คำเตือน :: มันยาวมาก อ่านไหวก็อ่านค่ะ (ฮา)
* ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะคะว่า เราเป็นผู้หญิง แต่ชอบผู้หญิง(ที่ไม่ใช่ทอม/ดี้)ด้วยกันมากกว่าผู้ชาย
คือถ้ามองผู้หญิงกับผู้ชาย เรามองผู้หญิงด้วยกันมากกว่าผู้ชายค่ะ (เขาเรียกเลสเบี้ยนรึเปล่า ? ช่างมันเถอะเนอะ)
ขอแทนตัวเองว่า "เรา" แทนคนๆนั้นว่า "เขา" นะคะ
--------------------------------------------------------------
คุณเคยมี
ความประทับใจแรก กับใครสักคนไหมคะ ?
' เคยคิดไหม? ว่าบางครั้ง
โชคชะตา มักจะเล่นตลกกับหัวใจของคนเราเสมอ... '
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2553
ตอนนั้นเราอยู่ ม.4 ความใฝ่ฝันคืออยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
ก็เลยสมัครสอบ AFS กับเพื่อนๆที่โรงเรียนอีก 5-6 คน สถานที่สอบคือโรงเรียนประจำจังหวัด
ิ
ตอนที่มาถึงมันก็ใกล้จะได้เวลาสอบแล้ว ดูเหมือนพวกเราจะเป็นโรงเรียนสุดท้ายที่มาถึงด้วยซ้ำ
แต่ระหว่างนั่งรอเวลาสอบที่ใกล้จะได้เวลาเต็มที ก็มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง เปิดประตูห้องสอบเข้ามา
ชุดยูนิฟอร์มนักเรียนเอกชน หน้าตาน่ารักระดับหนึ่ง กำลังมองไปที่ผู้คุมสอบแล้วก้มหัวเชิงขออนุญาตเข้าห้อง
และมองหาที่ว่าง ซึ่งที่นั่งข้างขวาเรามันว่างพอดี แล้วขวามือของที่นั่งที่ว่างนั้น มันจะเป็นทางเดิน
และตอนนี้มันเหลือที่เดียว เขาก็เลยต้องมานั่งข้างๆเรา
วินาทีแรกที่เราเห็นเธอคนนั้น เรารู้สึกเหมือนกับเราเคยเห็นหน้าเขามาก่อนที่ไหนสักแห่งนานมาแล้ว
ทั้งๆที่ไม่เคยเจอหน้าเขามาก่อนในชีวิตเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกเหมือนกับเคยรัก เคยผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
(มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะคะ ไม่ได้อินกับละครข้ามภพหรืออะไรทั้งนั้น)
มันเป็นความรู้สึกแปลกๆค่ะ บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
พยายามถามตัวเองว่า ' เราเป็นอะไร ? ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ' แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก
สักพักก็ได้เวลาเริ่มทำข้อสอบ ระหว่างทำข้อสอบไปเรื่อยๆ ข้อศอกของเราสองคนชนกันบ่อยมาก
คือโต๊ะที่ใช้สอบมันจะเป็นแบบสองข้างจะทึบๆ ถ้านั่งแล้วระดับจะอยู่ระดับหัวพอดี จะทำให้โต๊ะข้างๆมองไม่เห็น
ส่วนข้างหน้าเราจะเป็นใสๆค่ะ เหมือนเอาไว้สอบฟัง ป้องกันการลอกกันอะไรประมาณนี้
พอเจ้าหน้าที่คุมสอบบอกว่าเหลือเวลาอีก 15 นาที (จากเวลา 2 ชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิด)
เราเพิ่งทำข้อสอบถึงข้อที่ 70 กว่าๆ (จาก 100 ข้อ) ก็เลยพยายามทำให้เร็วขึ้น
คือพาร์ท Reading มันเยอะมาก อ่านไม่ไหว ภาษาอังกฤษเราก็อ่อน หลังๆก็มั่วกระจาย (อ่านแต่คำตอบ โจทย์ไม่ได้อ่านเลย)
