ทั้งจักรวาล เมื่อก่อนเคยอัศจรรย์ใจที่ได้มองจักรวาลกว้างมองท้องฟ้ากว้างใหญ่
เดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งอัศจรรย์อะไรอีกแล้วต่อให้มีดวงอาทิตย์กี่ดวง มีจักรวาลอื่น มีดวงดาวนับพันล้าน
ทุกอย่างมีเหตุมีผลทำไมจึงเข้าใจได้แบบนั้นเพราะจู่ ๆ มีเด็กคนนึงเข้ามา นั่นไงเหมือนเมื่อก่อน
ตอนวัยรุ่น
ตอนนั้นมีเด็กผู้หญิงคนนึงเข้ามาดัชจึงได้ทบทวนหาเหตุผลการกระทบกันของธาตุขันธ์
วิญญาณต่าง ๆ อ้อ อย่างนี้นี่เองทำไมสัตว์จึงได้แย่งกันอุบัติในภพเดรัจฉาน มนุษย์ กันนัก
เลิกสนใจอวกาศและจักรวาลได้ก็เพราะ มันสอดคล้องกับคำของพระพุทธองค์
สัตว์เกิดมาก็ ลังเล สงสัย ฟุ้งซ่าน ค้นหา ค้นคว้าไปไกลยังอวกาศ ความลี้ลับ ดวงดาว แสงต่าง ๆ กันทั้งสิ้น
จุดนี้นี่แหละพวกสิ่งเหล่านั้นมันเป็นแค่ธาตุส่องแสงได้บ้างไม่ได้บ้าง ยิ่งใหญ่อย่างไรก็ตาม ล้วนพุ่งเป้ามายังการเกิดบนโลกนี้แล้วดังนั้น สิ่งมีชีวิตนี่แหละตัวแทนแห่งการมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาลแล้ว มันอัศจรรย์ที่สุดแล้วไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้ว
ในรูปแบบของธาตุขันธุ์สัตว์ ต่าง ๆ นี่แหละเพราะดัช เคยพูด กับเด็กผู้หญิงคนนั้นว่า เมื่อก่อนดัชมายืนมองดูวิวบนยอดเขาสูงนะมองออกไปไกลทุกสิ่งสวยงามมาก โลกและจักรวาลบนท้องฟ้า แต่วันนี้พอยืนอยู่กับเด็กผู้หญิงคนนั้นดัชไม่มองอย่างอื่นอีกแล้วนี่คือสิ่งที่สวยงามที่สุดในจักรวาล
อย่าเพิ่งเลี่ยนกันนะครับ
คำนี้ย้อนไปทบทวนกับธรรมอ้อแล้วพอดีมีเด็กคนหนึ่งเข้ามาอีกแล้ว นี่ก็เป็นเด็กที่ปราณีตและ ละเอียด ใช่ ๆ เขาก็เป็นตัวแทนของสิ่งต่าง ๆ ที่ดีที่สุดแล้ว ในจักรวาล มันผุดขึ้นมาอีกแล้ว
นี่คือความจริงแบบนั้น แต่ในที่สุดเราก็มักจะฟุ้งออกไปไกลเมื่อเลื่อนลอยหรือหาปัญญาจับต้นชนปลายไม่ถูกค้นคว้าสงสัยกันไปเรื่อยตกเป็นเหยื่อของความอยากรู้อยากเห็นที่สุดวกกลับมาที่ตนเองได้แล้วก็พิจารณา ธาตุ ทั้งหมดในโลกธาตุ มีความหมายรวมถึงจักรวาลทั้งหมด
เราจะเอาชนะให้ได้ อย่างนี้คืออย่างนี้นี่เอง เหตุผล ที่มาที่ไปเพียงแต่ ธาตุที่ประกอบกันขึ้นเป็นสัตว์เนี่ย ซับซ้อนที่สุดแล้วในระบบทั้งหมดเราก็เรยติดหลงอุปาทานกันมากเพราะแม้ไปเกิดเป็นสัตว์ที่ตั้งอยู่ด้วยเพียงแค่อารมณ์หรือ เช่นสมาธิ เช่นพรหม
