คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
1.การวางกรอบภาพ
ลองศึกษาการวางสัดส่วนรูปในจอภาพให้ดูน่าสนใจ เช่นหาเส้นนำสายตา หลักการจุดตัด9ช่อง อะไรประมาณนี้ แล้วดูภาพที่สวยๆบ่อยๆ เวลาจะไปเที่ยวที่ไหนลองหาข้อมูลทางอินเตอร์เนต จะได้เห็นมุมสวยๆที่เขานิยมถ่าย เราก็ปรับให้มันเข้ากับเรามากขึ้นครับ บางภาพเทคนิคไม่ดี เช่นสว่างหรือมืดไป โฟกัสไม่ชัด แต่จัดองค์ประกอบภาพเด่น สวย ชวนมอง ก็ขับให้ภาพนั้นน่าดูขึ้นเยอะได้ครับ
การถ่ายภาพ มักไม่ค่อยนิยมวางตัวแบบไว้ตรงกลางภาพ จะทำให้ภาพขาดความชวนมอง โดยทั่วไปนิยมวางตัวแบบหรือ Subjectของภาพไว้ตรงจุดตัด 9 ช่อง หรือประมาณ 1 ใน3ของภาพ ทำให้เหลือพื้นที่ด้านหลังอีกประมาณ 2ใน3ของภาพ ไว้ถ่ายทอดบรรยากาศ หรือเรื่องราวได้
การถ่ายภาพProtrait หรือภาพบุคคล นอกจากเรื่องตำแน่งการวางตัวแล้ว ยังมีข้อปลีกย่อยอีกเช่น
- ระวังฉากด้านหลังที่รกเกินไป จะทำให้ตัวแบบขาดความเด่น
- ระวังฉากหลังที่มีเส้นพาดตรงคอ หรือหัวตัวแบบ
- ไม่ควรจัดกรอบรูปบริเวณข้อต่อของตัวแบบ เช่นเข่า ศอก จะทำให้ภาพดูไม่สมบูรณ์
- ถ้าตัวแบบจะกระโดด ควรโฟกัสไว้รอล่วงหน้า หรือจัดกรอบให้ตรงตามตำแหน่งที่ตัวแบบจะอยู่เมื่อตอนเรากดชัตเตอร์ถ่ายภาพ
- เมื่อตัวแบบหันหน้าไปทางด้านใด ควรเว้นระยะสายตาให้ตัวแบบสักนิด เพื่อถ่ายทอดเรื่องราว อาจจะสื่อถึงสิ่งตัวแบบมอง หรืออย่างน้อยก็ทำให้ดูไม่อึดอัด เช่นตัวแบบหันเฉียงไปทางด้านซ้ายของภาพ ควรวางตัวแบบได้ด้านขวาของภาพ แล้วเหลือพื้นที่ด้านซ้ายของภาพไว้ให้กับลานสายตาของตัวแบบบ้าง
2. ISO
พยายามอย่าใช้ ISOที่สูงมากเกินความจำเป็น ควรใช้ให้ต่ำๆไว้ก่อน เพราะISOสูงภาพจะเกิดnoise หรือสัญญานรบกวน ภาพไม่เนียนใส ถ้าพบว่าภาพมืดเกินไป หรือสั่นเบลอจากการที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำเกินไป ค่อยๆปรับ ISOเพิ่มขึ้นตามลำดับครับ ในโหมดM การปรับ ISOจะกระทบต่อความสว่างของภาพด้วย จริงๆก็กระทบทุกโหมด แต่ว่าโหมดอื่นกล้องจะปรับค่าต่างๆชดเชยจนได้แสงเท่าเดิม พูดถึงโหมดM ต่อนะครับ ถ้าเราวัดแสงได้พอดีแล้ว แต่Speed ต่ำเกินไป ภาพอาจจะเบลอได้ แล้วก็ปรับรูรับแสงกว้างสุดเท่าที่ทำได้แล้ว ทางเลือกต่อไปคือปรับเพิ่ม ISOขึ้น อาจจะปรับทีละ 1/3 หรือเพิ่มทีละ 1 Stopก็ได้ เอาแค่พอใช้ได้ครับ ทีนี้พอเราปรับISOขึ้นแล้ว ภาพจะสว่างกว่าที่เราวัดไว้เมื่อกี้เท่ากับ Stopของ ISOที่เราเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องปรับSpeedเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยด้วย หรือจะปรับFก็ได้ ในกรณีที่ต้องการFสูงขึ้น เพื่อเพิ่มความชัดลึก (เพิ่มระยะDOF)
EX. วัดแสงด้วยโหมดM ในอาคารได้แสงพอดีที่ 1/25วินาที F/4.0 ISO800 แต่กล้องที่ใช้มันหนักเหลือเกิน Speedต่ำแบบนี้ ใช้ขาตั้งกล้องก็ไม่ได้ ถ่ายไปสั่นไหว เอาไงดีน่ะ งั้นลองทีละขั้นตอนนะครับ
