Darren Aronofsky หนึ่งในผู้กำกับที่นักดูหนังยอมรับในความสามารถ ยิ่งช่วงหลังๆงานยิ่งพีคขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าแปลกที่เราจะตั้งความหวังเอาไว้สูงกับหนังใหม่ของแก Noah คงอารมณ์เดียวกันกับ The Dark Knight Rises ที่คนดูหวังพึ่งชื่อผู้กำกับมากเกินไป แม้ผลงานไม่ได้กับแย่แต่ก็ทำเอาบางคนผิดหวัง
Noah(เนื้อเรื่องคงไม่ต้องบอกเดาได้อยู่แล้ว)เป็นหนังที่มีคุณภาพดีอยู่ในตัวแต่ก็ไม่ได้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมสมกับความคาดหวัง สำหรับตัวผมเข้าไปดูเพราะเห็นคำวิจารณืเป็ฯสองแง่ก็เลยไม่ปักใจอะไรระหว่างดู ในช่วงแรกของหนังค่อยข้างเห็นด้วยว่าเนื้อเรื่องมันช่างไม่เข้มข้นเอาซะเลย ตัวละครก็ค่อนข้างเรียบ การปูเรื่องและการพัฒนาตัวละครไม่ค่อยเข้มข้นและกระชับจนน่าสนใจ ไม่ได้มีอะไรน่าติดตาม ถึงกระนั้น Darren Aronofsky ก็ยังพิสูจน์ว่าตัวเองมีฝือมืออยู่ แม้จะกำกับหนังสเกลใหญ่ได้ไม่น่าประทับใจเท่าที่ควรแต่จังหวะการกำกับและการนำเสนอทำให้หนังไม่น่าเบื่อจนเกินไป ทั้งการถ่ายภาพที่ดูสวยยิ่งใหญ่ เทคนิคลูกเล่นการเล่าเรื่องด้วยภาพ นักแสดงทั้งหลาย ดนตรีประกอบก็ช่วยชีวิตหนังในช่วงแรกนี้ไว้ได้ เอาเป็นว่าอยู่ในระดับที่รับได้กับการได้เห็นผจญภัยเล็กๆ โกเล็มทำศึกกับมนุษย์ จนถึงน้ำท่วมโลก นึกเล่นอยู่ว่าถ้า Peter Jackson มากำกับช่วงนี้คงมันส์อลังการน่าดู
ช่วงสอง Darren Aronofsky เริ่มออกลาย ข้อดีหลายอย่างๆเริ่มโผล่มาให้เห็น จากหนังเรื่องก่อนๆของ Darren มักจะนำเสนอเรื่องราวของการหมกหม่นกับอะไรจนเกินเหตุ การติดยาใน Requiem for a dream การยึกกับอดีตใน The Wrestler การหมกหม่นกับการทำตัวให้เป็นที่หนึ่งใน Black Swan และการหมกหม่เรื่องศาสนาใน Noah ช่วงแรกของหนังที่มีแต่การพูดถึงพระเจ้าผมว่าค่อนข้างน่าเบื่อ เหมือนนั่งฟังบทสวดยังไงยังงั้น แต่ช่วงหลังหนังให้เห็นถึงบางมุมมองในความเชื่อ ในช่วงวิกฤติหลายคนอาจจะหันไปพึงศาสนาที่ช่วยให้ใจเราสงบก็นับว่าเป็นเรื่องดี ในกรณีของโนอาห์คิดว่าตัวเองเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่ของพระเจ้าและต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามพระประสงค์ ความกดดันเริ่มมีแก่ตัวเขา จนเกิดภาพที่คิดว่าตัวเองจะล้มเหลว
