วันนี้อยู่บ้านพักผ่อน เปิดเจอกระทู้เรื่องการลุกให้นั่งระหว่างการเดินทาง
ว่างๆ ก็เลยอยากเล่าในมุมของ ผู้ชายคนนึง ว่าเขามีมุมมองอย่างไรในการพิจารณาลุกให้ใครนั่ง
ผมอาจจะต้องเล่าลงลึกละเอียดหน่อย จะได้เข้าใจกันไปเลยไม่ปิดบัง
เอาช่วงแรกสมัย 10 ปีก่อนหน้านี้
ด้วยความคิดว่าเรา ต้องแสดงความเอื้อเฟื้อ ให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ จึงเป็นที่มาของความคิดว่า
เราจะช่วยเหลือทุกคนที่เหมือนกับว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ
ดังนั้น ไม่ว่า เด็ก คนท้อง คนแก่ คนพิการ ถ้าลองได้เห็น จะดีใจมากรีบกวักมือให้มานั่ง พอได้ทำ ก็ยิ้มในใจมีความสุข ที่ตัวเองได้ทำดี
พูดง่ายๆ อีกแบบ
เปรียบไปฉากหน้าก็เหมือนได้ทำเพื่อคนอื่น แต่ที่แท้ก็เหมือนทำเพื่อตัวเอง สนอง need ตัวเอง (ความภูมิใจในตัวเอง หรือ ยกย่องตัวเอง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จะบอกว่าความต้องการยกย่องตัวเองนี้มาจากไหน ถ้าสืบลึกย้อนไป คงจะมาจากคำสอนของพ่อแม่ ครู และโรงเรียนปลูกฝังมาว่า สิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของคนเราคือ คุณธรรม
เงินทองมีติดตัวก็โดนปล้นชิง ความรู้มีไว้ใช้ในทางมิชอบก็เกิดหายนะ แต่คุณธรรมจะชักนำพาชีวิตให้สูงขึ้น
อีกคำสอนของพ่อแม่คือ พ่อแม่ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรจะให้ ความรู้อะไรก็ไม่มีจะสอนให้ แต่มีอย่างเดียวคือจะสอนให้เป็นคนดี
คงจะเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ละมั้ง ที่ทำให้เราเป็นอย่างนั้น คิดอย่างนั้น
แต่ที่สำคัญที่จะบอกคือ ผมตีความว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลือ นอกจาก เด็ก คนท้อง คนแก่ คนพิการ
ผมยังรวมถึง ผู้หญิงทุกคน ไปด้วย
สาเหตุไม่ใช่เพราะ ผู้หญิงคือคนที่อ่อนแอ หรือผู้ชายเข้มแข็งกว่า
แต่เป็นเพราะผู้ชายมีหน้าที่ปกป้องผู้หญิง
สองประโยคนี้ต่างกันนะครับ เราผู้ชายมีหน้าที่ปกป้องผู้หญิง เพราะเราถูกสอนให้เป็นอย่างนั้น
แต่เคารพในความเข้มแข็งของเธอเหล่านั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนเด็กๆ ผมคิดว่าผู้หญิงเข้มแข็งกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงอั้นฉี่เก่งกว่าผู้ชายและผู้หญิงต้องเจ็บจิ๊ตอนคลอดลูก
การเอื่อเฟื้อ เสียสละที่นั่ง ให้ผู้หญิง จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผมภูมิใจมากเช่นกัน ไม่แพ้ เด็ก คนท้อง คนแก่ คนพิการ
แน่นอนว่าที่ผ่านมานั้นไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะนั่งตามที่เสนอ
เธอเหล่านั้นหลายคนปฏิเสธ
แต่เป็นการปฏิเสธให้รู้สึกว่า อ๋อ..เธอจะลงแล้ว
หรือบางทีก็บอกไม่เป็นไร เพราะเห็นเราถือของหนักมาเยอะ และเธออาจจะคิดว่าเธอไม่ลำบากอะไร
บางคนก็แค่ขอให้เรายื่นมือให้เธอจับไว้ หรือขออนุญาตจับหัวไหล่เราแทน
บางคนไม่ได้นั่งแต่ก็ได้คุยกันเป็นเพื่อนร่วมทาง
มันก็เป็นความรู้สึกดีๆ
จนกระทั่ง
.
.
.