1. ใช้รูรับแสงกว้างขึ้นได้ไหม โดยคำนึงถึงDOFที่เราต้องการ(รายละเอียดในข้อ 9) ถ้ายังมีDOFเหลือ ก็ปรับFให้กว้างขึ้นได้ สมมุติว่าปรับเป็น F.2.8 เราก็จะได้แสงเพิ่มมาอีก 1Stop เราก็ไปปรับSpeedเพิ่มขึ้นอีก 1Stop เป็น 1/50 วินาที(ตามที่เกลิ่นว่าSpeedมันช้าไป) แต่ถ้ารูรับแสงมันไม่สามารถปรับได้แล้ว(กว้างสุดแล้ว หรือต้องคุมDOF) ก็ข้ามไปข้อต่อไปครับ
2. ทำไงดีละ ปรับอะไรก็ไม่ได้ อื้ม..ยังเหลือตัวช่วยอีกตัวคือเจ้า ISOนั่นเอง แต่อย่าลืมนะว่ามันไม่ได้มาฟรีๆ ทุกๆISOที่สูงขึ้น จะมีสัญญานรบกวนหรือ Noise เพิ่มขึ้นมาก จึงต้องค่อยๆพิ่มอย่างระวังๆ เอาเท่าที่จำเป็น งั้นจากตัวอย่างถ้าปรับFไม่ได้ ก็ต้องปรับISOเพิ่ม เอาละงั้นเพิ่มเลย เอาทีละ 1/3 หรือทีละ 1Stopเลยก็ได้ สมมุติว่าต้องการSpeedเพิ่มอีก 1Stop งั้นก็เพิ่ม ISOอีก 1Stopเป็น 1600 แล้วเพิ่มSpeedขึ้นไปเป็น 1/50 วินาที
อีกวิธีที่ได้ผลดีเมื่อต้องถ่ายในที่แสงน้อย คือการเพิ่มแสงเข้าไป เช่นเปิดไฟ ใช้ไฟต่อเนื่อง สปอตไลต์ แผ่นรีเฟล็ค แต่วิธีแรกๆที่เรานึกถึงคือแฟลชนั่นเอง ตามหัวข้อต่อไปเลยครับ
3.การถ่ายภาพในที่แสงน้อย
พยายามหลีกเลี่ยงการซูมมาก เพราะจะทำให้มือสั่นมีผลต่อภาพได้ง่าย และยิ่งซูมมากจะทำให้ใช้รูรับแสง(ค่าที่กว้างสุด)ได้แคบลง อาจจะทำให้ Speed shutterต่ำ จนภาพอาจจะเบลอได้ หรืออาจจะใช้แฟลซแบบ slow sync จะทำให้เก็บบรรยากาศฉากหลังได้ด้วย แต่ควรใช้กับขาตั้งกล้อง และตัวแบบที่ค่อนข้างนิ่งครับ (วิธีนี้กล้องจะใช้Speedค่อนข้างช้า เพื่อเก็บแสงฉากหลังไว้ด้วย ถ้าSpeedช้าเกินไป ก็ลองปรับเพิ่ม ISO หรืออาจจะปรับชดเชยแสงในทางลบ สัก 1-2Stop วิธีหลังนี้จะทำให้ Speedสูงขึ้น 1-2Stopด้วย แต่แสงเข้ากล้องน้อยลง ทำให้ฉากหลังมืดลงครับ แต่ฉากหลังมืดกว่าตัวแบบหน่อยก็ขับให้ตัวแบบเด่นขึ้นดีครับ ส่วนความสว่างของตัวแบบก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแฟลชเลยครับ แต่ถ้ามืดหรือสว่างไปก็สามารถปรับเพิ่ม-ลด กำลังของแฟลชได้ครับ
4. โหมดวัดแสง
ให้ตรงกับความเหมาะสมขณะนั้น เวลาที่เราหันกล้องไปมากล้องจะวัดแสงและปรับให้เหมาะสมตลอดเวลา ในกล้องจะมีระบบวัดแสงต่างๆ
4.1 Evaluative หรือแบบเฉลี่ย ให้แสงพอดีทั่วทั้งภาพ เหมาะกับการถ่ายสภาพแสงทั่วไป แต่ถ้าถ่ายบุคคลย้อนแสงหน้าคนมักจะมืด (ระบบวัดแสงของกล้องรุ่นใหม่ๆ จะมีการคำนวนที่ซับซ้อนมากขึ้นให้ผลที่ดีมากขึ้น คือให้ความสำคัญกับค่าแสงที่จุดที่เราโฟกัสมากขึ้น )
4.2 Center-weighted average กล้องจะเฉลี่ยแสงให้พอดีโดยเน้นที่กรอบตรงกลางภาพ เหมาะกับการถ่ายภาพที่ตัวแบบอยู่ตรงกลางภาพ
4.3 Spot แบบจุด เหมาะกับการถ่ายภาพที่มีสภาวะแสงต่างกันมากๆ เช่นถ่ายบุคคลย้อยแสง แล้วหน้าดำให้ใช้โหมดนี้แก้ โดยการวัดและล๊อกแสงที่ใบหน้า(กดปุ่มล๊อคแสง หรือกดชัตเตอร์ค้างไว้ครึ่งทางสำหรับกล้องคอมแพค) วิธีนี้จะทำให้แสงที่ตรงกรอบวัดแสงพอดี แต่ฉากหลังจะ Over หรือ Under กว่ามาก เนื่องจาก แสงมีความต่างกันมาก
5.การล๊อกแสง+โฟกัส
หลายๆครั้งที่ภาพที่ถ่ายออกมาเรามักไม่พอใจกับแสง ภาพดำไป สว่างไป หรือโฟกัสที่ไม่ชัดบ้าง อะไรบ้าง จึงควรใช้วิธีล๊อกโฟกัส+แสงก่อน ถ่ายจะลดปัญหานี้ได้ครับ