เมื่อเป็นเช่นนั้นโนอาห์ยิ่งใส่ใจกับคำสอนและความเชื่อได้เกิดจากภาพต่างที่พระเจ้าให้เห็นหรือแม้แต่ภาพที่เขาอาจจะคิดไปเอง โนอาห์เกิดความเชื่อมนุษย์รวมถึงตัวเขาจะเป็นผู้ทำให้เกิดบาปต่อโลก จากเหตุการณ์รอบตัวที่มีแต่ความโหดร้าย แม้แต่คนในครอบครัวเขาก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาจึงคิดว่ามนุษย์ควรจะสูญสิ้นไปซะ ดูแล้วก็อดนึกถึงป้ามหาภัยใน The Mist กับคุณแมป่วยจิตใน Carrie ไม่ได้ เพราะทั้งคู่ก็ต่างอยู่ในสถานการณลำบากทางจิตใจและหาทางออกด้วยการพึ่งพาความเชื่อศาสนาจนขาดการวิเคราะห์ไตร่ตรองก่อน ใน Noah เขาก็ลืมนึกถึงความรักที่เคยได้มีร่วมกับลูกเมีย ความเอื้อาทรกันของมนุษย์ที่ยังคงมีอยู่ แล้วตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่คำสอนในศาสนาที่จะมาตัดสินอะไรแต่เป็นตัวมนุษย์เองที่จะเลือกฆ่าแกงหรือจะรักและให้อภัยกัน อีกฝั่งหนึ่งก็มีความเชื่อที่แรงกล้า หัวหน้าตัวร้ายที่เชื่อจิตใจของมนุษย์นั่นดำมืดอยู่แล้วและเราไม่ควรจะอดกลั้นอีกต่อไป แต่มันก็เป็นข้ออ้างของไม่ยับยั้งใจของเขา ในตอนท้ายที่เขาเกลี้ยกล่อมลูกชายของโนอาห์ให้ช่วยเหลือเขาจัดการพ่อตัวเอง คำพูดต่างๆดูมีเหตุผลที่เอาเข้าจริงเขาก็สนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง
ตัวละครอื่นอย่างเมียและลูกคนอื่นของโนอาห์ยังอยู่ในด้านดีของมนุษย์อยู่ที่ไม่ได้มีความคิดสุดโต่งอย่างทั้งสองฝ่าย แต่มีตัวละครที่น่าสนใจอย่างฮามที่ต้องเลือกซักทาง พ่อของเขาที่มองว่ามนุษย์เป็นบาปต้องทำลายกับหัวหน้าตัวร้ายที่ว่าความชั่วร้ายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมนุษย์สิ่งที่สำคัญที่ผลที่ตามมา การกระทำของโนอาห์แม้จะดูบริสุทธิ์แต่ก็คร่าหลายชีวิตไป การกระทำของหัวหน้าตัวร้ายแม้ดูโหดเหี้ยมแต่ถ้าเขาทำสำเร็จคนบริสุทธิ์มากมายก็อาจจะรอด ในช่วงโลกแตกแบบนั้นการเชื่ออะไรตามสัญชาตญาณคงจะใช้ไม่ได้ เราคงต้องมองหาที่พึ่งความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งหรืออีกนัยนึงก็คือศาสนา แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้ทางเลือกแค่สองอย่าง เราสามารถทำดีในแบบของเราเองได้
ช่วงท้ายของหนังจึงเป็นช่วงที่เข้มข้นและน่าติดตามมากๆ แต่ผมขัดใจนิดหน่อยตรงที่หนังยืดเยื้อไปในช่วงใกล้และมีบทสรุปของบางตัวละครที่ง่ายไป ในด้านนักแสดงผู้กำกับ Darren ทำให้ทีมนักแสดงรวมกันเป็นหนึ่งไม่มีใครเกินน่าเกินตาใคร เอ็มม่ากับโลกแนที่เมื่อก่อนมองว่าเป็นนักแสดงหน้าตาดีที่ฝือมือยังไม่เท่าไหร่แต่ดูเรื่องนี่แล้วเปลี่ยนใจเชื่อว่าทั้งสองคนอนาคตต้องก้าวไกลแน่ คนที่ปลื้มที่สุดคือ Jennifer Connell เธอกลับมาได้สมศักดิ์ศรีมาก
รวมแล้ว Noah เป็นหนังเนื้อดีที่ยังไม่ลงตัว อาจจะน่าเบื่อหน่อยแต่ดูจากประเด็นหลายอย่างที่ได้ดูผมว่าก็เป็นหนังคุ้มค่าแก่เวลาเรื่องหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับผู้ชมที่ผกความคาดหวังติดตัวมาสูง ทั้งในแง่ของความแอคชั่นหรือการกำกับของ Darren Aronofsky..........(7.5/10)
