สวัสดีครับ
วันนี้ ผมอยากแชร์ประสบการณ์ ชีวิตส่วนตัว ให้ทุกๆคนได้รู้
โดยมีความคาดหวังว่า จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ คิดอยากจะเป็นนักธุรกิจ
เพื่อเป็นแนวทาง ที่ดีและไม่ดี เพื่อที่จะได้ทำตามในสิ่งที่ดี และไม่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่ดี
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
เพื่อร่วมแชร์ความฝัน
ก่อนอื่น ผมอยากจะขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า
ที่ผมมาเล่านี้ ก็ไม่ใช่ว่าผมประสบความสำเร็จแล้วหรอกครับ
ยังอยู่ในขั้นเริ่มหัดเดินด้วยซ้ำ แต่ก็หวังว่า ข้อมูลต่างๆ จะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนครับ
และตัวผมเอง ก็อยากที่จะฝึกเขียน ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ อีกด้วยครับ
********************************************************************************
ณ บ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี
มีเด็กชายคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น..
เขาถูกเรียกว่า จอห์นนี่
ใครหลายๆคนอาจสงสัยว่า เด็กชายคนนี้ เป็นเด็กต่างเชื้อชาติ หรือว่าเป็นลูกครึ่งหรือไม่
คำตอบก็คือ ไม่ เพราะพ่อและแม่ของจอห์นนี่นั้น เป็นคนไทยแท้ทั้งคู่
ทั้งสองเป็นชาวบ้านทั่วๆไป ทำงานเป็นลูกจ้างบริษัท เงินเดือนไม่ถึง สองหมื่นบาท
ชีวิตในแต่ละวันนั้น ก็จะต้องอยู่แบบพอมีพอกิน ไม่หรูหรา เพื่อที่จะได้มีเงินเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น
จากเด็กน้อยวัยเยาว์ที่ยังเดินเตาะแตะ..
เมื่ออายุย่างเข้าสามขวบ จอห์นนี่ก็ถูกส่งเข้าไปเรียน ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
จอห์นนี่เป็นเด็กที่หัวไว มีไหวพริบดีพอสมควร คุณครูประจำชั้นจึงชอบมอบหมายหน้าที่
ให้จอห์นนี่ได้เป็นหัวหน้าห้อง คอยดูแลเพื่อนๆ เวลาที่เดินแถว เวลาที่ลงไปรับประทานอาหารกลางวัน
และเมื่ออิ่มในมื้อกลางวันเรียบร้อยๆ เด็กๆทุกคนก็จะขึ้นไปนอนกลางวันกัน ที่ห้องเรียน
ต่างคน ก็เปิดตู้เก็บของที่อยู่ที่กำแพงของห้อง เพื่อหยิบผืนที่นอนที่ม้วนเก็บเอาไว้อย่างดี
มากางออก ลงบนพื้นห้องที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันที่ได้รับการดูแลความสะอาดอย่างดี
จากนั้น ก็วางหมอนใบเล็กๆ ขนาดกระทัดรัดและน่ารักลงไป
แล้วเด็กทุกคน เอนตัวลงนอน และหลับปุ๋ยตามๆกันไป... z z Z Z
แต่แล้ว !!
ก็มีเด็กชายคนหนึ่งลุกขึ้นนั่ง ใช่แล้วจอห์นนี่นั่นเอง
เขามองซ้ายที มองขวาที
เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน..