กล้องคอมแพคสามารถล๊อคแสง+โฟกัสที่ต้องการได้(กล้องจะวัดแสงตามโหมดในข้อ 4 ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพแสงก่อน หรือชดเชยแสงตามความเหมาะสม) โดยการกดปุ่มชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งค้างไว้ครับ ดูว่าภาพที่แสดงในจอ แสงพอเหมาะไหม โฟกัสเข้าเป้าไหม ถ้าOKก็กดค้างไว้ก่อนแล้วจัดกรอบ+กดลงไปสุดเพื่อถ่ายรูปครับ
6.การชดเชยแสง
ปกติกล้องจะวัดแสงอัตโนมัติ เพื่อให้แสงพอดีอยู่แล้ว แต่บางครั้งกล้องก็มักวัดผิดพลาดทำให้สี หรือแสงเพี้ยนไป เราจึงต้องชดเชยแสงหรือ ปรับEV นั่นเอง กรณีทั่วๆไปดังนี้
6.1 ถ้าในกรอบวัดแสง(แต่ละแบบ) มีสีเข้ม หรือสีดำมาก กล้องจะวัดให้มันสว่างขึ้นเกินจริง เช่น สีดำจะกลายเป็นสีเทา เราจึงต้องชดเชยแสงทาง - เพื่อให้แสงใกล้เคียงธรรมชาติ
6.2 ถ้าในกรอบวัดแสง(แต่ละแบบ) มีสีขาว หรือสีอ่อน กล้องจะวัดให้มันสว่างขึ้นเกินจริง เช่น สีขาวจะกลายเป็นสีขาวหม่นๆหรือเทาอ่อนๆ เราจึงต้องชดเชยแสงทาง + เพื่อให้แสงใกล้เคียงกับธรรมชาติ เช่นถ่ายรูปคนขาวต่องเพิ่มEV+ 0.3 -1 Stop ไม่งั้นอาจจะดูหม่นๆ
ซึ่งเราสามารถดู Histrogram ประกอบไปด้วย จะได้รู้ว่ามีส่วนของภาพ Under หรือ over ไปหรือไม่ Histrogramปกติ จะเป็นรูประฆังคว่ำอยู่บริเวณกึ่งกลางScale ถ้าเบ้ไปด้านขวา แสดงว่ามีส่วนสว่างอยู่ในภาพมาก แต่ถ้ายอดแหลมสูงทะลุHistrogram หรือฐานกราฟหลุดออกจากScale ไปด้านขวา แสดงว่ามีส่วนภาพที่มีแสงมากเกินที่เซนเซอร์รับได้จนทำให้เกิดการเสียรายละเอียดหรือแสงOverเกิดขึ้นในภาพมากเกินไป อาจแก้โดยการชดเชยแสงทางลบ เพื่อดึงกราฟให้ใกล้เคียงค่ากลางมากขึ้น
7.สมดุลสี White balance
บางครั้งสภาพแสงแปลกๆ กล้องมักจะสับสนเรื่อง White balance ทำให้สีของภาพแปลกๆได้ กรณีนี้เราสามารถปรับเองได้ โดยกล้องจะมีPreset สภาพแสงต่างๆไว้ให้ เช่นใต้ไฟฟลูออเรสเซนท์ ก็ใช้WBฟลูออเรสเซนท์ เป็นต้น แต่บางทีค่าสีที่ได้อาจไม่ตรงนัก จึงมีทางเลือกอีกคือ การปรับManual White balance คือเมื่อเข้าสู่ Manual White balance ให้ถ่ายภาพวัตถุที่เป็นสีขาว หรือเทา ใต้สภาพแสงนั้นๆ แล้วกล้องจะปรับWhite Balanceให้เอง หรืออีกแบบคือการปรับองศาเคลวินโดยตรง ถ้าศึกษาเพิ่มเติมว่าแสงจากแหล่งกำเนิดแสงต่างๆมีองศาเคลวินในช่วงใดจะสะดวกมากขึ้น แต่หลักๆก็คือปรับไปในทางที่สีที่เป็นสีจริงของวัตถุนั้น โดยต้องหาวัตถุที่เราทราบสีจริงเพื่ออ้างอิงก่อน เช่นปรับจนผ้าปูเตียงสีขาว ภายใต้แสงไฟในบ้านจะออกเหลืองๆ ก็ปรับจนผ้าปูเตียงเป็นสีขาว
และ White balance นี้ยังใช้สร้างบรรยากาศสีแปลกตาไปจากที่ตาเห็นได้อีกด้วย เช่นใช้ White balance โทนสีแดง หรือสีฟ้าย้อมสีท้องฟ้าช่วงพระอาทิตย์ตกดินให้ดูได้บรรยากาศมากขึ้น
8.การเล่นเทคนิคต่างๆ
