Transcendence (2014)
หากนึกถึงหนัง sci-fi ในช่วงยุคหลัง 2000s แล้ว พล็อตมันก็ไม่ค่อยหนีจากกันสักเท่าไร โดยมากแล้วก็เป็นการหยิบยืมอิทธิพลจากงานเก่า ๆ มาต่อยอดปรุงแต่งใหม่ ซึ่ง Transcendence ก็เป็นหนึ่งในหนังที่หยิบไอเดีย sci-fi เก่า ๆ มาปรุงรสใหม่
Transcendence หยิบประเด็น 'การแปลงความทรงจำเป็นดิจิตอล' ใน Ghost in the Shell (1995) มาขยายเรื่อง 'ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์' เมื่อเชื่อมต่อออนไลน์ และมันก็ยังมีบางแง่มุมที่ตั้งคำถามสำรวจตัวตนสสารตรงหน้าแบบ Solaris (1972) ว่า 'มันคือคนรักของเราหรือมันเป็นเพียงแค่สมองจักรกล'
หนังเปิดเรื่องด้วยฉากจบของหนัง ดังนั้นสิ่งที่ผู้กำกับพยายามนำเสนอจึงไม่ใช่ 'ปลายทาง' แต่เป็น 'ระหว่างทาง' ที่ชวนให้ค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อ 'วิล' (Johnny Depp) ถูกลอบยิงโดยกลุ่มองค์กรที่กลัวภัยของเทคโนโลยีการแปลงความทรงจำเป็นดิจิตอล 'เอเวอลีน' (Rebecca Hall) เธอรู้ว่าเขาจะมีชีวิตรอดอีกไม่นานจึงตัดสินใจแปลงความทรงจำของเขาเข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการอัพโหลดเข้าระบบออนไลน์
ก่อนหน้านี้ผมดู Ghost in the Shell ซึ่งหยิบประเด็น 'ความทรงจำดิจิตอล' ที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างไซบอร์กไหนก็ได้ คล้ายกับเป็น surrogate นั่นเอง ซึ่งบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ใน Transcendence ก็เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ คือความทรงจำดิจิตอลก่อนที่มันจะสามารถออนไลน์ควบคุมร่างมนุษย์ได้ด้วย
และมันก็มาถึงจุดที่ทำให้เกิดคำถามถึงเทคโนโลยีว่า 'เป็นภัยต่อมนุษย์หรือไม่' เมื่อมันสร้างแหล่งพลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นจนถึงระดับที่เป็น 'อุตรภาพ' หมายถึงสภาวะที่อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ อย่างเช่นการรักษาบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว, การรักษาคนตาบอด, หรือแม้กระทั่งความสามารถในการฟื้นฟูธรรมชาติ
"มนุษย์มักจะกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ" แม้กระทั่ง Superman ยังรู้ซึ้งถึงคำนี้
แต่ในอีกมุมหนึ่ง หนังก็ยิงคำถามมายังคนดูว่าเจ้า 'อุตรภาพ' ที่เราเห็นมันทำอะไรต่าง ๆ นานาในร่างทรงของมันสมอง 'วิล' แท้จริงแล้วมันคือตัวตนของวิลจริง ๆ หรือมันเป็นเพียงแค่ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่คงเหลือวิญญาณของเขา เราจะใช้อะไรชี้วัดหาคำตอบในเมื่อคำถามสำคัญของหนังก็คือ "คุณจะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร"
ถึงกระนั้นหนังก็พาคนดูไปสู่คำตอบนั้นได้
โดยภาพรวมแล้วพล็อตหนังค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียวครับ เพียงแต่ถ้าให้พูดกันตรง ๆ ก็ต้องบอกว่ามันไปอยู่ในมือคนที่ยังไม่สามารถรับมือกับ hard sci-fi หนัก ๆ แบบนี้ได้ ผลลัพธ์เลยออกมาเป็นว่าเรื่องราวฟังดูน่าสนใจแต่นำเสนอทื่อ ๆ ไม่มีชั้นเชิง
ต้องบอกว่า 'วอลลี่ ฟิสเตอร์' มีประเด็นหนังเป็นวัตถุดิบชั้นดี สมกับที่ 'คริสโตเฟอร์ โนแลน' บอกว่ามันสามารถเป็นการกำกับหนังเรื่องแรกที่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่เขายังไม่สามารถนำเสนอให้มันออกมาไหลลื่นกลมกล่อมอย่างที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม Transcendence ก็เหมือนคุณมี Blue Label สักขวด ไม่ว่าคุณจะเอาไปชงกับอะไรยังไงลิ้นของเราก็ยังได้รับสัมผัสของเหล้าชั้นดีอยู่วันยังค่ำ
ป.ล. ปกติผมไม่เคยซีเรียสกับงาน Visual effect เลยนะ แต่ CG ระเบิดในหนังเรื่องนี้นี่ใช้ทีมต้มยำกุ้ง 2 หรือเปล่าครับแหม่
---
"Shut it down!"
-----
"It? That's HIM!"
