CFA VS CFP ต่างกันอย่างไร

กระทู้คำถาม
ออกตัวก่อนเลยว่า...จบสายการตลาด (Market research, Market analyst) พื้นฐานปอตรี วิศวะคอม โทบริหารปีเดียว ยิ่งทำงานยิ่งรู้สึกว่าตัวเองค่อดโง่ -_-" เกียรตินิยมไม่ช่วยอะไร ตั้งใจเรียนแล้วไงฟะ ทำงานคนละเรื่อง...

ประเด็น...เคยทำงานไปแล้วรู้สึกว่า ทำไมฉันด้อยกว่าชาวบ้านขนาดนี้ไหมคะ? รู้สึกแบบ ทำไมคนอื่นเขาบรรลุ พูดแปปๆ เขาเข้าใจ แต่พอคุยกะเรา เขาต้องอธิบายแล้วอธิบายอีก...อารมณ์ ทำไมเราโง่จังวะ...(เราทำงานสถาบันการเงิน)

เรากลุ้ม ไปปรึกษาหัวหน้าท่านนึง เขาบอกอย่าเครียด อายุยังน้อย เพิ่งทำงานเอง แต่ถ้าอยากโตสาย finance ลองไปสอบ CFA สิ -_-" คือเราอ่อนประสบการณ์กว่าคนอื่นจริง ยอมรับ แต่ถ้าเอาแต่คิดว่าทำงานมาน้อยกว่าแล้วไม่เร่งพัฒนาตัวเอง มันก็ตาม step เกินไปรึเปล่า? คือเราก็อยากโง่น้อยลงบ้างอะไรบ้าง อยากเรียนรู้ให้เร็วที่สุดอ่ะค่ะ

certificate ใบนี้ เพื่อนร่วมรุ่นแต่คนละสายตอนเรียน UK (มันเรียน finance and investment) ก็สอบกัน เราพอรู้แหละว่ามันหิน!!! เราไม่เคยคิดจะสอบ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้ชอบสาย finance ขนาดนั้นแต่ยอมรับพอทำงานเราก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่ชอบ -_-" ก็โอเคเริ่มสนุก เพราะมีตัวเลขให้วิเคราะห์ และมันไม่ได้ pure math ขนาด theory of computation เหมือนสมัยเรียนวิศวะคอม สรุปเราก็เลยอยากได้ความรู้สายการเงิน ว่าง่ายๆอยากลองสอบอะไรติดตัวไว้สักใบ -_-" ไหนๆก็ทำสายธนาคารละ...

ส่วนตัว เรายังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะไปสายการเงินจ๋าาาาาเลยรึเปล่า ด้วยพื้นความรู้ด้านคอม + marketing ตอนนี้ เราก็ทำแนว Market analyst อยู่แล้ว งานเราไม่ใช่แนวออกขายลูกค้าเองค่ะ แต่ต้อง support program การขายซึ่งก็ต้องพอรู้ financial product และ lead ลูกค้าแต่ละแบบตาม segment

ตัวลูกค้าไม่ใช่ปัญหา data มันมีใน server วิเคราะห์ไม่ยาก แต่พวก product และความเป็นไปของตลาดที่ต้องเข้าใจแบบลึกซึ้งเพื่อ suggest การ design product program นี่ดิ -_-" คือไม่เข้าใจ...แอบโง่มากมาก T-T

ตอนนี้เรารู้สึกว่าตัวเองอย่างโง่เลยอ่ะค่ะเมื่อเทียบกะชาวบ้าน เหอๆๆ คิดว่าแบบเรานี่ควรเรียนอะไรเพิ่มดีคะ? คือที่เคยเรียนเราก็เรียนค่อดจะพื้นฐานอ่านงบดุลเฉยๆเอง นี่ product แต่ละตัวแบบ...กองทุนเอย ประกันเอย แต่ละแบบก็เยอะ serve ลูกค้าก็ไม่เหมือนกัน depend on segment อีก...T__T

Cer ตัวไหนที่เราควรมุ่งไป และแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียยังไงคะ? สำหรับเราการเรียน ณ ตอนนี้คือการลงทุนอย่างหนึ่ง เราอยากก้าวหน้าค่ะ ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ขออนุญาตแชร์นะครับ อาจจะช้าไปหน่อย เพราะเจอกระทู้ตอน search google

