโยคนั้นเข้าเลยไปต่อไม่ถูก "แล้วแม่ก็อย่าเข้าข้างลูกมากนักนะ ให้เขาผิดหวังบ้าง เด็กสมัยนี้ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังไม่เป็นก็เยอะ" แกพูดไปโน่น
เราผิดหรือคะที่สงสารลูก อยากช่วยลูก อย่างนั้นให้ได้กลับมาสักเรื่อง
คุณผู้ชายมีมุมมองเหมือนกันแบบนี้ไหมคะ
ที่เราไม่อยากไปงานแต่งน้องสาวสามี มันมีสาเหตุค่ะ
1.เธอไม่เคยญาติดีกับเรา ไม่เคยทัก ไม่เคยไหว้
2.งานแต่งเราเธอก็ไม่มา แม่เธอ(แม่สามี)ก็ไม่มา
3.บ้านสามีกะบ้านเราไม่ถูกกันอย่างแรง
4.เวลามาบ้านเราทำตัวประหนึ่งอยู่บ้านตัวเอง กินโน่นนี่นั่นไม่ขอไม่บอก (เราไม่หวงกินนะ แต่ไม่ใช่ถือวิสาสะหยิบทุกอย่าง แถมบางครั้งเอาใส่ถุงกลับบ้านด้วย)
5.หลายอย่างเป็นปัญหาสะสมที่แก้ไม่ได้ ทุกอย่างเกินเยียวยา
เราอุตส่าห์บอกสามีว่าเราไปเอง ลูกๆไม่ต้องเอาไปหรอก อยู่กับแม่เราได้ (แม่เราอยู่ด้วยที่บ้านเราค่ะ) แกก็ไม่ยอม และบอกว่าลูกต้องรู้จัก priority อันไหนควรมาก่อนหลัง นั่นแปลว่างานน้องสาวเค้าสำคัญกว่าเรื่องเรียน เรื่องละครและกีฬาของลูกหรือคะ เราเครียด เราสงสารลูก แต่ทำอะไรไม่ได้ หรือทุมมองของเรามันแคบเกินไปคะ
ขอความคิดเห็นและคำแนะนำด้วยค่ะ
"คุณพ่อ...มองมุมนี้เหมือนกันทุกคนไหมคะ .... แล้วคุณแม่...มองยังไงกันคะ"
เรามีลูก2คน ลูกสาวคนโต 10ขวบ ลูกชายคนเล็ก 1.8ขวบ คุณสามีต้องการหอบเราและลูกไปด้วย เราเองไม่อยากพาลูกไปเพราะสงสารคนเล็กที่ต้องนั่งรถนาน และคนโตต้องหยุดเรียนในวันศุกร์ ที่สำคัญเธอพลาด 2events สำคัญ คือ
1.การแสดงละครเวทีที่รร. (เธอตั้งใจอยากแสดงมาก)
2. เธอเป็นนักกีฬา Tee ball ของรร. จะมี tournament แข่งกับรร.อื่น ในวันเสาร์นี้เป็นแมทช์แรก (ซึ่งวันนี้เมื่อเธอไปบอกครูว่าเธอไปแข่งไม่ได้ ครูตัดเธอออกจากทีมทันที)
ลูกสาวเดินน้ำตาคลอมาบอกว่าครูขีดชื่อออกจากทีม เราสงสารลูกจับใจ นึกถึงวันที่เธอวิ่งมาบอกด้วยรอยยิ้มว่าเธอติดทีมของรร. ใจของเราก็ยิ่งเจ็บ และเมื่อเราถามถึงการแสดงละคร เธอว่าครูหาเพีอนคนอื่นมาลงแทนแล้ว และจะมีซ้อมทุกวันจนกว่าจะถึงวันแสดง "แม่จ๋า มีเอมคนเดียวที่ left out ... เอมคนเดียวเลย แล้วเวลาเพื่อนไปซ้อมกันเอมจะทำอะไรดีจ๊ะ" ปากเราก็บอกว่า หาอย่างอื่นทำ หรือไม่ก็ทำงานที่ค้างให้เสร็จ หรือถ้าไม่มีงานค้างให้ไปหาครูถามครูว่าจะให้หนูช่วยอะไรไหม ... แต่ในใจเราเต็บจี๊ดขึ้นมาอีกรอบ
โทรไปเล่าให้สามีฟัง แกว่า "ดีแล้ว ผิดหวังซะบ้าง จะได้มีภูมิ" บอกตรงๆว่าอึ้ง ได้ยินแล้วไปไม่ถูก ใจเราอยากช่วยลูก ไอ้เรื่องกีฬาคงไม่ทันแล้วเพราะวันนี้เขาจัด position กันแล้ว แต่อย่างน้อยอยากให้ลูกได้มีส่วนในกิจกรรมแสดงละคร ใจเราจะบอกสามีว่าอย่าให้ลูกหยุดเลย แต่พอได้ยินประโยคนั้นเข้าเลยไปต่อไม่ถูก "แล้วแม่ก็อย่าเข้าข้างลูกมากนักนะ ให้เขาผิดหวังบ้าง เด็กสมัยนี้ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังไม่เป็นก็เยอะ" แกพูดไปโน่น
เราผิดหรือคะที่สงสารลูก อยากช่วยลูก อย่างนั้นให้ได้กลับมาสักเรื่อง
คุณผู้ชายมีมุมมองเหมือนกันแบบนี้ไหมคะ
ที่เราไม่อยากไปงานแต่งน้องสาวสามี มันมีสาเหตุค่ะ
1.เธอไม่เคยญาติดีกับเรา ไม่เคยทัก ไม่เคยไหว้
2.งานแต่งเราเธอก็ไม่มา แม่เธอ(แม่สามี)ก็ไม่มา
3.บ้านสามีกะบ้านเราไม่ถูกกันอย่างแรง
4.เวลามาบ้านเราทำตัวประหนึ่งอยู่บ้านตัวเอง กินโน่นนี่นั่นไม่ขอไม่บอก (เราไม่หวงกินนะ แต่ไม่ใช่ถือวิสาสะหยิบทุกอย่าง แถมบางครั้งเอาใส่ถุงกลับบ้านด้วย)
5.หลายอย่างเป็นปัญหาสะสมที่แก้ไม่ได้ ทุกอย่างเกินเยียวยา
เราอุตส่าห์บอกสามีว่าเราไปเอง ลูกๆไม่ต้องเอาไปหรอก อยู่กับแม่เราได้ (แม่เราอยู่ด้วยที่บ้านเราค่ะ) แกก็ไม่ยอม และบอกว่าลูกต้องรู้จัก priority อันไหนควรมาก่อนหลัง นั่นแปลว่างานน้องสาวเค้าสำคัญกว่าเรื่องเรียน เรื่องละครและกีฬาของลูกหรือคะ เราเครียด เราสงสารลูก แต่ทำอะไรไม่ได้ หรือทุมมองของเรามันแคบเกินไปคะ
ขอความคิดเห็นและคำแนะนำด้วยค่ะ