1. ถ้ากล้องรุ่นนี้สามารถใช้ Speed shutter ได้นานๆ เราก็สามารถถ่ายภาพกลางคืนแปลกๆ เช่น ไฟรถวิ่งเป็นสาย ภาพเส้นพลุได้ โดยใช้ขาตั้งกล้อง+ตั้งSpeedหลายๆวิ+isoต่ำๆ+ตั้งเวลาถ่าย(ป้องกันกล้องสั่นจากการกดปุ่ม) วิธีนี้ยังใช้ได้กับการเขียนไฟ( Light painting)อีกด้วยครับ ถ้าใช้ร่วมกับสายลั่นชัตเตอร์หรือรีโมทชัตเตอร์จะทำให้กะเวลาการเปิดปิดม่านชัตเตอร์ได้ตรงกับเหตุการณ์มากขึ้นครับ
2. การถ่ายภาพซ้อน ในกล้องหลายๆรุ่นสามารถถ่านซ้อนเฟรมกันได้ จะสร้างภาพแปลกๆ
3. HDR (hight dynadic range) หรือการถ่ายภาพหลายๆภาพที่มีช่วงความสว่างต่างกัน แล้วเอามารวมกันเป็นภาพเดียวในโปรแกรม เพื่อเพิ่มช่วงสว่างของภาพนั้น ผลที่ได้จะดูแปลกน่าน่ามอง คือปกติกล้องจะมีความสามารถในการบันทึกแสงได้จำกัดในช่วงนึง เช่นเมื่อถ่ายภาพพระอาทิตย์ โดยมีบ้านเป็นฉากหน้า แบบนี้ฉากหลังคือท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ จะสว่างกว่าฉากหน้ามาก ถ้าเลือกวัดแสงให้บ้านสว่างพอดี ฉากหลังจะOverเสียรายละเอียดไปหมด ถ้าลองนำวิธีHDRมาใช้ คือ ตั้งโหมดถ่ายHDRหรือปรับตั้งเองก็ได้ โดยถ่ายภาพแสงปกติ แล้วก็ถ่ายภาพชดเชยแสงทางลบ(มืด)ให้มีความต่างแสงกันใบละ1/3 หรือ 1Stopก็ได้ หลายๆใบ เพื่อเก็บรายละเอียดส่วนดวงอาทิตย์และท้องฟ้า แต่ภาพนี้บ้านจะมืดจนไม่เห้นรายละเอียด และภาพบวก(สว่าง)หลายๆใบ วิธีเดียวกับภาพมืดด้านเมื่อครู่ แล้วเอาทุกภาพมารวมกันในโปรแกรมทำHDR โปรแกรมจะรวมรายละเอียดของทั้งภาพมือและสว่างมารวมกัน จนเป็นภาพที่มี DR สูงกว่าปกติ ซึ่งจะดูเด่นขึ้น แต่อาจดูหลอกๆตาไปบ้างครับ
9. การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ
ถ้าแม้คอมแพคจะทำหน้าชัดหลังเบลอได้ไม่มากเท่าไร แต่ถ้าเข้าใจหลักการก็พอทำได้บ้างครับ หลักการคือใช้รูรับแสงกว้างๆหรือค่า Fต่ำๆ แล้วให้ตัวแบบอยู่ใกล้กล้องมากที่สุด และให้ฉากหลังอยู่ไกลตัวแบบมากที่สุด ฉากหลังก็จะละลายไปเอง(ไม่มากก็น้อย) หรือถ้าไม่ติดเรื่องระยะการถ่ายหรือ สัดส่วนตัวแบบในกรอบ ก็ซูมเยอะๆ(ระยะชัดจะแคบลง ทำให้เบลอได้มากขึ้น)
ในที่นี้เราจะเรียกระยะชัดว่า DOF (Deep of field) ปัจจัยที่มีผลต่อDOFก็คือ
1. เมื่อใช้รูรับแสงกว้างๆ(ตัวเลขF น้อยๆ) จะสามารถละลายฉากหลังได้ดีกว่ารูรับแสงแคบๆ (ตัวเลขF มากๆ) เมื่อเทียบที่ทางยาวโฟกัสเดียวกัน
2. ขนาดของเซนเซอร์รับภาพ ยิ่งเซนเซอร์ใหญ่ๆจะมี DOF ที่บางกว่ากล้องที่มีเซนเซอร์ที่เล็กกว่า จึงตอบคำถามได้ว่าทำไมกล้องคอมแพคถึงละลายฉากหลังได้ไม่ดีนัก เพราะขนาดเซนเซอร์เล็กกว่ากล้อง DSLR หลายเท่า และทำไมกล้องDSLRแบบCrop เซนเซอร์(APS , 4/3)ถึงละลายฉากหลังได้ไม่สู้กล้อง DSLRแบบ Full Frame
3. ทางยาวโฟกัส เมื่อทางยาวโฟกัสยิ่งสูงยิ่งมีDOFที่แคบ เช่นเลนส์Teleที่มีทางยาวโฟกัส 300mmจะมี DOF ที่แคบกว่าเลนส์ Wideที่ 18mm. หลายๆคนจึงนิยมใช้เลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสสูงๆหรือเลนส์Teleถ่ายภาพบุคคลหรือ Portrait เนื่องจากสามารถละลายฉากหลังได้มาก จนตัวแบบโดดเด่นขึ้นมา และสมบัติPerspectiveทางแสงของเลนส์Teleยังดึงตัวฉากหลังให้ดูใกล้ขึ้น และดูใหญ่โตขึ้นด้วยครับ (รายละเอียดตามข้อ 10)
10.การดึงภาพฉากหลังไกลๆให้ดู