ฝนข้อสุดท้ายก็หมดเวลาพอดิบพอดี เจ้าหน้าที่คุมสอบก็เรียกเก็บข้อสอบ เลยบ่นออกมาว่า "เฮ้อ เกือบไม่ทันซะแล้ว"
แล้วเขาก็หันมามองเรา เราก็หันไปมองเขา ต่างคนต่างยิ้มให้กัน พอเจ้าหน้าที่เรียกถึงชื่อเรา เราก็เดินไปส่งข้อสอบ
แล้วกลับมานั่งรอลงชื่อก่อนออกจากห้องสอบ (ต้องลงชื่อก่อนถึงจะออกจากห้องสอบได้)
ระหว่างรอลงชื่อ เขาก็ขอดูใบสำหรับผู้สมัครสอบของเรา เราก็ยื่นให้ เขาเอาไปดูสักพักก็หันมาถามว่า
"สถานที่รับสมัครคือที่ไหนเหรอคะ ?" เธอถาม เราเลยตอบไปว่า
"สถานที่รับสมัครก็คือโรงเรียนของเราไง" (น้ำเสียงสุภาพนะคะ เวลาพิมพ์มันดูห้วนๆ)
เขาพยักหน้าแล้วก็เขียนสถานที่รับสมัครเป็นโรงเรียนของตัวเอง พอเขียนเสร็จก็ยื่นใบสีฟ้ามาคืน
หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันหลายๆเรื่อง ประมาณว่า อยู่โรงเรียนอะไร มาสอบยังไง มากับใคร
อยู่ ม.อะไร เลือกทุนอะไร (แต่ไม่ได้ถามชื่อกันซะงั้น) ก็เลยได้ข้อมูลมาเท่าที่ถาม
แม่มาส่ง มาสอบคนเดียวทั้งโรงเรียน(ขอสงวนชื่อโรงเรียนนะคะ) อยู่ม.3 เลือกทุนนักเรียนไทย-มุสลิม แบบฟรีทุกอย่าง
(คือ.. ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นมุสลิม เพราะหน้าตาไม่เหมือนคนมุสลิมเลย)
บทสนทนาของพวกเราจะเป็นแบบ เขาถาม-เราตอบ เราถาม-เขาตอบ
เขาบอกว่า เบื่อโรงเรียนที่เรียนอยู่แล้ว เลยถามเราว่า ที่โรงเรียนเราเป็นยังไงบ้าง ก็เลยตอบไปว่า มันก็แล้วแต่คนจะคิด
บอกอีกว่าอยากย้ายไปเรียนแถวนั้น (อำเภอที่เราอยู่มันค่อนข้างมีชื่อเสียงด้านสถานที่ท่องเที่ยว เหมาะสำหรับการพักผ่อนในวันหยุด)
แล้วสักพักก็ถึงคิวลงชื่อของเขา เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ดูเลข 3 หลักข้างหลังจากใบสมัคร แล้วดูชื่อตัวเองในใบลงชื่อ
เขาใช้เวลาหาชื่อตัวเองนานพอสมควร เราเลยช่วยหา ดูตั้งแต่แผ่นแรกด้านล่าง เปิดมาแผ่นต่อไปก็ไม่มี
มาเจออยู่คนแรกของแผ่นแรกซะงั้น (แอบเห็นเลขประจำตัวผู้สอบ 3 ตัวท้ายของเขาด้วย)
พอลงชื่อเสร็จเขาก็ลุกออกจากห้องไป เราก็ลุกไปรอเพื่อนที่เหลือหน้าห้องสอบ สักพักเพื่อนๆก็ออกมากันหมด
พวกเรายืนรอรถของโรงเรียนที่ลานจอดรถ เห็นเขายืนรอใครสักคน(น่าจะเป็นผู้ปกครอง) ที่ใต้ต้นไม้หน้าอาคารเรียน
เราทำได้แค่ยืนมองเขาไกลๆ เห็นเขาอยู่คนเดียว อยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆเป็นเพื่อน แต่เราไม่กล้า แล้วก็พูดไม่เก่ง
ทำให้เขาต้องยืนอยู่คนเดียว เราอยู่ยืนทางซ้ายมือของเขาประมาณ 300 เมตร สักพักใหญ่ๆ รถของโรงเรียนก็มารับ
เราขึ้นไปบนรถเป็นคนที่ 2 นั่งเบาะหลังสุดริมขวา เราหันไปมองเขา ขอแค่ได้มองก่อนกลับก็ยังดี รถตู้ติดฟิล์มไม่มืดมาก
แล้วไม่คิดว่าเขาจะเห็นเรา เขาหันมาโบกมือบ๊ายบายพร้อมกับรอยยิ้ม เราก็เลยโบกมือกลับแล้วยิ้มให้บ้าง