ในฐานะที่สอบ CFP ผ่านข้อสอบชุดสุดท้ายแล้ว และกำลังสอบ CFA

CFP ให้ความรู้การเงินเน้นไปทาง personal finance ความรู้ที่จะได้คือ
1. ความรู้พื้นฐานทางการเงิน เช่น มูลค่าเงินที่ลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามเวลา เครื่องมือทางการเงิน การวิเคราะห์ความเสี่ยงของบุคคล
2. การวางแผนการลงทุน รู้จักเครื่องมือการลงทุน หุ้น ตราสารหนี้ อนุพันธ์(แบบเบาๆ) โมเดลการคิดผลตอบแทนที่ควรจะเป็น
3. การวางแผนประกันชีวิต บริหารความเสี่ยงผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต อันนี้รู้ก็ดีต่อคนทั่วไปมากๆ ผมเห็นหลายคนซื้อประกันเกินจำเป็น
เพราะมีตัวแทนที่ขายให้เกินจำเป็น
4. การวางแผนเกษียณ แหล่งเงินที่ใช้ได้เมื่อเกษียณ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นถ้าคุณไม่ได้วางแผนไว้ก่อน
อยากมีเงินใช้เดือนละ x บาท ต้องเริ่มเก็บเท่าไร จะต้องมีเท่าไรถึงพอใช้จนวันสุดท้าย
5. การวางแผนภาษี ความรู้เรื่องภาษีก็เป็นอีกเรื่องที่คนไม่เข้าใจ และเข้าใจผิดเยอะมากโดยที่คิดว่าตัวเองเข้าใจถูก
6. รวม 1-5 มาเรียนใน 24 ชม.

ต้องเรียนทั้ง 6 module แล้วก็สอบด้วย
ข้อสอบมี 4 paper แต่ paper 4 มีแบ่งเป็น 4.1, 4.2 เลยมีรวมทั้งหมด 5 ชุด
คนที่สอบผ่านในครั้งเดียวก็มีน้อยมากนะครับ
pass rate ประมาณ 37-40% คนที่สอบซ้ำๆ ก็มีหลายคน
แต่จัดสอบถี่กว่า CFA ปีละ 2-5 รอบ แล้วแต่ paper

CFP ชื่อคุณวุฒิไทย คือ นักวางแผนการเงิน
มันไม่เหมือนใครๆ ที่เที่ยวใส่ยศให้ตัวเองเป็นนักวางแผนการเงิน
ที่ปรึกษาการเงิน การลงทุน ทั้งๆที่ไม่มี license อะไรซักอย่าง
มันไม่ใช่แค่ "ไม่มีอะไร" นะครับ ไม่ได้มาง่ายๆ ถ้าสอบได้ ก็เรียกว่า ฉลองได้เหมือนกัน
เหมือนจบการเงินบวกบัญชีบวกกับความรู้ทางประกันด้วย

คนที่ทำงานในหลักทรัพย์มีประสบการณ์ทำงานหลายปีแล้ว
ไปสอบไม่ผ่านก็หลายคนนะ ขนาดไม่ใช่เด็กจบใหม่
ได้มีโอกาสคุยกับรุ่นพี่ที่เป็น CFA Chartered holder แล้ว
ก็ยังไม่ผ่านชุด 4.1 กับ 4.2 เพราะเขียนไม่ทัน
และมันเป็นเรื่องภาษีที่ไม่มีใน CFA

อาจารย์ที่มาสอน ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากการทำงานในวงการการเงิน
หรือสอนคณะเศรษฐศาสตร์ การเงิน บัญชี
อาจารย์เหล่านี้ได้คุณวุฒิแบบกิตติมศักดิ์จากต่างประเทศก่อน
แล้วจึงมีการเริ่มเปิดสอนในไทยครับ แต่ก็มีมาสิบกว่าปีละ

ถ้าสอบผ่าน ทั้ง 5 ชุดแล้ว ก็ต้องมีประสบการณ์ทำงานในวงการการเงินอย่างน้อย 3 ปี ถึงขึ้นทะเบียนได้คุณวุฒิเต็มตัว
เช่น​ ธนาคาร ประกัน หลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ กลต. เป็นต้น
ก็เลยมีคนที่เป็นตัวแทนประกันมาเรียน และสอบกันเยอะ
แต่ไปจนถึงชุดสุดท้ายเลย ไม่ค่อยเยอะนะครับ
เท่าที่เห็น คนที่ไปจนสุด "ส่วนใหญ่" จะเป็นสายการเงิน หรือทำงานอยู่ตลาดหลักทรัพย์, กลต.