เพื่อนๆ ก็ต่างนอนกันหมด ไม่มีใครเล่นด้วย
จอห์นนี่เป็นเด็กที่ไม่ชอบนอนกลางวัน เพราะเขารู้สึกว่า
ทำไมถึงต้องนอนกลางวัน ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย
ตลอดระยะเวลาหกปี ตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง จนถึงป.สาม
จอห์นนี่เรียนได้เกรด สี่ จุด ศูนย์ ศูนย์ และเป็นที่หนึ่งของห้องมาตลอด
ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าห้องเพื่อคอยดูแลเพื่อนๆ
วันหนึ่งขณะที่จอห์นนี่เรียนอยู่ในระดับชั้น ป.สาม
ก็ได้เกิดเหตุโกลาหลขึ้นไปทั่ว มีข่าวหนาหูกันว่าเกิดเหตุโรงกลั่นน้ำมันระเบิด
ซึ่งโรงกลั่นนั้น อยู่ห่างไกลออกไปพอสมควร
แต่เด็กๆ หลายคนรู้สึกหวาดกลัว ต่างเฝ้ารอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน เพื่อให้อบอุ่นใจ
จอห์นนี่ก็เป็นเป็นหนึ่งในนั้น เขาเอาแต่เฝ้ารอว่าเมื่อไรคุณพ่อจะมารับกลับบ้าน
รู้สึกหวาดกลัวถึงอันตราย ครุ่นคิดอยู่ในใจเพียงว่า
วันนี้จะได้เจอหน้าคุณพ่อ คุณแม่อีกไหม
ระเบิด ระเบิดมันจะน่ากลัวและรุนแรงขนาดไหน อยากกลับบ้านจังเลย
แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีเด็กๆอีกกลุ่มหนึ่ง ต่างยังคงวิ่งเล่นไล่จับกันไปรอบๆห้อง
อย่างไม่รู้สึกกลัวอันตรายใดๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จอห์นนี่จึงสงสัยว่า ทำไมกัน ทำไมพวกแกถึงไม่กลัวอะไรกันเลย
หลังจากเวลาผ่านไป สองชั่วโมง คุณพ่อก็ได้มารับจอห์นนี่กลับบ้าน
เมื่อเวลาผ่านไป จอห์นนี่ก็กลับมานั่งคิดทบทวนว่า
ในวันนั้นเหตุใด เด็กบางคนกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว
แล้วก็พบคำตอบว่า
บางครั้ง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
มันก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา ต่อให้กังวลอะไรมากไป ก็ไม่ได้ช่วยให้มันดีขึ้น
เพียงแค่อดทน รอเวลาให้มันผ่านไป.. แล้วมันดีจะเอง
ช่วงเวลาต่อมาแห่งการเรียนรู้ของจอห์นนี่
ก็คือ การได้พบกับชีวิตของการเป็นผู้แพ้ในการแข่งขัน
นั่นคือ ตอนที่เข้าเรียนในระดับประถมปลาย คือ ประถมศึกษาปีที่สี่จนถึงประถมศึกษาปีที่หก
ทางโรงเรียนได้มีการคัดแยกและแบ่งเด็กๆออกเป็นหลายระดับ
จอห์นนี่ได้ถูกส่งตัวไปเรียนอยู่ห้องคิง
จากเด็กน้อยที่เป็นที่หนึ่ง ตอนนี้กลับรู้สึกตัวเล็กเหลือเกิน
ทำไมเพื่อนคนนั้นก็เก่ง เพื่อนคนนี้ก็ฉลาด
ไม่มีอะไรไปสู้เขาเลย
ณ ตอนนั้นก็เริ่มได้เรียนรู้รสชาติของความพ่ายแพ้ ความอ่อนหัดของตัวเอง
บางคนก็สอบเข้าเรียนมาจากโรงเรียนอื่นๆ เพื่อมาเรียนต่อที่นี่
บางคนเก่งภาษาอังกฤษมากๆ มีความขยันท่องศัพท์
บางคนเก่งคณิตศาสตร์หัวไวราวกับคนอัจฉริยะ
ช่วงเวลานี้ จากจอห์นนี่ผู้เป็นที่หนึ่ง คนที่เป็นผู้นำมาตลอด
กลับร่วงลงมา จนอยู่ในระดับกลางๆของห้อง
และยอมรับกับความเก่งกาจของเพื่อนแนวหน้า
เมื่อโตขึ้นย่างเข้าสู่วัยรุ่นชีวิตเด็ก ม.ต้น
จอห์นนี่และเพื่อนๆห้องคิง ก็ยังคงเรียนอยู่ด้วยกันทั้งหมดทุกคน