Director: Wally Pfister
Writer: Jack Paglen
Genre: Drama, Sci-fi, Mystery, Thriller
7.5/10
--- ติดตามรีวิวหนังอีกมากมายได้ที่ 'หนังโปรดของข้าพเจ้า' :
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
----- บ่นจุกจิกเชิญ follow Twitter ได้ที่ @myfavfilms
ขอบคุณครับ
Transcendence (2014) เปรียบเสมือนคุณมี Blue Label สักขวด เอาไปชงกับอะไรยังไงลิ้นก็ยังได้สัมผัสเหล้าชั้นดี [No Spoil]
หากนึกถึงหนัง sci-fi ในช่วงยุคหลัง 2000s แล้ว พล็อตมันก็ไม่ค่อยหนีจากกันสักเท่าไร โดยมากแล้วก็เป็นการหยิบยืมอิทธิพลจากงานเก่า ๆ มาต่อยอดปรุงแต่งใหม่ ซึ่ง Transcendence ก็เป็นหนึ่งในหนังที่หยิบไอเดีย sci-fi เก่า ๆ มาปรุงรสใหม่
Transcendence หยิบประเด็น 'การแปลงความทรงจำเป็นดิจิตอล' ใน Ghost in the Shell (1995) มาขยายเรื่อง 'ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์' เมื่อเชื่อมต่อออนไลน์ และมันก็ยังมีบางแง่มุมที่ตั้งคำถามสำรวจตัวตนสสารตรงหน้าแบบ Solaris (1972) ว่า 'มันคือคนรักของเราหรือมันเป็นเพียงแค่สมองจักรกล'
หนังเปิดเรื่องด้วยฉากจบของหนัง ดังนั้นสิ่งที่ผู้กำกับพยายามนำเสนอจึงไม่ใช่ 'ปลายทาง' แต่เป็น 'ระหว่างทาง' ที่ชวนให้ค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อ 'วิล' (Johnny Depp) ถูกลอบยิงโดยกลุ่มองค์กรที่กลัวภัยของเทคโนโลยีการแปลงความทรงจำเป็นดิจิตอล 'เอเวอลีน' (Rebecca Hall) เธอรู้ว่าเขาจะมีชีวิตรอดอีกไม่นานจึงตัดสินใจแปลงความทรงจำของเขาเข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการอัพโหลดเข้าระบบออนไลน์
ก่อนหน้านี้ผมดู Ghost in the Shell ซึ่งหยิบประเด็น 'ความทรงจำดิจิตอล' ที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างไซบอร์กไหนก็ได้ คล้ายกับเป็น surrogate นั่นเอง ซึ่งบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ใน Transcendence ก็เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ คือความทรงจำดิจิตอลก่อนที่มันจะสามารถออนไลน์ควบคุมร่างมนุษย์ได้ด้วย
และมันก็มาถึงจุดที่ทำให้เกิดคำถามถึงเทคโนโลยีว่า 'เป็นภัยต่อมนุษย์หรือไม่' เมื่อมันสร้างแหล่งพลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นจนถึงระดับที่เป็น 'อุตรภาพ' หมายถึงสภาวะที่อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ อย่างเช่นการรักษาบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว, การรักษาคนตาบอด, หรือแม้กระทั่งความสามารถในการฟื้นฟูธรรมชาติ
"มนุษย์มักจะกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ" แม้กระทั่ง Superman ยังรู้ซึ้งถึงคำนี้
แต่ในอีกมุมหนึ่ง หนังก็ยิงคำถามมายังคนดูว่าเจ้า 'อุตรภาพ' ที่เราเห็นมันทำอะไรต่าง ๆ นานาในร่างทรงของมันสมอง 'วิล' แท้จริงแล้วมันคือตัวตนของวิลจริง ๆ หรือมันเป็นเพียงแค่ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่คงเหลือวิญญาณของเขา เราจะใช้อะไรชี้วัดหาคำตอบในเมื่อคำถามสำคัญของหนังก็คือ "คุณจะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร"
ถึงกระนั้นหนังก็พาคนดูไปสู่คำตอบนั้นได้
โดยภาพรวมแล้วพล็อตหนังค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียวครับ เพียงแต่ถ้าให้พูดกันตรง ๆ ก็ต้องบอกว่ามันไปอยู่ในมือคนที่ยังไม่สามารถรับมือกับ hard sci-fi หนัก ๆ แบบนี้ได้ ผลลัพธ์เลยออกมาเป็นว่าเรื่องราวฟังดูน่าสนใจแต่นำเสนอทื่อ ๆ ไม่มีชั้นเชิง
ต้องบอกว่า 'วอลลี่ ฟิสเตอร์' มีประเด็นหนังเป็นวัตถุดิบชั้นดี สมกับที่ 'คริสโตเฟอร์ โนแลน' บอกว่ามันสามารถเป็นการกำกับหนังเรื่องแรกที่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่เขายังไม่สามารถนำเสนอให้มันออกมาไหลลื่นกลมกล่อมอย่างที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม Transcendence ก็เหมือนคุณมี Blue Label สักขวด ไม่ว่าคุณจะเอาไปชงกับอะไรยังไงลิ้นของเราก็ยังได้รับสัมผัสของเหล้าชั้นดีอยู่วันยังค่ำ
ป.ล. ปกติผมไม่เคยซีเรียสกับงาน Visual effect เลยนะ แต่ CG ระเบิดในหนังเรื่องนี้นี่ใช้ทีมต้มยำกุ้ง 2 หรือเปล่าครับแหม่
--- "Shut it down!"
----- "It? That's HIM!"
Director: Wally Pfister
Writer: Jack Paglen
Genre: Drama, Sci-fi, Mystery, Thriller
7.5/10
--- ติดตามรีวิวหนังอีกมากมายได้ที่ 'หนังโปรดของข้าพเจ้า' : https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
----- บ่นจุกจิกเชิญ follow Twitter ได้ที่ @myfavfilms
ขอบคุณครับ