ความรู้ที่ได้จาก CFP พี่มองว่า ทุกคนควรรู้นะครับ
มันเกี่ยวกับเรื่องเงิน และความเข้าใจผิดทางการเงินที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
มั่วเอง แม้แต่เรื่องง่ายๆ พวกดอกเบี้ยบ้าน รถ บัตรเครดิต ก็เข้าใจกันผิด
รู้เรื่องเงิน ก็ดีสำหรับเราครับ เรื่องเงินไม่เคยสอนในโรงเรียน

-------------------------

ส่วน CFA เหมาะจะไปในแนวนักวิเคราะห์ หรือ ผจก. กองทุน
ความรู้จะเริ่มจาก เรื่องจรรยาบรรณของการทำงานในวงการการเงิน
เน้นผลประโยชน์ของนักลงทุนมากกว่าของตัวเอง ซึ่ง CFA Institute เน้นเรื่องนี้มากๆ
มันไม่ยาก แต่อาจจะสับสนได้ว่า ผิดจรรยาบรรณข้อไหน

จากนั้นก็มีพื้นฐานทางการเงิน Quantitative method, Economics
Financial reporting and Analysis, Corporate Finance, Equity Investment, Fixed Income (ตราสารหนี้)
Derivatives, Alternative Investment และ Portfolio management

และยังมี update เนื้อหาแต่ละปีไม่เหมือนกันนะครับ เช่น เรื่อง fintech ก็เพิ่มเข้ามาในปี 2019

ส่วนที่เน้นของแต่ละ level ก็จะไม่เหมือนกัน
Level 1 เป็นภาพรวมความรู้ทั้งหมด ถามเยอะพอๆ กัน เปิดสอบปีละ 2 ครั้ง
Level 2 เน้นเรื่องการ valuation
Level 3 เน้นเรื่อง portfolio management
(L2,3 เปิดสอบปีละครั้งเท่านั้น)

จะเห็นว่าความรู้เน้นไปเรื่องการลงทุนเป็นหลัก และหลักการทางบัญชี วิเคราะห์งบการเงิน

คนที่จะสอบก็ต้องได้ภาษาอังกฤษด้วย เพราะเราต้อง self-study เองตั้งแต่เริ่ม (มีติวเหมือนกัน แต่ค่าติวก็เริ่มต้นที่ 4 หมื่น)
เนื้อหาเป็นอังกฤษหมด เลยทำให้คนที่สอบผ่านก็ไปทำงานได้ในทุกสถาบันในต่างประเทศ
และคนก็อ้าแขนรับด้วย เพราะมันคือข้อสอบที่พิสูจน์ว่า คนสอบผ่านมีวินัยมากๆ
อ่านเอง สอบทั้งวันเลย 6 ชม. ซึ่งเยอะมาก คนผ่านก็ประมาณ 30-40% เช่นกัน
แต่ level หลังๆ ก็จะยิ่งสอบผ่านยาก สอบ 3-5 รอบเป็นเรื่องปกติ
โดยเฉลี่ยใช้เวลาสอบทั้ง 3 ฉบับประมาณ 4.5 ปี แต่มีบางคนสอบถึง 18 ปี

เมื่อผ่านทั้ง 3 level ถึงจะเป็น CFA Chartered holder ได้
โดยต้องมีประสบการณ์ทำงานในสายลงทุนและการเงินมาอย่างน้อย 4 ปี
(ตัวแทนประกันไม่ได้นะครับ)

ถ้าน้อง ไม่ได้อยากเป็นนักวิเคราะห์ CFA ก็อาจจะเกินกว่าจำเป็น
ตัวพี่เองสอบก็ไม่ได้จะเน้นไปทำงานสายวิเคราะห์ แต่อยากสอบเอง เพราะอยากมีความรู้

ความดีงามของ CFA และ CFP คือ ผ่านแล้วไปทำงานได้ทุกที่ทั่วโลก
แต่ CFP ต้องไป update ความรู้ด้านภาษีของประเทศนั้นๆ ที่ไม่เหมือนในไทย

ถ้าแค่อยากเข้าใจผลิตภัณฑ์การลงทุนนั้นๆ ให้ลองศึกษา module 1-module 2 ของ CFP ก็ได้ครับ
น่าจะได้ความรู้เรื่องการคิดเรื่องผลตอบแทน และการให้เงินทำงานในแต่ละช่วงเวลา

คิดว่าน่าจะตอบได้ทุกนะครับ
สงสัยอะไร ทักมาก็ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่