เกิดเหตุเมื่อสองวันก่อนค่ะ บ่ายๆ วันอาคารเราขับรถพาลูกไปดูก่อกองทรายวัดแถวบ้านค่ะ ดูเสร็จก็พากันขับรถออกจากวัดมา จากวัดไปบ้านแค่กิโลเดียวถนนก็เส้นเล็กๆ เลนสวนผ่านตลาด ผ่านชุมชม ปกติรถจะติดๆ ค่ะ ขับกันได้แค่ไม่เกิน 40 แต่ช่วงนี้คนกลับบ้านกันหมดถนนก็ออกจะโล่งๆ
เราออกจากซอยวัดขึ้นถนนเส้นหลักมาได้แค่ 10 เมตร ยังไม่ได้เร่งความเร็วรถ (โชคดีมาก) ตรงนั้นเป็นทางโค้งพอดี อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเบรคดังมาแต่ไกล เรารีบแตะเบรคค่ะ หลังจากนั้นคือทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว อ้าปากค้างมองภาพเหมือนกำลังดูหนัง 3 มิติ เพราะภาพที่เห็นคือ รถปิคอัพที่มาเลนสวนขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วแหกโค้งค่ะ ท้ายรถเหวี่ยงออกมาทางเลนฝั่งเรา ตอนที่รถกำลังขวางมาภาพมันพุ่งใส่หน้ามากๆ ตอนนั้นลุ้นว่าจะคว่ำไหม ถ้าคว่ำคือทับเราแน่ ถ้าไม่คว่ำแล้วระยะห่างจะพอให้พ้นการถูกชนไหม สรุปเรารอดค่ะ เราเบรครถไว้ได้ไกลพอ รถสองคันไม่ปะทะกัน แล้วปิคอัพคันนั้นก็หมุนกลับไปจอดสงบนิ่งอยู่ในเลนตัวเองโดยหน้ารถหันกลับมาอยู่ทางด้านเดียวกับรถเรา เรียกว่าควงเกือบครบ 360 องศาเลย (ที่จริงประมาณ 200 กว่าๆ แบบนี้เรียกว่าดริฟท์ได้ไหม)
พอรถผ่านหน้าไปแล้วเราฟุบลงกับพวกมาลัย (ประมาณตรูรอดแล้ว) เลยไปโดนแตรรถตัวเองดังก็เลยสะดุ้งขึ้นมา ตอนนี้เพิ่งนึงถึงลูกได้ (โหแม่ดีเด่น) ลูกสาวก็นั่นอ้าปากค้างเหมือนกัน ถามว่าหนูโอเคไหม ลูกสาวบอกไม่เป็นไรค่ะ แล้วนั่งกินขนมต่อ เราหันกลับไปมองรถกันนั้นว่าจะเอาไง เห็นแต่คนนั่งข้างคนขับเป็นวัยรุ่นเปิดกระจกมายกมือขอโทษ เราก็เลยขับไปแอบเข้าข้างทางเพื่อสงบสติแป๊บนึง (ชาวบ้านแถวๆ นั้นออกมาดูกันเพียบเลย) แล้วเราก็ขับรถออกไปค่ะ ไม่ได้อะไรกับเค้า เราว่าเค้าคงตกใจกว่าเราอีก ดูจากสีหน้าคนที่ยกมือขอโทษ
สรุปว่า ตรงทางโค้งนี้อันตรายมากนะคะ ไม่ควรขับมาด้วยความเร็วสูง โชคดีที่ไม่เกิดการชนกันขึ้นและไม่หลุดออกจากถนนไปไม่งั้นก็พุ่งเข้าบ้านคนอื่น (แอบคิดในใจว่าคนขับพอมีทักษะบ้างนะ ยังเอารถอยู่)
ส่วนตัวเองรู้ซึ่งถึงคำว่าเราระวังคนเดียวไม่พอต้องระวังคนอื่นด้วย งานนี้โชคดีที่เป็นคนขับรถไม่เร็วอยู่แล้ว มันช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ เมื่อก่อนเคยคิดว่าเกิดเหตุฉุกเฉินเราจะเป็นยังไง จะทำอะไรบ้าง สรุปพอเกิดจริงเราจะนิ่งเป็นหุ่นค่ะ
สุดท้ายเข็มขัดนิรภัย สำคัญมาก ทุกทีเราขึ้นรถปุ๊บจะคาดเข็มขัดให้ตัวเองและลูก แต่วันนั้นไม่ได้คาดทั้งคู่ แค่คิดชั่ววูบว่าใกล้ๆ แค่นี้เดี๋ยวก็ถึงบ้าน ไม่ได้ขึ้นถนนใหญ่ แต่เราก็ไม่รู้เลยว่าไอ้ใกล้ๆ แค่นี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ต่อไปจะคาดเข็มขัดทุกครั้งจะไม่ประมาทแบบนี้อีก