ช่วงหลังมานี้
บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิม
เอาประสบการณ์ตรงก่อนคือ
จากเดิมที่เคยลุกให้นั่ง กลับได้รับการแสดงออกที่แปลกไป
เช่น ไม่มีการตอบรับ หรือปฏิเสธ บางคนไม่นั่ง ก็ไม่สนใจตอบกลับ บางคนนั่ง ก็ไม่สนใจขอบคุณ (เธอคงจะคิดว่าเรากำลังจะลงมั้ง)
ที่หนักขึ้นคือ ผมเห็นผู้หญิงหลายคน หลายครั้ง ย้ำว่า หลายครั้ง
เธอเหล่านั้นบางทีเห็นที่ว่างก็ปรี่เข้าไปแย่งนั่งทั้งๆที่ มีคนแก่กำลังจะตรงไปนั่ง เมื่อนั่งแล้วก็ก้มหน้ากดโทรศัทท์เหมือนตัดตัวเองเข้าสู่โลกส่วนตัว
แม้จะเป็นคนส่วนน้อยที่อาจจะน้อยมากๆ แต่มันส่งผลต่อผมอย่างมากซึ่งผมจะอธิบายในตอนท้าย
บางกรณีที่หนักขึ้นคือ การปฏิเสธ แบบเราไม่ควรดูถูกเธอ อันนี้ผมอาจจะผิดเองที่แยกแยะไม่ออกระหว่าง คนท้องกับคนอ้วน หญิงแก่กับหญิงวัยทำงาน
ถ้าคุณได้เห็นสีหน้าตอนเธอรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเหยียดหยาม แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นตำหนิต่อว่าและโกรธเรามากมาย
ผมเชื่อเลยว่าคุณต้องเป๋ไปพอสมควรกับ สายตาตัวเอง ว่าเฮ้ยย นี่กรู กำลังด่าเจ๊คนนั้นว่า นังอ้วน เหรอ (ผมเดาคำด่าในความคิดเธอ)
หรือล่าสุดเมื่อสองวันก่อน ผมลุกให้หญิงคนนึงใส่ชุดไทยแบบที่ผู้หญิงอาวุโสใกล้เกษียณใส่มาทำงานกัน เธอดูอ้วนๆ อายุก็คงจะใกล้ๆ 55-60
เธอชักสีหน้าท่าทางสายศีรษะส่งสายตาจิกๆ ฟ้องโลกว่า "ไม่นะ ชั้นยังไม่แก่!!! แกเป็นบ้าอะไรมาลุกให้ชั้นนั่งเนี่ย ชั้นแค่ 40 เองนะย่ะ (จริงๆ เธออาจจะอายุ 45-48 แต่เธอคิดว่าเธอสาวกว่านั้น)"
ผมอึ้ง
นึกด่าตัวเองในใจ เราทำร้ายเขาใช่ไหมเนี่ย
ช่วงหลังมานี้ผมสงสัยในมาตรวัดตัวเองในการประเมิน "คนที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือ ควรได้รับการปกป้อง" เปลี่ยนไป
ยุคสมัยเปลี่ยน ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ไม่ต้องการความช่วยเหลืออีกแล้ว
หลายคนพร้อมยืนหยัดต่อสู้ ไม่ว่าเพื่อสิทธิเท่าเทียม เพื่อแสดงออกถึงความสาว สวย แข็งแรง มีคุณค่า
หรือบางคนไม่ปรารถนารับความหวังดีจากคนแปลกหน้า โลกของฉันคือฉันกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉัน เกินกว่า 1 เมตรคือความแปลกของโลกภายนอกที่ฉันไม่รับรู้
แต่ที่รุนแรงที่สุดต่อจิตใจคือ
ผู้หญิงคนที่แย่งชิงที่นั่ง โดยไม่สนใจว่ามีใครต้องการมันมากกว่า หรือสมควรได้รับมากกว่า
ทำให้ผมมองบทบาทผู้หญิง "แปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก" เปลี่ยนไป
นอกเหนือจากคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ตัวผมก็ยังเอื้อเฟื้อเพราะเราถือว่าเราเป็นสุภาพบุรุษต้องปกป้องผู้หญิง
แต่ผู้ญิงที่เราอยากปกป้อง ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนอีกต่อไปแล้ว
เขียนมาถึงตรงนี้ ก็หวังว่าจะเข้าใจในมุมมองบางด้านที่อยากเล่าให้ฟัง
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคือ
ผมเชื่อว่า มิตรภาพระหว่างการเดินทางนั้นยังคงอยู่ ผมเองก็ยังพร้อมจะช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ เหมือนเดิม 100%
แต่การเปลี่ยนไปของสังคม ก็เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้และเราต้องปรับตัว
ขอแค่เรายื่นมือข้างหนึ่งออกมาแล้วจับมืออีกข้างที่กำลังยื่นมาหาเราไว้
หากผู้หญิงคนไหน อยากได้ที่นั่ง พยายามมองหาหนุ่มหน้าตาซื่อบื้อคนนึงที่พยายามค้นหาว่าคุณกำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า
เขารอที่กำลังจะ eye contact และลุกให้คุณอย่างภาคภูมิ
ถ้าไม่เจอเขา ขอได้อย่าสิ้นหวัง ผมเชื่อว่าผู้ชายแบบเขายังมีอีกมากและเป็นคนส่วนใหญ่
ขออย่าให้คนส่วนน้อยของทั้งสองฝั่ง มาทำให้เราไม่กล้ายื่นมือมาหากันและกันเลย
ทำไมถึงจะต้องลุกให้ผู้หญิงนั่ง?