อาจมีบ้างบางคนก็หายไป เนื่องจากต้องย้ายโรงเรียนตามพ่อกับแม่ไปอยู่ที่อื่น
ในช่วงชีวิตม.ต้น จอห์นนี่เริ่มจริงจังกับการหันมาพัฒนาตัวเองมากขึ้น
เพราะรู้สึกว่า หากเราต้องยอมแพ้เพียงเท่านี้ ต่อไปเราก็คงทำอะไรได้ไม่ดีไปกว่านี้
บวกกับสังคมเพื่อนๆที่มีความขยันหมั่นเพียรกันมากมาย
จอห์นนี่และเพื่อนๆ ก็เริ่มได้เรียนพิเศษในรายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่ยาก
จนสุดท้าย จอห์นนี่ก็สามารถทำคะแนนออกได้ดีในระดับหนึ่ง
ช่วงเวลาสามปีของม.ต้น จอห์นนี่ผู้ไม่ยอมแพ้
ก็ได้มีความขยันและตั้งใจเรียนมากขึ้น เพื่อที่จะได้เกรดดีๆให้คุณพ่อคุณแม่ได้ภูมิใจ
จนสุดท้าย ณ วันที่จบการศึกษามัธยมสาม
จอห์นนี่ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สองของห้องเรียน ด้วยเกรด สาม จุด เก้า แปด
แม้จะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่จอห์นนี่กลับได้รู้สึกถึงชัยชนะอีกครั้ง
ด้วยความเพียรและพยายามอย่างไม่ยอมแพ้ จึงก้าวมาได้ถึงจุดนี้
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อที่ว่า
"ความพยายาม จะบันดาลความสำเร็จมาให้"
[จบตอนที่ 1]
********************************************************************
กว่าจะเป็น JOHNNY STORE
วันนี้ ผมอยากแชร์ประสบการณ์ ชีวิตส่วนตัว ให้ทุกๆคนได้รู้
โดยมีความคาดหวังว่า จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ คิดอยากจะเป็นนักธุรกิจ
เพื่อเป็นแนวทาง ที่ดีและไม่ดี เพื่อที่จะได้ทำตามในสิ่งที่ดี และไม่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่ดี
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
เพื่อร่วมแชร์ความฝัน
ก่อนอื่น ผมอยากจะขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า
ที่ผมมาเล่านี้ ก็ไม่ใช่ว่าผมประสบความสำเร็จแล้วหรอกครับ
ยังอยู่ในขั้นเริ่มหัดเดินด้วยซ้ำ แต่ก็หวังว่า ข้อมูลต่างๆ จะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนครับ
และตัวผมเอง ก็อยากที่จะฝึกเขียน ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ อีกด้วยครับ
********************************************************************************
ณ บ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี
มีเด็กชายคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น..
เขาถูกเรียกว่า จอห์นนี่
ใครหลายๆคนอาจสงสัยว่า เด็กชายคนนี้ เป็นเด็กต่างเชื้อชาติ หรือว่าเป็นลูกครึ่งหรือไม่
คำตอบก็คือ ไม่ เพราะพ่อและแม่ของจอห์นนี่นั้น เป็นคนไทยแท้ทั้งคู่
ทั้งสองเป็นชาวบ้านทั่วๆไป ทำงานเป็นลูกจ้างบริษัท เงินเดือนไม่ถึง สองหมื่นบาท
ชีวิตในแต่ละวันนั้น ก็จะต้องอยู่แบบพอมีพอกิน ไม่หรูหรา เพื่อที่จะได้มีเงินเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น
จากเด็กน้อยวัยเยาว์ที่ยังเดินเตาะแตะ..