ลองศึกษาการวางสัดส่วนรูปในจอภาพให้ดูน่าสนใจ เช่นหาเส้นนำสายตา หลักการจุดตัด9ช่อง อะไรประมาณนี้ แล้วดูภาพที่สวยๆบ่อยๆ เวลาจะไปเที่ยวที่ไหนลองหาข้อมูลทางอินเตอร์เนต จะได้เห็นมุมสวยๆที่เขานิยมถ่าย เราก็ปรับให้มันเข้ากับเรามากขึ้นครับ บางภาพเทคนิคไม่ดี เช่นสว่างหรือมืดไป โฟกัสไม่ชัด แต่จัดองค์ประกอบภาพเด่น สวย ชวนมอง ก็ขับให้ภาพนั้นน่าดูขึ้นเยอะได้ครับ
การถ่ายภาพ มักไม่ค่อยนิยมวางตัวแบบไว้ตรงกลางภาพ จะทำให้ภาพขาดความชวนมอง โดยทั่วไปนิยมวางตัวแบบหรือ Subjectของภาพไว้ตรงจุดตัด 9 ช่อง หรือประมาณ 1 ใน3ของภาพ ทำให้เหลือพื้นที่ด้านหลังอีกประมาณ 2ใน3ของภาพ ไว้ถ่ายทอดบรรยากาศ หรือเรื่องราวได้
การถ่ายภาพProtrait หรือภาพบุคคล นอกจากเรื่องตำแน่งการวางตัวแล้ว ยังมีข้อปลีกย่อยอีกเช่น
- ระวังฉากด้านหลังที่รกเกินไป จะทำให้ตัวแบบขาดความเด่น
- ระวังฉากหลังที่มีเส้นพาดตรงคอ หรือหัวตัวแบบ
- ไม่ควรจัดกรอบรูปบริเวณข้อต่อของตัวแบบ เช่นเข่า ศอก จะทำให้ภาพดูไม่สมบูรณ์
- ถ้าตัวแบบจะกระโดด ควรโฟกัสไว้รอล่วงหน้า หรือจัดกรอบให้ตรงตามตำแหน่งที่ตัวแบบจะอยู่เมื่อตอนเรากดชัตเตอร์ถ่ายภาพ
- เมื่อตัวแบบหันหน้าไปทางด้านใด ควรเว้นระยะสายตาให้ตัวแบบสักนิด เพื่อถ่ายทอดเรื่องราว อาจจะสื่อถึงสิ่งตัวแบบมอง หรืออย่างน้อยก็ทำให้ดูไม่อึดอัด เช่นตัวแบบหันเฉียงไปทางด้านซ้ายของภาพ ควรวางตัวแบบได้ด้านขวาของภาพ แล้วเหลือพื้นที่ด้านซ้ายของภาพไว้ให้กับลานสายตาของตัวแบบบ้าง
2. ISO
พยายามอย่าใช้ ISOที่สูงมากเกินความจำเป็น ควรใช้ให้ต่ำๆไว้ก่อน เพราะISOสูงภาพจะเกิดnoise หรือสัญญานรบกวน ภาพไม่เนียนใส ถ้าพบว่าภาพมืดเกินไป หรือสั่นเบลอจากการที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำเกินไป ค่อยๆปรับ ISOเพิ่มขึ้นตามลำดับครับ ในโหมดM การปรับ ISOจะกระทบต่อความสว่างของภาพด้วย จริงๆก็กระทบทุกโหมด แต่ว่าโหมดอื่นกล้องจะปรับค่าต่างๆชดเชยจนได้แสงเท่าเดิม พูดถึงโหมดM ต่อนะครับ ถ้าเราวัดแสงได้พอดีแล้ว แต่Speed ต่ำเกินไป ภาพอาจจะเบลอได้ แล้วก็ปรับรูรับแสงกว้างสุดเท่าที่ทำได้แล้ว ทางเลือกต่อไปคือปรับเพิ่ม ISOขึ้น อาจจะปรับทีละ 1/3 หรือเพิ่มทีละ 1 Stopก็ได้ เอาแค่พอใช้ได้ครับ ทีนี้พอเราปรับISOขึ้นแล้ว ภาพจะสว่างกว่าที่เราวัดไว้เมื่อกี้เท่ากับ Stopของ ISOที่เราเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องปรับSpeedเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยด้วย หรือจะปรับFก็ได้ ในกรณีที่ต้องการFสูงขึ้น เพื่อเพิ่มความชัดลึก (เพิ่มระยะDOF)
EX. วัดแสงด้วยโหมดM ในอาคารได้แสงพอดีที่ 1/25วินาที F/4.0 ISO800 แต่กล้องที่ใช้มันหนักเหลือเกิน Speedต่ำแบบนี้ ใช้ขาตั้งกล้องก็ไม่ได้ ถ่ายไปสั่นไหว เอาไงดีน่ะ งั้นลองทีละขั้นตอนนะครับ
1. ใช้รูรับแสงกว้างขึ้นได้ไหม โดยคำนึงถึงDOFที่เราต้องการ(รายละเอียดในข้อ 9) ถ้ายังมีDOFเหลือ ก็ปรับFให้กว้างขึ้นได้ สมมุติว่าปรับเป็น F.2.8 เราก็จะได้แสงเพิ่มมาอีก 1Stop เราก็ไปปรับSpeedเพิ่มขึ้นอีก 1Stop เป็น 1/50 วินาที(ตามที่เกลิ่นว่าSpeedมันช้าไป) แต่ถ้ารูรับแสงมันไม่สามารถปรับได้แล้ว(กว้างสุดแล้ว หรือต้องคุมDOF) ก็ข้ามไปข้อต่อไปครับ