พอหันกลับเข้ามาในรถตู้ เพื่อนคนหนึ่งก็แซวว่า "เด็กเหรอๆ" เราทำได้แค่ยิ้มเขินๆ ไม่กล้าพูดอะไร เดี๋ยวโดนแซวมากกว่านี้
พอนั่งรถกลับบ้าน เราก็คิดถึงเขามากๆ นี่แหละแทนที่จะถามชื่อเล่นแล้วก็ขอเบอร์หรืออีเมลไว้ก็ยังดี แต่ตอนนั้นคิดไม่ทัน
กลับมาถึงบ้านก็นั่งเพ้อบ้าบออยู่คนเดียว เขียนไดอารี่ถึงเขาทุกวัน พยายามจดจำเรื่องราวในวันนั้นให้ได้มากที่สุด
ได้แต่ภาวนาขอให้เขาย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้ทุนไปอเมริกาสมใจรึเปล่า
ความเห็นแก่ตัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ตอนนั้นเราเริ่มไม่อยากให้เขาไปอเมริกาแล้ว (เลวเนอะ)
ถ้าเขาย้ายมาที่โรงเรียนเดียวกัน เราสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ดีที่สุด จะดูแลเขา เอาน้ำไปให้ แนะนำว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง
ได้แต่หวังว่าความปรารถนาของเรามันจะเป็นจริง
แต่ก็ทำได้แค่ฝันนั่นแหละ เพราะความจริงแล้วคงไม่มีทางได้เจอกันอีก เคยอธิษฐานอะไรที่มันไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยว่า
"ถ้าฟ้าลิขิตมาว่าใช่ ขอให้เราได้พบ ได้พูดคุยกันอีกครั้ง ถ้าถึงสิ้นปีหน้า(ปี 54) เราได้เจอ ได้พูดคุยกัน ก็จะถามชื่อเล่น
แล้วก็ขอเบอร์หรืออีเมลไว้ด้วย แต่ถ้าไม่ได้เจอ เขาคงไม่ใช่เนื้อคู่ของเรา แต่เราจะเก็บความทรงจำดีๆนี้ไว้ตลอดไป...
จนวันที่ประกาศผลสอบ 15 มิถุนายน พ.ศ.2553
เราเข้าไปดูรายชื่อผู้ที่สอบข้อเขียนผ่านในเว็บของ AFS
และแน่นอน... เราสอบไม่ผ่าน (ไม่มีชื่อเราขึ้นมาตอนค้นหาในนามของโรงเรียน มีเพียงชื่อเพื่อน 2 คน) แต่เขาคนนั้นสอบผ่าน
(คำถาม : ทำไมถึงรู้ว่าเขาสอบผ่าน ทั้งๆที่ไม่รู้ชื่อ? เพราะมันต้องใช้ชื่อหรือโรงเรียนในการค้นหา)
(คำตอบ : เราจำได้ว่าเขาอยู่โรงเรียนอะไร และนั่นก็เป็นข้อมูลเดียวที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
เลยพิมพ์ชื่อโรงเรียนไปแล้วก็ขึ้นชื่อมา เขาเคยบอกว่า เขามาสอบคนเดียวทั้งโรงเรียน อยู่ม.3
และรหัส 3 ตัวหลังของเลขประจำตัวผู้สอบนั่นก็ใช่ เราจำเลขนั้นได้ขึ้นใจ
แสดงว่าชื่อ-นามสกุลที่เห็นในเว็บคือชื่อของเขาแน่นอน)
และด้วยเหตุประการฉะนี้ จึงได้ทั้งเลขประจำตัวผู้สอบ ชื่อ-นามสกุลของเขามาด้วย แหะๆ >////<
ใจหนึ่งก็ดีใจ ที่เขาสอบผ่าน อย่างน้อยก็ก้าวข้ามบันไดไปได้ขั้นหนึ่งแล้ว แต่ใจหนึ่งก็แอบเสียใจอยู่บ้างเหมือนกัน
ได้แต่ขอให้ทุกอย่างมันผ่านไปได้ด้วยดี ขอให้เขามีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้มีแต่คนรักและไม่ลำบาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ไม่รู้จะทำยังไงให้ความรู้สึกของเราส่งผ่านไปถึงเขา
สุดท้ายก็ผ่านพ้นปี54 ไปโดยที่เราไม่ได้เจอเขาอีกเลย...