พวกนี้ก็ไม่ซับซ้อนเท่าสัตว์ประเภทมนุษย์เพียงแต่ลำดับพวกนั้นเคยเป็น อสังขต แต่ไม่รู้ มาหลง แล้วเคยเป็นสัตว์อย่างมนุษย์ แล้วบำเพ็ญตนถอยกลับ ไปจนลดน้อยถอยหลังย้อนตัวเองกลับไปสู่หรือใกล้ความเป็นอสังขตได้มากขึ้นเหมือน นับ 0 ถึง 9 (0 คือ อสังขต) (9 คือ มนุษย์)
แล้ว พอเริ่มรู้ แจ้ง ก็พยายามบำเพ็ญตนถอยกลับจากมนุษย์ไป หา 0 แต่ พรหม อาจจะอยู่ ในช่วง 1 2 3 4 5 สัตว์เดรัจฉานอาจจะ 6 7 8 เป็นต้นถ้ากลับไป 0 ได้ คือกลับไป อสังขต แต่กลับไปพร้อมการรู้แจ้งอันนี้สอดคล้องกับพุทธวจนแต่
คำพูดพิมพ์อธิบาย มันยากเลยอธิบายตามปัญญา ตัวเองขอแค่ให้สอดรับกันได้ไม่ขัดแย้งเป็นใช้ได้
ดังนั้นถ้า ว่ากันตามปุถุชน การเป็น มนุษย์ คือ มาถึง ขั้นที่ 9 เนี่ย
เลิศสุดแล้วในจักรวาลสอดรับกับพุทธวจนโดยนัยปุถุชน
ก็เทวดายังอยากเปนมนุษย์เลย
แต่โดยอริยะ ต้องถอยกลับไปให้ได้มากที่สุดด้วยความเพียร คือกลับไป 0
มาพร้อมกับอวิชชาความไม่รู้ แต่ตอนกลับพกพาความรู้แจ้งกลับไปด้วย
เมื่อก่อนอยากจะสร้างยานอวกาศ ตอนนี้ไม่อยากแล้ว
เดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งอัศจรรย์อะไรอีกแล้วต่อให้มีดวงอาทิตย์กี่ดวง มีจักรวาลอื่น มีดวงดาวนับพันล้าน
ทุกอย่างมีเหตุมีผลทำไมจึงเข้าใจได้แบบนั้นเพราะจู่ ๆ มีเด็กคนนึงเข้ามา นั่นไงเหมือนเมื่อก่อน
ตอนวัยรุ่น
ตอนนั้นมีเด็กผู้หญิงคนนึงเข้ามาดัชจึงได้ทบทวนหาเหตุผลการกระทบกันของธาตุขันธ์
วิญญาณต่าง ๆ อ้อ อย่างนี้นี่เองทำไมสัตว์จึงได้แย่งกันอุบัติในภพเดรัจฉาน มนุษย์ กันนัก
เลิกสนใจอวกาศและจักรวาลได้ก็เพราะ มันสอดคล้องกับคำของพระพุทธองค์
สัตว์เกิดมาก็ ลังเล สงสัย ฟุ้งซ่าน ค้นหา ค้นคว้าไปไกลยังอวกาศ ความลี้ลับ ดวงดาว แสงต่าง ๆ กันทั้งสิ้น
จุดนี้นี่แหละพวกสิ่งเหล่านั้นมันเป็นแค่ธาตุส่องแสงได้บ้างไม่ได้บ้าง ยิ่งใหญ่อย่างไรก็ตาม ล้วนพุ่งเป้ามายังการเกิดบนโลกนี้แล้วดังนั้น สิ่งมีชีวิตนี่แหละตัวแทนแห่งการมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาลแล้ว มันอัศจรรย์ที่สุดแล้วไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้ว