เมื่ออายุย่างเข้าสามขวบ จอห์นนี่ก็ถูกส่งเข้าไปเรียน ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
จอห์นนี่เป็นเด็กที่หัวไว มีไหวพริบดีพอสมควร คุณครูประจำชั้นจึงชอบมอบหมายหน้าที่
ให้จอห์นนี่ได้เป็นหัวหน้าห้อง คอยดูแลเพื่อนๆ เวลาที่เดินแถว เวลาที่ลงไปรับประทานอาหารกลางวัน
และเมื่ออิ่มในมื้อกลางวันเรียบร้อยๆ เด็กๆทุกคนก็จะขึ้นไปนอนกลางวันกัน ที่ห้องเรียน
ต่างคน ก็เปิดตู้เก็บของที่อยู่ที่กำแพงของห้อง เพื่อหยิบผืนที่นอนที่ม้วนเก็บเอาไว้อย่างดี
มากางออก ลงบนพื้นห้องที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันที่ได้รับการดูแลความสะอาดอย่างดี
จากนั้น ก็วางหมอนใบเล็กๆ ขนาดกระทัดรัดและน่ารักลงไป
แล้วเด็กทุกคน เอนตัวลงนอน และหลับปุ๋ยตามๆกันไป... z z Z Z
แต่แล้ว !!
ก็มีเด็กชายคนหนึ่งลุกขึ้นนั่ง ใช่แล้วจอห์นนี่นั่นเอง
เขามองซ้ายที มองขวาที
เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน..
เพื่อนๆ ก็ต่างนอนกันหมด ไม่มีใครเล่นด้วย
จอห์นนี่เป็นเด็กที่ไม่ชอบนอนกลางวัน เพราะเขารู้สึกว่า
ทำไมถึงต้องนอนกลางวัน ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย
ตลอดระยะเวลาหกปี ตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง จนถึงป.สาม
จอห์นนี่เรียนได้เกรด สี่ จุด ศูนย์ ศูนย์ และเป็นที่หนึ่งของห้องมาตลอด
ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าห้องเพื่อคอยดูแลเพื่อนๆ
วันหนึ่งขณะที่จอห์นนี่เรียนอยู่ในระดับชั้น ป.สาม
ก็ได้เกิดเหตุโกลาหลขึ้นไปทั่ว มีข่าวหนาหูกันว่าเกิดเหตุโรงกลั่นน้ำมันระเบิด
ซึ่งโรงกลั่นนั้น อยู่ห่างไกลออกไปพอสมควร
แต่เด็กๆ หลายคนรู้สึกหวาดกลัว ต่างเฝ้ารอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน เพื่อให้อบอุ่นใจ
จอห์นนี่ก็เป็นเป็นหนึ่งในนั้น เขาเอาแต่เฝ้ารอว่าเมื่อไรคุณพ่อจะมารับกลับบ้าน
รู้สึกหวาดกลัวถึงอันตราย ครุ่นคิดอยู่ในใจเพียงว่า
วันนี้จะได้เจอหน้าคุณพ่อ คุณแม่อีกไหม
ระเบิด ระเบิดมันจะน่ากลัวและรุนแรงขนาดไหน อยากกลับบ้านจังเลย
แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีเด็กๆอีกกลุ่มหนึ่ง ต่างยังคงวิ่งเล่นไล่จับกันไปรอบๆห้อง
อย่างไม่รู้สึกกลัวอันตรายใดๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จอห์นนี่จึงสงสัยว่า ทำไมกัน ทำไมพวกแกถึงไม่กลัวอะไรกันเลย
หลังจากเวลาผ่านไป สองชั่วโมง คุณพ่อก็ได้มารับจอห์นนี่กลับบ้าน
เมื่อเวลาผ่านไป จอห์นนี่ก็กลับมานั่งคิดทบทวนว่า
ในวันนั้นเหตุใด เด็กบางคนกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว
แล้วก็พบคำตอบว่า
บางครั้ง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
มันก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา ต่อให้กังวลอะไรมากไป ก็ไม่ได้ช่วยให้มันดีขึ้น
เพียงแค่อดทน รอเวลาให้มันผ่านไป.. แล้วมันดีจะเอง
ช่วงเวลาต่อมาแห่งการเรียนรู้ของจอห์นนี่
ก็คือ การได้พบกับชีวิตของการเป็นผู้แพ้ในการแข่งขัน
นั่นคือ ตอนที่เข้าเรียนในระดับประถมปลาย คือ ประถมศึกษาปีที่สี่จนถึงประถมศึกษาปีที่หก
ทางโรงเรียนได้มีการคัดแยกและแบ่งเด็กๆออกเป็นหลายระดับ
จอห์นนี่ได้ถูกส่งตัวไปเรียนอยู่ห้องคิง
จากเด็กน้อยที่เป็นที่หนึ่ง ตอนนี้กลับรู้สึกตัวเล็กเหลือเกิน
ทำไมเพื่อนคนนั้นก็เก่ง เพื่อนคนนี้ก็ฉลาด
ไม่มีอะไรไปสู้เขาเลย
ณ ตอนนั้นก็เริ่มได้เรียนรู้รสชาติของความพ่ายแพ้ ความอ่อนหัดของตัวเอง
บางคนก็สอบเข้าเรียนมาจากโรงเรียนอื่นๆ เพื่อมาเรียนต่อที่นี่
บางคนเก่งภาษาอังกฤษมากๆ มีความขยันท่องศัพท์
บางคนเก่งคณิตศาสตร์หัวไวราวกับคนอัจฉริยะ
ช่วงเวลานี้ จากจอห์นนี่ผู้เป็นที่หนึ่ง คนที่เป็นผู้นำมาตลอด
กลับร่วงลงมา จนอยู่ในระดับกลางๆของห้อง
และยอมรับกับความเก่งกาจของเพื่อนแนวหน้า
เมื่อโตขึ้นย่างเข้าสู่วัยรุ่นชีวิตเด็ก ม.ต้น
จอห์นนี่และเพื่อนๆห้องคิง ก็ยังคงเรียนอยู่ด้วยกันทั้งหมดทุกคน
อาจมีบ้างบางคนก็หายไป เนื่องจากต้องย้ายโรงเรียนตามพ่อกับแม่ไปอยู่ที่อื่น
ในช่วงชีวิตม.ต้น จอห์นนี่เริ่มจริงจังกับการหันมาพัฒนาตัวเองมากขึ้น
เพราะรู้สึกว่า หากเราต้องยอมแพ้เพียงเท่านี้ ต่อไปเราก็คงทำอะไรได้ไม่ดีไปกว่านี้
บวกกับสังคมเพื่อนๆที่มีความขยันหมั่นเพียรกันมากมาย
จอห์นนี่และเพื่อนๆ ก็เริ่มได้เรียนพิเศษในรายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่ยาก
จนสุดท้าย จอห์นนี่ก็สามารถทำคะแนนออกได้ดีในระดับหนึ่ง
ช่วงเวลาสามปีของม.ต้น จอห์นนี่ผู้ไม่ยอมแพ้
ก็ได้มีความขยันและตั้งใจเรียนมากขึ้น เพื่อที่จะได้เกรดดีๆให้คุณพ่อคุณแม่ได้ภูมิใจ
จนสุดท้าย ณ วันที่จบการศึกษามัธยมสาม
จอห์นนี่ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สองของห้องเรียน ด้วยเกรด สาม จุด เก้า แปด
แม้จะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่จอห์นนี่กลับได้รู้สึกถึงชัยชนะอีกครั้ง
ด้วยความเพียรและพยายามอย่างไม่ยอมแพ้ จึงก้าวมาได้ถึงจุดนี้
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อที่ว่า
"ความพยายาม จะบันดาลความสำเร็จมาให้"
[จบตอนที่ 1]
********************************************************************