มาถึงตอนนี้ก็อดน้อยใจโชคชะตาไม่ได้ ทั้งๆที่เราเจอคนที่เราคิดว่าใช่แล้วแท้ๆ
แต่กลับไม่มีโอกาสได้สานสัมพันธ์ต่อ เหมือนเล่นตลกกับหัวใจเราเลยเนอะ ชอบมาทำให้รู้สึกตัวในตอนที่มันสายเกินไป
ได้แต่ภาวนาให้เราได้พบกันอีกครั้ง ถ้าหากในอนาคตข้างหน้าเราเจอเขาอีก เรามั่นใจว่าต้องจำเขาได้แน่ๆ
เพราะ
ความรู้สึกของหัวใจมันคงไม่โกหกเราหรอก... จริงไหม?
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง ก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีความสุขกับทุกๆวันของชีวิต
หวังว่าทุกๆอย่างคงเป็นไปได้ด้วยดี และคงไม่ลืมเราคนนี้.
เขาคือ...
ความประทับใจแรกที่ไม่อาจลืม
ปล.เรื่องทั้งหมดที่เล่ามานี้ อยากให้เขาคนนั้นรู้จริงๆค่ะ ว่าเรารู้สึกยังไงกับเขา
แต่ติดต่ออะไรไม่ได้ รู้แค่ชื่อ-นามสกุล เลยแปะความประทับใจที่มีต่อเขาไว้ที่พันทิป เพื่อว่าสักวันเขาอาจจะผ่านมาเห็น
เราคงไม่เรียกว่ารักแรกพบ แต่ขอเรียกว่าความประทับใจแรกจะดีกว่า
ตอนนั้นที่ไม่มีโอกาสได้บอกทุกวันนี้ยังเสียดายอยู่เลยค่ะ คิดมาตลอดว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้
แต่เราก็ยังเชื่อนะ ว่าโชคชะตาจะเหวี่ยงคนที่ใช่ให้มาเจอกันอีกครั้ง สักวันหนึ่ง... ^^
ความประทับใจแรกที่ไม่อาจลืม...
* ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะคะว่า เราเป็นผู้หญิง แต่ชอบผู้หญิง(ที่ไม่ใช่ทอม/ดี้)ด้วยกันมากกว่าผู้ชาย
คือถ้ามองผู้หญิงกับผู้ชาย เรามองผู้หญิงด้วยกันมากกว่าผู้ชายค่ะ (เขาเรียกเลสเบี้ยนรึเปล่า ? ช่างมันเถอะเนอะ)
ขอแทนตัวเองว่า "เรา" แทนคนๆนั้นว่า "เขา" นะคะ
--------------------------------------------------------------
คุณเคยมีความประทับใจแรก กับใครสักคนไหมคะ ?
' เคยคิดไหม? ว่าบางครั้ง โชคชะตา มักจะเล่นตลกกับหัวใจของคนเราเสมอ... '
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2553
ตอนนั้นเราอยู่ ม.4 ความใฝ่ฝันคืออยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
ก็เลยสมัครสอบ AFS กับเพื่อนๆที่โรงเรียนอีก 5-6 คน สถานที่สอบคือโรงเรียนประจำจังหวัด
ิ
ตอนที่มาถึงมันก็ใกล้จะได้เวลาสอบแล้ว ดูเหมือนพวกเราจะเป็นโรงเรียนสุดท้ายที่มาถึงด้วยซ้ำ
แต่ระหว่างนั่งรอเวลาสอบที่ใกล้จะได้เวลาเต็มที ก็มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง เปิดประตูห้องสอบเข้ามา
ชุดยูนิฟอร์มนักเรียนเอกชน หน้าตาน่ารักระดับหนึ่ง กำลังมองไปที่ผู้คุมสอบแล้วก้มหัวเชิงขออนุญาตเข้าห้อง
และมองหาที่ว่าง ซึ่งที่นั่งข้างขวาเรามันว่างพอดี แล้วขวามือของที่นั่งที่ว่างนั้น มันจะเป็นทางเดิน
และตอนนี้มันเหลือที่เดียว เขาก็เลยต้องมานั่งข้างๆเรา
วินาทีแรกที่เราเห็นเธอคนนั้น เรารู้สึกเหมือนกับเราเคยเห็นหน้าเขามาก่อนที่ไหนสักแห่งนานมาแล้ว