Noah อะไรยังไง บ้างว่าสนุก บ้างว่าไม่ หาข้อสรุปด้วยกันในกระทู้นี้
Noah(เนื้อเรื่องคงไม่ต้องบอกเดาได้อยู่แล้ว)เป็นหนังที่มีคุณภาพดีอยู่ในตัวแต่ก็ไม่ได้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมสมกับความคาดหวัง สำหรับตัวผมเข้าไปดูเพราะเห็นคำวิจารณืเป็ฯสองแง่ก็เลยไม่ปักใจอะไรระหว่างดู ในช่วงแรกของหนังค่อยข้างเห็นด้วยว่าเนื้อเรื่องมันช่างไม่เข้มข้นเอาซะเลย ตัวละครก็ค่อนข้างเรียบ การปูเรื่องและการพัฒนาตัวละครไม่ค่อยเข้มข้นและกระชับจนน่าสนใจ ไม่ได้มีอะไรน่าติดตาม ถึงกระนั้น Darren Aronofsky ก็ยังพิสูจน์ว่าตัวเองมีฝือมืออยู่ แม้จะกำกับหนังสเกลใหญ่ได้ไม่น่าประทับใจเท่าที่ควรแต่จังหวะการกำกับและการนำเสนอทำให้หนังไม่น่าเบื่อจนเกินไป ทั้งการถ่ายภาพที่ดูสวยยิ่งใหญ่ เทคนิคลูกเล่นการเล่าเรื่องด้วยภาพ นักแสดงทั้งหลาย ดนตรีประกอบก็ช่วยชีวิตหนังในช่วงแรกนี้ไว้ได้ เอาเป็นว่าอยู่ในระดับที่รับได้กับการได้เห็นผจญภัยเล็กๆ โกเล็มทำศึกกับมนุษย์ จนถึงน้ำท่วมโลก นึกเล่นอยู่ว่าถ้า Peter Jackson มากำกับช่วงนี้คงมันส์อลังการน่าดู
ช่วงสอง Darren Aronofsky เริ่มออกลาย ข้อดีหลายอย่างๆเริ่มโผล่มาให้เห็น จากหนังเรื่องก่อนๆของ Darren มักจะนำเสนอเรื่องราวของการหมกหม่นกับอะไรจนเกินเหตุ การติดยาใน Requiem for a dream การยึกกับอดีตใน The Wrestler การหมกหม่นกับการทำตัวให้เป็นที่หนึ่งใน Black Swan และการหมกหม่เรื่องศาสนาใน Noah ช่วงแรกของหนังที่มีแต่การพูดถึงพระเจ้าผมว่าค่อนข้างน่าเบื่อ เหมือนนั่งฟังบทสวดยังไงยังงั้น แต่ช่วงหลังหนังให้เห็นถึงบางมุมมองในความเชื่อ ในช่วงวิกฤติหลายคนอาจจะหันไปพึงศาสนาที่ช่วยให้ใจเราสงบก็นับว่าเป็นเรื่องดี ในกรณีของโนอาห์คิดว่าตัวเองเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่ของพระเจ้าและต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามพระประสงค์ ความกดดันเริ่มมีแก่ตัวเขา จนเกิดภาพที่คิดว่าตัวเองจะล้มเหลว
เมื่อเป็นเช่นนั้นโนอาห์ยิ่งใส่ใจกับคำสอนและความเชื่อได้เกิดจากภาพต่างที่พระเจ้าให้เห็นหรือแม้แต่ภาพที่เขาอาจจะคิดไปเอง โนอาห์เกิดความเชื่อมนุษย์รวมถึงตัวเขาจะเป็นผู้ทำให้เกิดบาปต่อโลก จากเหตุการณ์รอบตัวที่มีแต่ความโหดร้าย แม้แต่คนในครอบครัวเขาก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาจึงคิดว่ามนุษย์ควรจะสูญสิ้นไปซะ ดูแล้วก็อดนึกถึงป้ามหาภัยใน The Mist กับคุณแมป่วยจิตใน Carrie ไม่ได้ เพราะทั้งคู่ก็ต่างอยู่ในสถานการณลำบากทางจิตใจและหาทางออกด้วยการพึ่งพาความเชื่อศาสนาจนขาดการวิเคราะห์ไตร่ตรองก่อน ใน Noah เขาก็ลืมนึกถึงความรักที่เคยได้มีร่วมกับลูกเมีย ความเอื้อาทรกันของมนุษย์ที่ยังคงมีอยู่ แล้วตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่คำสอนในศาสนาที่จะมาตัดสินอะไรแต่เป็นตัวมนุษย์เองที่จะเลือกฆ่าแกงหรือจะรักและให้อภัยกัน อีกฝั่งหนึ่งก็มีความเชื่อที่แรงกล้า หัวหน้าตัวร้ายที่เชื่อจิตใจของมนุษย์นั่นดำมืดอยู่แล้วและเราไม่ควรจะอดกลั้นอีกต่อไป แต่มันก็เป็นข้ออ้างของไม่ยับยั้งใจของเขา ในตอนท้ายที่เขาเกลี้ยกล่อมลูกชายของโนอาห์ให้ช่วยเหลือเขาจัดการพ่อตัวเอง คำพูดต่างๆดูมีเหตุผลที่เอาเข้าจริงเขาก็สนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง
ตัวละครอื่นอย่างเมียและลูกคนอื่นของโนอาห์ยังอยู่ในด้านดีของมนุษย์อยู่ที่ไม่ได้มีความคิดสุดโต่งอย่างทั้งสองฝ่าย แต่มีตัวละครที่น่าสนใจอย่างฮามที่ต้องเลือกซักทาง พ่อของเขาที่มองว่ามนุษย์เป็นบาปต้องทำลายกับหัวหน้าตัวร้ายที่ว่าความชั่วร้ายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมนุษย์สิ่งที่สำคัญที่ผลที่ตามมา การกระทำของโนอาห์แม้จะดูบริสุทธิ์แต่ก็คร่าหลายชีวิตไป การกระทำของหัวหน้าตัวร้ายแม้ดูโหดเหี้ยมแต่ถ้าเขาทำสำเร็จคนบริสุทธิ์มากมายก็อาจจะรอด ในช่วงโลกแตกแบบนั้นการเชื่ออะไรตามสัญชาตญาณคงจะใช้ไม่ได้ เราคงต้องมองหาที่พึ่งความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งหรืออีกนัยนึงก็คือศาสนา แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้ทางเลือกแค่สองอย่าง เราสามารถทำดีในแบบของเราเองได้
ช่วงท้ายของหนังจึงเป็นช่วงที่เข้มข้นและน่าติดตามมากๆ แต่ผมขัดใจนิดหน่อยตรงที่หนังยืดเยื้อไปในช่วงใกล้และมีบทสรุปของบางตัวละครที่ง่ายไป ในด้านนักแสดงผู้กำกับ Darren ทำให้ทีมนักแสดงรวมกันเป็นหนึ่งไม่มีใครเกินน่าเกินตาใคร เอ็มม่ากับโลกแนที่เมื่อก่อนมองว่าเป็นนักแสดงหน้าตาดีที่ฝือมือยังไม่เท่าไหร่แต่ดูเรื่องนี่แล้วเปลี่ยนใจเชื่อว่าทั้งสองคนอนาคตต้องก้าวไกลแน่ คนที่ปลื้มที่สุดคือ Jennifer Connell เธอกลับมาได้สมศักดิ์ศรีมาก
รวมแล้ว Noah เป็นหนังเนื้อดีที่ยังไม่ลงตัว อาจจะน่าเบื่อหน่อยแต่ดูจากประเด็นหลายอย่างที่ได้ดูผมว่าก็เป็นหนังคุ้มค่าแก่เวลาเรื่องหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับผู้ชมที่ผกความคาดหวังติดตัวมาสูง ทั้งในแง่ของความแอคชั่นหรือการกำกับของ Darren Aronofsky..........(7.5/10)
ฝากเพจกากๆไว้เผื่อยากติดตาม [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้