เล่าประสบการณ์เฉียดๆ เมื่อมีรถดริฟท์ (แหกโค้ง) อยู่ตรงหน้า
เราออกจากซอยวัดขึ้นถนนเส้นหลักมาได้แค่ 10 เมตร ยังไม่ได้เร่งความเร็วรถ (โชคดีมาก) ตรงนั้นเป็นทางโค้งพอดี อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเบรคดังมาแต่ไกล เรารีบแตะเบรคค่ะ หลังจากนั้นคือทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว อ้าปากค้างมองภาพเหมือนกำลังดูหนัง 3 มิติ เพราะภาพที่เห็นคือ รถปิคอัพที่มาเลนสวนขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วแหกโค้งค่ะ ท้ายรถเหวี่ยงออกมาทางเลนฝั่งเรา ตอนที่รถกำลังขวางมาภาพมันพุ่งใส่หน้ามากๆ ตอนนั้นลุ้นว่าจะคว่ำไหม ถ้าคว่ำคือทับเราแน่ ถ้าไม่คว่ำแล้วระยะห่างจะพอให้พ้นการถูกชนไหม สรุปเรารอดค่ะ เราเบรครถไว้ได้ไกลพอ รถสองคันไม่ปะทะกัน แล้วปิคอัพคันนั้นก็หมุนกลับไปจอดสงบนิ่งอยู่ในเลนตัวเองโดยหน้ารถหันกลับมาอยู่ทางด้านเดียวกับรถเรา เรียกว่าควงเกือบครบ 360 องศาเลย (ที่จริงประมาณ 200 กว่าๆ แบบนี้เรียกว่าดริฟท์ได้ไหม)
พอรถผ่านหน้าไปแล้วเราฟุบลงกับพวกมาลัย (ประมาณตรูรอดแล้ว) เลยไปโดนแตรรถตัวเองดังก็เลยสะดุ้งขึ้นมา ตอนนี้เพิ่งนึงถึงลูกได้ (โหแม่ดีเด่น) ลูกสาวก็นั่นอ้าปากค้างเหมือนกัน ถามว่าหนูโอเคไหม ลูกสาวบอกไม่เป็นไรค่ะ แล้วนั่งกินขนมต่อ เราหันกลับไปมองรถกันนั้นว่าจะเอาไง เห็นแต่คนนั่งข้างคนขับเป็นวัยรุ่นเปิดกระจกมายกมือขอโทษ เราก็เลยขับไปแอบเข้าข้างทางเพื่อสงบสติแป๊บนึง (ชาวบ้านแถวๆ นั้นออกมาดูกันเพียบเลย) แล้วเราก็ขับรถออกไปค่ะ ไม่ได้อะไรกับเค้า เราว่าเค้าคงตกใจกว่าเราอีก ดูจากสีหน้าคนที่ยกมือขอโทษ
สรุปว่า ตรงทางโค้งนี้อันตรายมากนะคะ ไม่ควรขับมาด้วยความเร็วสูง โชคดีที่ไม่เกิดการชนกันขึ้นและไม่หลุดออกจากถนนไปไม่งั้นก็พุ่งเข้าบ้านคนอื่น (แอบคิดในใจว่าคนขับพอมีทักษะบ้างนะ ยังเอารถอยู่)
ส่วนตัวเองรู้ซึ่งถึงคำว่าเราระวังคนเดียวไม่พอต้องระวังคนอื่นด้วย งานนี้โชคดีที่เป็นคนขับรถไม่เร็วอยู่แล้ว มันช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ เมื่อก่อนเคยคิดว่าเกิดเหตุฉุกเฉินเราจะเป็นยังไง จะทำอะไรบ้าง สรุปพอเกิดจริงเราจะนิ่งเป็นหุ่นค่ะ
สุดท้ายเข็มขัดนิรภัย สำคัญมาก ทุกทีเราขึ้นรถปุ๊บจะคาดเข็มขัดให้ตัวเองและลูก แต่วันนั้นไม่ได้คาดทั้งคู่ แค่คิดชั่ววูบว่าใกล้ๆ แค่นี้เดี๋ยวก็ถึงบ้าน ไม่ได้ขึ้นถนนใหญ่ แต่เราก็ไม่รู้เลยว่าไอ้ใกล้ๆ แค่นี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ต่อไปจะคาดเข็มขัดทุกครั้งจะไม่ประมาทแบบนี้อีก