ทั้งๆที่ไม่เคยเจอหน้าเขามาก่อนในชีวิตเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกเหมือนกับเคยรัก เคยผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
(มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะคะ ไม่ได้อินกับละครข้ามภพหรืออะไรทั้งนั้น)
มันเป็นความรู้สึกแปลกๆค่ะ บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
พยายามถามตัวเองว่า ' เราเป็นอะไร ? ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ' แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก
สักพักก็ได้เวลาเริ่มทำข้อสอบ ระหว่างทำข้อสอบไปเรื่อยๆ ข้อศอกของเราสองคนชนกันบ่อยมาก
คือโต๊ะที่ใช้สอบมันจะเป็นแบบสองข้างจะทึบๆ ถ้านั่งแล้วระดับจะอยู่ระดับหัวพอดี จะทำให้โต๊ะข้างๆมองไม่เห็น
ส่วนข้างหน้าเราจะเป็นใสๆค่ะ เหมือนเอาไว้สอบฟัง ป้องกันการลอกกันอะไรประมาณนี้
พอเจ้าหน้าที่คุมสอบบอกว่าเหลือเวลาอีก 15 นาที (จากเวลา 2 ชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิด)
เราเพิ่งทำข้อสอบถึงข้อที่ 70 กว่าๆ (จาก 100 ข้อ) ก็เลยพยายามทำให้เร็วขึ้น
คือพาร์ท Reading มันเยอะมาก อ่านไม่ไหว ภาษาอังกฤษเราก็อ่อน หลังๆก็มั่วกระจาย (อ่านแต่คำตอบ โจทย์ไม่ได้อ่านเลย)
ฝนข้อสุดท้ายก็หมดเวลาพอดิบพอดี เจ้าหน้าที่คุมสอบก็เรียกเก็บข้อสอบ เลยบ่นออกมาว่า "เฮ้อ เกือบไม่ทันซะแล้ว"
แล้วเขาก็หันมามองเรา เราก็หันไปมองเขา ต่างคนต่างยิ้มให้กัน พอเจ้าหน้าที่เรียกถึงชื่อเรา เราก็เดินไปส่งข้อสอบ
แล้วกลับมานั่งรอลงชื่อก่อนออกจากห้องสอบ (ต้องลงชื่อก่อนถึงจะออกจากห้องสอบได้)
ระหว่างรอลงชื่อ เขาก็ขอดูใบสำหรับผู้สมัครสอบของเรา เราก็ยื่นให้ เขาเอาไปดูสักพักก็หันมาถามว่า
"สถานที่รับสมัครคือที่ไหนเหรอคะ ?" เธอถาม เราเลยตอบไปว่า
"สถานที่รับสมัครก็คือโรงเรียนของเราไง" (น้ำเสียงสุภาพนะคะ เวลาพิมพ์มันดูห้วนๆ)
เขาพยักหน้าแล้วก็เขียนสถานที่รับสมัครเป็นโรงเรียนของตัวเอง พอเขียนเสร็จก็ยื่นใบสีฟ้ามาคืน
หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันหลายๆเรื่อง ประมาณว่า อยู่โรงเรียนอะไร มาสอบยังไง มากับใคร
อยู่ ม.อะไร เลือกทุนอะไร (แต่ไม่ได้ถามชื่อกันซะงั้น) ก็เลยได้ข้อมูลมาเท่าที่ถาม
แม่มาส่ง มาสอบคนเดียวทั้งโรงเรียน(ขอสงวนชื่อโรงเรียนนะคะ) อยู่ม.3 เลือกทุนนักเรียนไทย-มุสลิม แบบฟรีทุกอย่าง
(คือ.. ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นมุสลิม เพราะหน้าตาไม่เหมือนคนมุสลิมเลย)
บทสนทนาของพวกเราจะเป็นแบบ เขาถาม-เราตอบ เราถาม-เขาตอบ
เขาบอกว่า เบื่อโรงเรียนที่เรียนอยู่แล้ว เลยถามเราว่า ที่โรงเรียนเราเป็นยังไงบ้าง ก็เลยตอบไปว่า มันก็แล้วแต่คนจะคิด
