คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 30
เอางี้ครับ
มาดูอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหนี้แต่ละรายกันดีกว่า
ไล่ตั้งแต่ดอกเบี้ยแรงสุด ไปหาอ่อนสุด
1. เจ้าหนี้บัตรกดเงินสด หรือบัตรสินเชื่อบุคคล ถ้าไม่ชำระเต็มจำนวน คือ ชำระขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย 28% ทบต้นทบดอก
2. เจ้าหนี้บัตรเครดิต ถ้าไม่ชำระเต็มจำนวน คือ ชำระขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย 20% ทบต้นทบดอก
เจ้าหนี้บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิต มีค่าติดตามทวงถาม อีกครั้งละ 260 บาท + VAT 7% =278.20 บาท
3. เงินกู้ธนาคาร/สินเชื่อเคหะ ผ่อนบ้าน/คอนโด อัตราดอกเบี้ย MLR แล้วแต่ธนาคาร มีตั้งแต่ 6.75 - 7.40% ลดต้นลดดอก
จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยธนาคารต่ำกว่าบัตรกดเงินสดและบัตรเครดิตมากกกก...
จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้ชำระหนี้บัตรให้หมดโดยเร็ว และต้องหยุดก่อหนี้บัตรทันที ตัดบัตรทิ้งไปเลยได้ยิ่งดี
มีหนังสือของฝรั่งเขียน เค้าเรียกบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ว่า "บัตรหนี้สิน" ครับ
ส่วนการหยุดชำระหนี้บัตร แล้วรอเจ้าหนี้ฟ้องศาลเพื่อประนอมหนี้ ขอบอกว่า ไม่สามารถประนอมหนี้ได้ทุกบัตรนะครับ
คนใกล้ตัวผมเจอมาแล้ว คือ บัตรกดเงินสด UOB ซึ่งก็รวมทั้งบัตรเครดิต UOB ด้วย
และการหยุดชำระหนี้บัตร มันไม่ได้หยุดดอกเบี้ยนะครับ ดอกเบี้ยมันยังคงบานสะพรั่งต่อไป ไม่หยุด
ซึ่งมันจะท่วมเงินต้นได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ตามความแรงของอัตราดอกเบี้ยครับ
กรณีคำนวณได้ด้วย กฎ 72 คือ เอา 72 ตั้ง หารด้วยอัตราดอกเบี้ย ผลลัพธ์คือระยะเวลา(ปี) ที่ดอกเบี้ยจะบานเท่าเงินต้น
บัตรกดเงินสด 28% เอา 72 ตั้ง หารด้วย 28 = 2.57
ถ้าคุณหยุดชำระหนี้บัตรกดเงินสด เพียง 2 ปีครึ่ง ดอกเบี้ยจะท่วมเงินต้น
เช่น เงินต้น 50,000 บาท ดอกเบี้ยก็จะบานเป็น 50,000 บาท รวมเป็นหนี้จำนวน 100,000 บาท ในเวลาเีพียง 2 ปีครึ้งเ่ท่านั้น
บัตรเครดิต 20% เอา 72 ตั้ง หารด้วย 20 = 3.6
ถ้าคุณหยุดชำระหนี้บัตรเครดิต เพียง 3 ปีครึ่ง ดอกเบี้ยจะท่วมเงินต้นเช่นเดียวกันบัตรกดเงินสด
นี่จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้โอนหนี้ไปเป็นเงินกู้ธนาคาร ซึ่งจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าบัตรหนี้สินทั้งหลาย
สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้ จขกท. (หรือคนใกล้ตัว) เอาชนะปัญหาหนี้สินไปให้ได้นะครับ
มาดูอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหนี้แต่ละรายกันดีกว่า
ไล่ตั้งแต่ดอกเบี้ยแรงสุด ไปหาอ่อนสุด
1. เจ้าหนี้บัตรกดเงินสด หรือบัตรสินเชื่อบุคคล ถ้าไม่ชำระเต็มจำนวน คือ ชำระขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย 28% ทบต้นทบดอก
2. เจ้าหนี้บัตรเครดิต ถ้าไม่ชำระเต็มจำนวน คือ ชำระขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย 20% ทบต้นทบดอก
เจ้าหนี้บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิต มีค่าติดตามทวงถาม อีกครั้งละ 260 บาท + VAT 7% =278.20 บาท
3. เงินกู้ธนาคาร/สินเชื่อเคหะ ผ่อนบ้าน/คอนโด อัตราดอกเบี้ย MLR แล้วแต่ธนาคาร มีตั้งแต่ 6.75 - 7.40% ลดต้นลดดอก
จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยธนาคารต่ำกว่าบัตรกดเงินสดและบัตรเครดิตมากกกก...
จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้ชำระหนี้บัตรให้หมดโดยเร็ว และต้องหยุดก่อหนี้บัตรทันที ตัดบัตรทิ้งไปเลยได้ยิ่งดี
มีหนังสือของฝรั่งเขียน เค้าเรียกบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ว่า "บัตรหนี้สิน" ครับ
ส่วนการหยุดชำระหนี้บัตร แล้วรอเจ้าหนี้ฟ้องศาลเพื่อประนอมหนี้ ขอบอกว่า ไม่สามารถประนอมหนี้ได้ทุกบัตรนะครับ
คนใกล้ตัวผมเจอมาแล้ว คือ บัตรกดเงินสด UOB ซึ่งก็รวมทั้งบัตรเครดิต UOB ด้วย
และการหยุดชำระหนี้บัตร มันไม่ได้หยุดดอกเบี้ยนะครับ ดอกเบี้ยมันยังคงบานสะพรั่งต่อไป ไม่หยุด
ซึ่งมันจะท่วมเงินต้นได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ตามความแรงของอัตราดอกเบี้ยครับ
กรณีคำนวณได้ด้วย กฎ 72 คือ เอา 72 ตั้ง หารด้วยอัตราดอกเบี้ย ผลลัพธ์คือระยะเวลา(ปี) ที่ดอกเบี้ยจะบานเท่าเงินต้น
บัตรกดเงินสด 28% เอา 72 ตั้ง หารด้วย 28 = 2.57
ถ้าคุณหยุดชำระหนี้บัตรกดเงินสด เพียง 2 ปีครึ่ง ดอกเบี้ยจะท่วมเงินต้น
เช่น เงินต้น 50,000 บาท ดอกเบี้ยก็จะบานเป็น 50,000 บาท รวมเป็นหนี้จำนวน 100,000 บาท ในเวลาเีพียง 2 ปีครึ้งเ่ท่านั้น
บัตรเครดิต 20% เอา 72 ตั้ง หารด้วย 20 = 3.6
ถ้าคุณหยุดชำระหนี้บัตรเครดิต เพียง 3 ปีครึ่ง ดอกเบี้ยจะท่วมเงินต้นเช่นเดียวกันบัตรกดเงินสด
นี่จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้โอนหนี้ไปเป็นเงินกู้ธนาคาร ซึ่งจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าบัตรหนี้สินทั้งหลาย
สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้ จขกท. (หรือคนใกล้ตัว) เอาชนะปัญหาหนี้สินไปให้ได้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
ถ้าคุณเป็น "หนี้" ขนาดนี้ จะจัดการ มันยังไงคะ
เงินพิเศษ ค่าคอมฯ อีก ปีละประมาณ 50,000 หรือมากกว่า แล้วแต่ผลประกอบการ (แต่ไม่เกิน 100,000)
คอนโดฯ ห้อง เล็กๆ 2.2 ล้าน ติดสุขุมวิท + รถไฟฟ้า
หนี้สิน ผ่อนคอนโดฯ + ค่าส่วนกลาง + ค่าน้ำไฟ เดือนละ 20,000
หนี้บัตรเครดิต (เกิดจากหนี้สะสม ตั้งแต่ทำงาน แต่งงาน มีลูก เรียนโทฯต่อ มาดาวน์คอนโดฯ) รวม ณ ปัจจุบัน ประมาณ 300,000
ทุกเดือน ตอนนี้ คือจ่ายแต่ดอกเบี้ย แต่ละบัตร (มี 6 บัตร)
มีรถเก๋ง 1 คัน อายุก็ 10 ปีแล้ว
เพราะเงินเดือนออก ก็ถูกตัดเป็นค่าผ่อนคอนโดฯ ที่เหลือ กิน อยู่ในสังคมเมือง กทม.
ไม่เคยเหลือ ส่งให้ลูก เมีย
แต่หนี้ไม่เคยลด มีแต่เพิ่ม คิดว่า มันจะหมดไปกับอะไร หรือจะแก้ไข อะไรได้บ้างคะ
เริ่มจากตรงไหน ที่จะทำให้คนเป็นหนี้ ยอม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จนปลดหนี้ก้อนนี้ได้คะ
เอาก้อน บัตรเครดิตก่อน พอจะมีวิธีชีแนะมั้ยคะ
ขอบคุณมากคะ