ว่างๆ ก็เลยอยากเล่าในมุมของ ผู้ชายคนนึง ว่าเขามีมุมมองอย่างไรในการพิจารณาลุกให้ใครนั่ง
ผมอาจจะต้องเล่าลงลึกละเอียดหน่อย จะได้เข้าใจกันไปเลยไม่ปิดบัง
เอาช่วงแรกสมัย 10 ปีก่อนหน้านี้
ด้วยความคิดว่าเรา ต้องแสดงความเอื้อเฟื้อ ให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ จึงเป็นที่มาของความคิดว่า
เราจะช่วยเหลือทุกคนที่เหมือนกับว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ
ดังนั้น ไม่ว่า เด็ก คนท้อง คนแก่ คนพิการ ถ้าลองได้เห็น จะดีใจมากรีบกวักมือให้มานั่ง พอได้ทำ ก็ยิ้มในใจมีความสุข ที่ตัวเองได้ทำดี
พูดง่ายๆ อีกแบบ
เปรียบไปฉากหน้าก็เหมือนได้ทำเพื่อคนอื่น แต่ที่แท้ก็เหมือนทำเพื่อตัวเอง สนอง need ตัวเอง (ความภูมิใจในตัวเอง หรือ ยกย่องตัวเอง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คงจะเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ละมั้ง ที่ทำให้เราเป็นอย่างนั้น คิดอย่างนั้น
แต่ที่สำคัญที่จะบอกคือ ผมตีความว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลือ นอกจาก เด็ก คนท้อง คนแก่ คนพิการ
ผมยังรวมถึง ผู้หญิงทุกคน ไปด้วย
สาเหตุไม่ใช่เพราะ ผู้หญิงคือคนที่อ่อนแอ หรือผู้ชายเข้มแข็งกว่า
แต่เป็นเพราะผู้ชายมีหน้าที่ปกป้องผู้หญิง
สองประโยคนี้ต่างกันนะครับ เราผู้ชายมีหน้าที่ปกป้องผู้หญิง เพราะเราถูกสอนให้เป็นอย่างนั้น
แต่เคารพในความเข้มแข็งของเธอเหล่านั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การเอื่อเฟื้อ เสียสละที่นั่ง ให้ผู้หญิง จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผมภูมิใจมากเช่นกัน ไม่แพ้ เด็ก คนท้อง คนแก่ คนพิการ
แน่นอนว่าที่ผ่านมานั้นไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะนั่งตามที่เสนอ
เธอเหล่านั้นหลายคนปฏิเสธ
แต่เป็นการปฏิเสธให้รู้สึกว่า อ๋อ..เธอจะลงแล้ว
หรือบางทีก็บอกไม่เป็นไร เพราะเห็นเราถือของหนักมาเยอะ และเธออาจจะคิดว่าเธอไม่ลำบากอะไร
บางคนก็แค่ขอให้เรายื่นมือให้เธอจับไว้ หรือขออนุญาตจับหัวไหล่เราแทน
บางคนไม่ได้นั่งแต่ก็ได้คุยกันเป็นเพื่อนร่วมทาง
มันก็เป็นความรู้สึกดีๆ
จนกระทั่ง
.
.
.