บอกอีกว่าอยากย้ายไปเรียนแถวนั้น (อำเภอที่เราอยู่มันค่อนข้างมีชื่อเสียงด้านสถานที่ท่องเที่ยว เหมาะสำหรับการพักผ่อนในวันหยุด)
แล้วสักพักก็ถึงคิวลงชื่อของเขา เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ดูเลข 3 หลักข้างหลังจากใบสมัคร แล้วดูชื่อตัวเองในใบลงชื่อ
เขาใช้เวลาหาชื่อตัวเองนานพอสมควร เราเลยช่วยหา ดูตั้งแต่แผ่นแรกด้านล่าง เปิดมาแผ่นต่อไปก็ไม่มี
มาเจออยู่คนแรกของแผ่นแรกซะงั้น (แอบเห็นเลขประจำตัวผู้สอบ 3 ตัวท้ายของเขาด้วย)
พอลงชื่อเสร็จเขาก็ลุกออกจากห้องไป เราก็ลุกไปรอเพื่อนที่เหลือหน้าห้องสอบ สักพักเพื่อนๆก็ออกมากันหมด
พวกเรายืนรอรถของโรงเรียนที่ลานจอดรถ เห็นเขายืนรอใครสักคน(น่าจะเป็นผู้ปกครอง) ที่ใต้ต้นไม้หน้าอาคารเรียน
เราทำได้แค่ยืนมองเขาไกลๆ เห็นเขาอยู่คนเดียว อยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆเป็นเพื่อน แต่เราไม่กล้า แล้วก็พูดไม่เก่ง
ทำให้เขาต้องยืนอยู่คนเดียว เราอยู่ยืนทางซ้ายมือของเขาประมาณ 300 เมตร สักพักใหญ่ๆ รถของโรงเรียนก็มารับ
เราขึ้นไปบนรถเป็นคนที่ 2 นั่งเบาะหลังสุดริมขวา เราหันไปมองเขา ขอแค่ได้มองก่อนกลับก็ยังดี รถตู้ติดฟิล์มไม่มืดมาก
แล้วไม่คิดว่าเขาจะเห็นเรา เขาหันมาโบกมือบ๊ายบายพร้อมกับรอยยิ้ม เราก็เลยโบกมือกลับแล้วยิ้มให้บ้าง
พอหันกลับเข้ามาในรถตู้ เพื่อนคนหนึ่งก็แซวว่า "เด็กเหรอๆ" เราทำได้แค่ยิ้มเขินๆ ไม่กล้าพูดอะไร เดี๋ยวโดนแซวมากกว่านี้
พอนั่งรถกลับบ้าน เราก็คิดถึงเขามากๆ นี่แหละแทนที่จะถามชื่อเล่นแล้วก็ขอเบอร์หรืออีเมลไว้ก็ยังดี แต่ตอนนั้นคิดไม่ทัน
กลับมาถึงบ้านก็นั่งเพ้อบ้าบออยู่คนเดียว เขียนไดอารี่ถึงเขาทุกวัน พยายามจดจำเรื่องราวในวันนั้นให้ได้มากที่สุด
ได้แต่ภาวนาขอให้เขาย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้ทุนไปอเมริกาสมใจรึเปล่า
ความเห็นแก่ตัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ตอนนั้นเราเริ่มไม่อยากให้เขาไปอเมริกาแล้ว (เลวเนอะ)
ถ้าเขาย้ายมาที่โรงเรียนเดียวกัน เราสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ดีที่สุด จะดูแลเขา เอาน้ำไปให้ แนะนำว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง
ได้แต่หวังว่าความปรารถนาของเรามันจะเป็นจริง
แต่ก็ทำได้แค่ฝันนั่นแหละ เพราะความจริงแล้วคงไม่มีทางได้เจอกันอีก เคยอธิษฐานอะไรที่มันไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยว่า
"ถ้าฟ้าลิขิตมาว่าใช่ ขอให้เราได้พบ ได้พูดคุยกันอีกครั้ง ถ้าถึงสิ้นปีหน้า(ปี 54) เราได้เจอ ได้พูดคุยกัน ก็จะถามชื่อเล่น
แล้วก็ขอเบอร์หรืออีเมลไว้ด้วย แต่ถ้าไม่ได้เจอ เขาคงไม่ใช่เนื้อคู่ของเรา แต่เราจะเก็บความทรงจำดีๆนี้ไว้ตลอดไป...