2. ทำไงดีละ ปรับอะไรก็ไม่ได้ อื้ม..ยังเหลือตัวช่วยอีกตัวคือเจ้า ISOนั่นเอง แต่อย่าลืมนะว่ามันไม่ได้มาฟรีๆ ทุกๆISOที่สูงขึ้น จะมีสัญญานรบกวนหรือ Noise เพิ่มขึ้นมาก จึงต้องค่อยๆพิ่มอย่างระวังๆ เอาเท่าที่จำเป็น งั้นจากตัวอย่างถ้าปรับFไม่ได้ ก็ต้องปรับISOเพิ่ม เอาละงั้นเพิ่มเลย เอาทีละ 1/3 หรือทีละ 1Stopเลยก็ได้ สมมุติว่าต้องการSpeedเพิ่มอีก 1Stop งั้นก็เพิ่ม ISOอีก 1Stopเป็น 1600 แล้วเพิ่มSpeedขึ้นไปเป็น 1/50 วินาที
อีกวิธีที่ได้ผลดีเมื่อต้องถ่ายในที่แสงน้อย คือการเพิ่มแสงเข้าไป เช่นเปิดไฟ ใช้ไฟต่อเนื่อง สปอตไลต์ แผ่นรีเฟล็ค แต่วิธีแรกๆที่เรานึกถึงคือแฟลชนั่นเอง ตามหัวข้อต่อไปเลยครับ
3.การถ่ายภาพในที่แสงน้อย
พยายามหลีกเลี่ยงการซูมมาก เพราะจะทำให้มือสั่นมีผลต่อภาพได้ง่าย และยิ่งซูมมากจะทำให้ใช้รูรับแสง(ค่าที่กว้างสุด)ได้แคบลง อาจจะทำให้ Speed shutterต่ำ จนภาพอาจจะเบลอได้ หรืออาจจะใช้แฟลซแบบ slow sync จะทำให้เก็บบรรยากาศฉากหลังได้ด้วย แต่ควรใช้กับขาตั้งกล้อง และตัวแบบที่ค่อนข้างนิ่งครับ (วิธีนี้กล้องจะใช้Speedค่อนข้างช้า เพื่อเก็บแสงฉากหลังไว้ด้วย ถ้าSpeedช้าเกินไป ก็ลองปรับเพิ่ม ISO หรืออาจจะปรับชดเชยแสงในทางลบ สัก 1-2Stop วิธีหลังนี้จะทำให้ Speedสูงขึ้น 1-2Stopด้วย แต่แสงเข้ากล้องน้อยลง ทำให้ฉากหลังมืดลงครับ แต่ฉากหลังมืดกว่าตัวแบบหน่อยก็ขับให้ตัวแบบเด่นขึ้นดีครับ ส่วนความสว่างของตัวแบบก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแฟลชเลยครับ แต่ถ้ามืดหรือสว่างไปก็สามารถปรับเพิ่ม-ลด กำลังของแฟลชได้ครับ
4. โหมดวัดแสง
ให้ตรงกับความเหมาะสมขณะนั้น เวลาที่เราหันกล้องไปมากล้องจะวัดแสงและปรับให้เหมาะสมตลอดเวลา ในกล้องจะมีระบบวัดแสงต่างๆ
4.1 Evaluative หรือแบบเฉลี่ย ให้แสงพอดีทั่วทั้งภาพ เหมาะกับการถ่ายสภาพแสงทั่วไป แต่ถ้าถ่ายบุคคลย้อนแสงหน้าคนมักจะมืด (ระบบวัดแสงของกล้องรุ่นใหม่ๆ จะมีการคำนวนที่ซับซ้อนมากขึ้นให้ผลที่ดีมากขึ้น คือให้ความสำคัญกับค่าแสงที่จุดที่เราโฟกัสมากขึ้น )
4.2 Center-weighted average กล้องจะเฉลี่ยแสงให้พอดีโดยเน้นที่กรอบตรงกลางภาพ เหมาะกับการถ่ายภาพที่ตัวแบบอยู่ตรงกลางภาพ
4.3 Spot แบบจุด เหมาะกับการถ่ายภาพที่มีสภาวะแสงต่างกันมากๆ เช่นถ่ายบุคคลย้อยแสง แล้วหน้าดำให้ใช้โหมดนี้แก้ โดยการวัดและล๊อกแสงที่ใบหน้า(กดปุ่มล๊อคแสง หรือกดชัตเตอร์ค้างไว้ครึ่งทางสำหรับกล้องคอมแพค) วิธีนี้จะทำให้แสงที่ตรงกรอบวัดแสงพอดี แต่ฉากหลังจะ Over หรือ Under กว่ามาก เนื่องจาก แสงมีความต่างกันมาก
5.การล๊อกแสง+โฟกัส
หลายๆครั้งที่ภาพที่ถ่ายออกมาเรามักไม่พอใจกับแสง ภาพดำไป สว่างไป หรือโฟกัสที่ไม่ชัดบ้าง อะไรบ้าง จึงควรใช้วิธีล๊อกโฟกัส+แสงก่อน ถ่ายจะลดปัญหานี้ได้ครับ