ช่วงหลังมานี้
บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิม
เอาประสบการณ์ตรงก่อนคือ
จากเดิมที่เคยลุกให้นั่ง กลับได้รับการแสดงออกที่แปลกไป
เช่น ไม่มีการตอบรับ หรือปฏิเสธ บางคนไม่นั่ง ก็ไม่สนใจตอบกลับ บางคนนั่ง ก็ไม่สนใจขอบคุณ (เธอคงจะคิดว่าเรากำลังจะลงมั้ง)
ที่หนักขึ้นคือ ผมเห็นผู้หญิงหลายคน หลายครั้ง ย้ำว่า หลายครั้ง
เธอเหล่านั้นบางทีเห็นที่ว่างก็ปรี่เข้าไปแย่งนั่งทั้งๆที่ มีคนแก่กำลังจะตรงไปนั่ง เมื่อนั่งแล้วก็ก้มหน้ากดโทรศัทท์เหมือนตัดตัวเองเข้าสู่โลกส่วนตัว
แม้จะเป็นคนส่วนน้อยที่อาจจะน้อยมากๆ แต่มันส่งผลต่อผมอย่างมากซึ่งผมจะอธิบายในตอนท้าย
บางกรณีที่หนักขึ้นคือ การปฏิเสธ แบบเราไม่ควรดูถูกเธอ อันนี้ผมอาจจะผิดเองที่แยกแยะไม่ออกระหว่าง คนท้องกับคนอ้วน หญิงแก่กับหญิงวัยทำงาน
ถ้าคุณได้เห็นสีหน้าตอนเธอรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเหยียดหยาม แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นตำหนิต่อว่าและโกรธเรามากมาย
ผมเชื่อเลยว่าคุณต้องเป๋ไปพอสมควรกับ สายตาตัวเอง ว่าเฮ้ยย นี่กรู กำลังด่าเจ๊คนนั้นว่า นังอ้วน เหรอ (ผมเดาคำด่าในความคิดเธอ)
หรือล่าสุดเมื่อสองวันก่อน ผมลุกให้หญิงคนนึงใส่ชุดไทยแบบที่ผู้หญิงอาวุโสใกล้เกษียณใส่มาทำงานกัน เธอดูอ้วนๆ อายุก็คงจะใกล้ๆ 55-60
เธอชักสีหน้าท่าทางสายศีรษะส่งสายตาจิกๆ ฟ้องโลกว่า "ไม่นะ ชั้นยังไม่แก่!!! แกเป็นบ้าอะไรมาลุกให้ชั้นนั่งเนี่ย ชั้นแค่ 40 เองนะย่ะ (จริงๆ เธออาจจะอายุ 45-48 แต่เธอคิดว่าเธอสาวกว่านั้น)"
ผมอึ้ง
นึกด่าตัวเองในใจ เราทำร้ายเขาใช่ไหมเนี่ย
ช่วงหลังมานี้ผมสงสัยในมาตรวัดตัวเองในการประเมิน "คนที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือ ควรได้รับการปกป้อง" เปลี่ยนไป
ยุคสมัยเปลี่ยน ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ไม่ต้องการความช่วยเหลืออีกแล้ว
หลายคนพร้อมยืนหยัดต่อสู้ ไม่ว่าเพื่อสิทธิเท่าเทียม เพื่อแสดงออกถึงความสาว สวย แข็งแรง มีคุณค่า
หรือบางคนไม่ปรารถนารับความหวังดีจากคนแปลกหน้า โลกของฉันคือฉันกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉัน เกินกว่า 1 เมตรคือความแปลกของโลกภายนอกที่ฉันไม่รับรู้
แต่ที่รุนแรงที่สุดต่อจิตใจคือ
ผู้หญิงคนที่แย่งชิงที่นั่ง โดยไม่สนใจว่ามีใครต้องการมันมากกว่า หรือสมควรได้รับมากกว่า
ทำให้ผมมองบทบาทผู้หญิง "แปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก" เปลี่ยนไป
นอกเหนือจากคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ตัวผมก็ยังเอื้อเฟื้อเพราะเราถือว่าเราเป็นสุภาพบุรุษต้องปกป้องผู้หญิง
แต่ผู้ญิงที่เราอยากปกป้อง ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนอีกต่อไปแล้ว
เขียนมาถึงตรงนี้ ก็หวังว่าจะเข้าใจในมุมมองบางด้านที่อยากเล่าให้ฟัง
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคือ
ผมเชื่อว่า มิตรภาพระหว่างการเดินทางนั้นยังคงอยู่ ผมเองก็ยังพร้อมจะช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ เหมือนเดิม 100%
แต่การเปลี่ยนไปของสังคม ก็เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้และเราต้องปรับตัว
ขอแค่เรายื่นมือข้างหนึ่งออกมาแล้วจับมืออีกข้างที่กำลังยื่นมาหาเราไว้
หากผู้หญิงคนไหน อยากได้ที่นั่ง พยายามมองหาหนุ่มหน้าตาซื่อบื้อคนนึงที่พยายามค้นหาว่าคุณกำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า
เขารอที่กำลังจะ eye contact และลุกให้คุณอย่างภาคภูมิ
ถ้าไม่เจอเขา ขอได้อย่าสิ้นหวัง ผมเชื่อว่าผู้ชายแบบเขายังมีอีกมากและเป็นคนส่วนใหญ่
ขออย่าให้คนส่วนน้อยของทั้งสองฝั่ง มาทำให้เราไม่กล้ายื่นมือมาหากันและกันเลย