ในรูปแบบของธาตุขันธุ์สัตว์ ต่าง ๆ นี่แหละเพราะดัช เคยพูด กับเด็กผู้หญิงคนนั้นว่า เมื่อก่อนดัชมายืนมองดูวิวบนยอดเขาสูงนะมองออกไปไกลทุกสิ่งสวยงามมาก โลกและจักรวาลบนท้องฟ้า แต่วันนี้พอยืนอยู่กับเด็กผู้หญิงคนนั้นดัชไม่มองอย่างอื่นอีกแล้วนี่คือสิ่งที่สวยงามที่สุดในจักรวาล
อย่าเพิ่งเลี่ยนกันนะครับ
คำนี้ย้อนไปทบทวนกับธรรมอ้อแล้วพอดีมีเด็กคนหนึ่งเข้ามาอีกแล้ว นี่ก็เป็นเด็กที่ปราณีตและ ละเอียด ใช่ ๆ เขาก็เป็นตัวแทนของสิ่งต่าง ๆ ที่ดีที่สุดแล้ว ในจักรวาล มันผุดขึ้นมาอีกแล้ว
นี่คือความจริงแบบนั้น แต่ในที่สุดเราก็มักจะฟุ้งออกไปไกลเมื่อเลื่อนลอยหรือหาปัญญาจับต้นชนปลายไม่ถูกค้นคว้าสงสัยกันไปเรื่อยตกเป็นเหยื่อของความอยากรู้อยากเห็นที่สุดวกกลับมาที่ตนเองได้แล้วก็พิจารณา ธาตุ ทั้งหมดในโลกธาตุ มีความหมายรวมถึงจักรวาลทั้งหมด
เราจะเอาชนะให้ได้ อย่างนี้คืออย่างนี้นี่เอง เหตุผล ที่มาที่ไปเพียงแต่ ธาตุที่ประกอบกันขึ้นเป็นสัตว์เนี่ย ซับซ้อนที่สุดแล้วในระบบทั้งหมดเราก็เรยติดหลงอุปาทานกันมากเพราะแม้ไปเกิดเป็นสัตว์ที่ตั้งอยู่ด้วยเพียงแค่อารมณ์หรือ เช่นสมาธิ เช่นพรหม
พวกนี้ก็ไม่ซับซ้อนเท่าสัตว์ประเภทมนุษย์เพียงแต่ลำดับพวกนั้นเคยเป็น อสังขต แต่ไม่รู้ มาหลง แล้วเคยเป็นสัตว์อย่างมนุษย์ แล้วบำเพ็ญตนถอยกลับ ไปจนลดน้อยถอยหลังย้อนตัวเองกลับไปสู่หรือใกล้ความเป็นอสังขตได้มากขึ้นเหมือน นับ 0 ถึง 9 (0 คือ อสังขต) (9 คือ มนุษย์)
แล้ว พอเริ่มรู้ แจ้ง ก็พยายามบำเพ็ญตนถอยกลับจากมนุษย์ไป หา 0 แต่ พรหม อาจจะอยู่ ในช่วง 1 2 3 4 5 สัตว์เดรัจฉานอาจจะ 6 7 8 เป็นต้นถ้ากลับไป 0 ได้ คือกลับไป อสังขต แต่กลับไปพร้อมการรู้แจ้งอันนี้สอดคล้องกับพุทธวจนแต่
คำพูดพิมพ์อธิบาย มันยากเลยอธิบายตามปัญญา ตัวเองขอแค่ให้สอดรับกันได้ไม่ขัดแย้งเป็นใช้ได้
ดังนั้นถ้า ว่ากันตามปุถุชน การเป็น มนุษย์ คือ มาถึง ขั้นที่ 9 เนี่ย
เลิศสุดแล้วในจักรวาลสอดรับกับพุทธวจนโดยนัยปุถุชน
ก็เทวดายังอยากเปนมนุษย์เลย
แต่โดยอริยะ ต้องถอยกลับไปให้ได้มากที่สุดด้วยความเพียร คือกลับไป 0
มาพร้อมกับอวิชชาความไม่รู้ แต่ตอนกลับพกพาความรู้แจ้งกลับไปด้วย