กล้องคอมแพคสามารถล๊อคแสง+โฟกัสที่ต้องการได้(กล้องจะวัดแสงตามโหมดในข้อ 4 ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพแสงก่อน หรือชดเชยแสงตามความเหมาะสม) โดยการกดปุ่มชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งค้างไว้ครับ ดูว่าภาพที่แสดงในจอ แสงพอเหมาะไหม โฟกัสเข้าเป้าไหม ถ้าOKก็กดค้างไว้ก่อนแล้วจัดกรอบ+กดลงไปสุดเพื่อถ่ายรูปครับ
6.การชดเชยแสง
ปกติกล้องจะวัดแสงอัตโนมัติ เพื่อให้แสงพอดีอยู่แล้ว แต่บางครั้งกล้องก็มักวัดผิดพลาดทำให้สี หรือแสงเพี้ยนไป เราจึงต้องชดเชยแสงหรือ ปรับEV นั่นเอง กรณีทั่วๆไปดังนี้
6.1 ถ้าในกรอบวัดแสง(แต่ละแบบ) มีสีเข้ม หรือสีดำมาก กล้องจะวัดให้มันสว่างขึ้นเกินจริง เช่น สีดำจะกลายเป็นสีเทา เราจึงต้องชดเชยแสงทาง - เพื่อให้แสงใกล้เคียงธรรมชาติ
6.2 ถ้าในกรอบวัดแสง(แต่ละแบบ) มีสีขาว หรือสีอ่อน กล้องจะวัดให้มันสว่างขึ้นเกินจริง เช่น สีขาวจะกลายเป็นสีขาวหม่นๆหรือเทาอ่อนๆ เราจึงต้องชดเชยแสงทาง + เพื่อให้แสงใกล้เคียงกับธรรมชาติ เช่นถ่ายรูปคนขาวต่องเพิ่มEV+ 0.3 -1 Stop ไม่งั้นอาจจะดูหม่นๆ
ซึ่งเราสามารถดู Histrogram ประกอบไปด้วย จะได้รู้ว่ามีส่วนของภาพ Under หรือ over ไปหรือไม่ Histrogramปกติ จะเป็นรูประฆังคว่ำอยู่บริเวณกึ่งกลางScale ถ้าเบ้ไปด้านขวา แสดงว่ามีส่วนสว่างอยู่ในภาพมาก แต่ถ้ายอดแหลมสูงทะลุHistrogram หรือฐานกราฟหลุดออกจากScale ไปด้านขวา แสดงว่ามีส่วนภาพที่มีแสงมากเกินที่เซนเซอร์รับได้จนทำให้เกิดการเสียรายละเอียดหรือแสงOverเกิดขึ้นในภาพมากเกินไป อาจแก้โดยการชดเชยแสงทางลบ เพื่อดึงกราฟให้ใกล้เคียงค่ากลางมากขึ้น
7.สมดุลสี White balance
บางครั้งสภาพแสงแปลกๆ กล้องมักจะสับสนเรื่อง White balance ทำให้สีของภาพแปลกๆได้ กรณีนี้เราสามารถปรับเองได้ โดยกล้องจะมีPreset สภาพแสงต่างๆไว้ให้ เช่นใต้ไฟฟลูออเรสเซนท์ ก็ใช้WBฟลูออเรสเซนท์ เป็นต้น แต่บางทีค่าสีที่ได้อาจไม่ตรงนัก จึงมีทางเลือกอีกคือ การปรับManual White balance คือเมื่อเข้าสู่ Manual White balance ให้ถ่ายภาพวัตถุที่เป็นสีขาว หรือเทา ใต้สภาพแสงนั้นๆ แล้วกล้องจะปรับWhite Balanceให้เอง หรืออีกแบบคือการปรับองศาเคลวินโดยตรง ถ้าศึกษาเพิ่มเติมว่าแสงจากแหล่งกำเนิดแสงต่างๆมีองศาเคลวินในช่วงใดจะสะดวกมากขึ้น แต่หลักๆก็คือปรับไปในทางที่สีที่เป็นสีจริงของวัตถุนั้น โดยต้องหาวัตถุที่เราทราบสีจริงเพื่ออ้างอิงก่อน เช่นปรับจนผ้าปูเตียงสีขาว ภายใต้แสงไฟในบ้านจะออกเหลืองๆ ก็ปรับจนผ้าปูเตียงเป็นสีขาว
และ White balance นี้ยังใช้สร้างบรรยากาศสีแปลกตาไปจากที่ตาเห็นได้อีกด้วย เช่นใช้ White balance โทนสีแดง หรือสีฟ้าย้อมสีท้องฟ้าช่วงพระอาทิตย์ตกดินให้ดูได้บรรยากาศมากขึ้น
8.การเล่นเทคนิคต่างๆ
1. ถ้ากล้องรุ่นนี้สามารถใช้ Speed shutter ได้นานๆ เราก็สามารถถ่ายภาพกลางคืนแปลกๆ เช่น ไฟรถวิ่งเป็นสาย ภาพเส้นพลุได้ โดยใช้ขาตั้งกล้อง+ตั้งSpeedหลายๆวิ+isoต่ำๆ+ตั้งเวลาถ่าย(ป้องกันกล้องสั่นจากการกดปุ่ม) วิธีนี้ยังใช้ได้กับการเขียนไฟ( Light painting)อีกด้วยครับ ถ้าใช้ร่วมกับสายลั่นชัตเตอร์หรือรีโมทชัตเตอร์จะทำให้กะเวลาการเปิดปิดม่านชัตเตอร์ได้ตรงกับเหตุการณ์มากขึ้นครับ