จนวันที่ประกาศผลสอบ 15 มิถุนายน พ.ศ.2553
เราเข้าไปดูรายชื่อผู้ที่สอบข้อเขียนผ่านในเว็บของ AFS
และแน่นอน... เราสอบไม่ผ่าน (ไม่มีชื่อเราขึ้นมาตอนค้นหาในนามของโรงเรียน มีเพียงชื่อเพื่อน 2 คน) แต่เขาคนนั้นสอบผ่าน
(คำถาม : ทำไมถึงรู้ว่าเขาสอบผ่าน ทั้งๆที่ไม่รู้ชื่อ? เพราะมันต้องใช้ชื่อหรือโรงเรียนในการค้นหา)
(คำตอบ : เราจำได้ว่าเขาอยู่โรงเรียนอะไร และนั่นก็เป็นข้อมูลเดียวที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
เลยพิมพ์ชื่อโรงเรียนไปแล้วก็ขึ้นชื่อมา เขาเคยบอกว่า เขามาสอบคนเดียวทั้งโรงเรียน อยู่ม.3
และรหัส 3 ตัวหลังของเลขประจำตัวผู้สอบนั่นก็ใช่ เราจำเลขนั้นได้ขึ้นใจ
แสดงว่าชื่อ-นามสกุลที่เห็นในเว็บคือชื่อของเขาแน่นอน)
และด้วยเหตุประการฉะนี้ จึงได้ทั้งเลขประจำตัวผู้สอบ ชื่อ-นามสกุลของเขามาด้วย แหะๆ >////<
ใจหนึ่งก็ดีใจ ที่เขาสอบผ่าน อย่างน้อยก็ก้าวข้ามบันไดไปได้ขั้นหนึ่งแล้ว แต่ใจหนึ่งก็แอบเสียใจอยู่บ้างเหมือนกัน
ได้แต่ขอให้ทุกอย่างมันผ่านไปได้ด้วยดี ขอให้เขามีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้มีแต่คนรักและไม่ลำบาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ไม่รู้จะทำยังไงให้ความรู้สึกของเราส่งผ่านไปถึงเขา
สุดท้ายก็ผ่านพ้นปี54 ไปโดยที่เราไม่ได้เจอเขาอีกเลย...
มาถึงตอนนี้ก็อดน้อยใจโชคชะตาไม่ได้ ทั้งๆที่เราเจอคนที่เราคิดว่าใช่แล้วแท้ๆ
แต่กลับไม่มีโอกาสได้สานสัมพันธ์ต่อ เหมือนเล่นตลกกับหัวใจเราเลยเนอะ ชอบมาทำให้รู้สึกตัวในตอนที่มันสายเกินไป
ได้แต่ภาวนาให้เราได้พบกันอีกครั้ง ถ้าหากในอนาคตข้างหน้าเราเจอเขาอีก เรามั่นใจว่าต้องจำเขาได้แน่ๆ
เพราะความรู้สึกของหัวใจมันคงไม่โกหกเราหรอก... จริงไหม?
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง ก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีความสุขกับทุกๆวันของชีวิต
หวังว่าทุกๆอย่างคงเป็นไปได้ด้วยดี และคงไม่ลืมเราคนนี้.
เขาคือ... ความประทับใจแรกที่ไม่อาจลืม
ปล.เรื่องทั้งหมดที่เล่ามานี้ อยากให้เขาคนนั้นรู้จริงๆค่ะ ว่าเรารู้สึกยังไงกับเขา
แต่ติดต่ออะไรไม่ได้ รู้แค่ชื่อ-นามสกุล เลยแปะความประทับใจที่มีต่อเขาไว้ที่พันทิป เพื่อว่าสักวันเขาอาจจะผ่านมาเห็น
เราคงไม่เรียกว่ารักแรกพบ แต่ขอเรียกว่าความประทับใจแรกจะดีกว่า
ตอนนั้นที่ไม่มีโอกาสได้บอกทุกวันนี้ยังเสียดายอยู่เลยค่ะ คิดมาตลอดว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้
แต่เราก็ยังเชื่อนะ ว่าโชคชะตาจะเหวี่ยงคนที่ใช่ให้มาเจอกันอีกครั้ง สักวันหนึ่ง... ^^