2. การถ่ายภาพซ้อน ในกล้องหลายๆรุ่นสามารถถ่านซ้อนเฟรมกันได้ จะสร้างภาพแปลกๆ
3. HDR (hight dynadic range) หรือการถ่ายภาพหลายๆภาพที่มีช่วงความสว่างต่างกัน แล้วเอามารวมกันเป็นภาพเดียวในโปรแกรม เพื่อเพิ่มช่วงสว่างของภาพนั้น ผลที่ได้จะดูแปลกน่าน่ามอง คือปกติกล้องจะมีความสามารถในการบันทึกแสงได้จำกัดในช่วงนึง เช่นเมื่อถ่ายภาพพระอาทิตย์ โดยมีบ้านเป็นฉากหน้า แบบนี้ฉากหลังคือท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ จะสว่างกว่าฉากหน้ามาก ถ้าเลือกวัดแสงให้บ้านสว่างพอดี ฉากหลังจะOverเสียรายละเอียดไปหมด ถ้าลองนำวิธีHDRมาใช้ คือ ตั้งโหมดถ่ายHDRหรือปรับตั้งเองก็ได้ โดยถ่ายภาพแสงปกติ แล้วก็ถ่ายภาพชดเชยแสงทางลบ(มืด)ให้มีความต่างแสงกันใบละ1/3 หรือ 1Stopก็ได้ หลายๆใบ เพื่อเก็บรายละเอียดส่วนดวงอาทิตย์และท้องฟ้า แต่ภาพนี้บ้านจะมืดจนไม่เห้นรายละเอียด และภาพบวก(สว่าง)หลายๆใบ วิธีเดียวกับภาพมืดด้านเมื่อครู่ แล้วเอาทุกภาพมารวมกันในโปรแกรมทำHDR โปรแกรมจะรวมรายละเอียดของทั้งภาพมือและสว่างมารวมกัน จนเป็นภาพที่มี DR สูงกว่าปกติ ซึ่งจะดูเด่นขึ้น แต่อาจดูหลอกๆตาไปบ้างครับ
9. การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ
ถ้าแม้คอมแพคจะทำหน้าชัดหลังเบลอได้ไม่มากเท่าไร แต่ถ้าเข้าใจหลักการก็พอทำได้บ้างครับ หลักการคือใช้รูรับแสงกว้างๆหรือค่า Fต่ำๆ แล้วให้ตัวแบบอยู่ใกล้กล้องมากที่สุด และให้ฉากหลังอยู่ไกลตัวแบบมากที่สุด ฉากหลังก็จะละลายไปเอง(ไม่มากก็น้อย) หรือถ้าไม่ติดเรื่องระยะการถ่ายหรือ สัดส่วนตัวแบบในกรอบ ก็ซูมเยอะๆ(ระยะชัดจะแคบลง ทำให้เบลอได้มากขึ้น)
ในที่นี้เราจะเรียกระยะชัดว่า DOF (Deep of field) ปัจจัยที่มีผลต่อDOFก็คือ
1. เมื่อใช้รูรับแสงกว้างๆ(ตัวเลขF น้อยๆ) จะสามารถละลายฉากหลังได้ดีกว่ารูรับแสงแคบๆ (ตัวเลขF มากๆ) เมื่อเทียบที่ทางยาวโฟกัสเดียวกัน
2. ขนาดของเซนเซอร์รับภาพ ยิ่งเซนเซอร์ใหญ่ๆจะมี DOF ที่บางกว่ากล้องที่มีเซนเซอร์ที่เล็กกว่า จึงตอบคำถามได้ว่าทำไมกล้องคอมแพคถึงละลายฉากหลังได้ไม่ดีนัก เพราะขนาดเซนเซอร์เล็กกว่ากล้อง DSLR หลายเท่า และทำไมกล้องDSLRแบบCrop เซนเซอร์(APS , 4/3)ถึงละลายฉากหลังได้ไม่สู้กล้อง DSLRแบบ Full Frame
3. ทางยาวโฟกัส เมื่อทางยาวโฟกัสยิ่งสูงยิ่งมีDOFที่แคบ เช่นเลนส์Teleที่มีทางยาวโฟกัส 300mmจะมี DOF ที่แคบกว่าเลนส์ Wideที่ 18mm. หลายๆคนจึงนิยมใช้เลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสสูงๆหรือเลนส์Teleถ่ายภาพบุคคลหรือ Portrait เนื่องจากสามารถละลายฉากหลังได้มาก จนตัวแบบโดดเด่นขึ้นมา และสมบัติPerspectiveทางแสงของเลนส์Teleยังดึงตัวฉากหลังให้ดูใกล้ขึ้น และดูใหญ่โตขึ้นด้วยครับ (รายละเอียดตามข้อ 10)
10.การดึงภาพฉากหลังไกลๆให้ดู
แสดงความคิดเห็น
เพิ่งซื้อDSLRตัวแรกในชีวิตมา ขอความรู้หน่อยค่ะ ^^
เลยไม่มีปัญหาเรื่องปรับรูรับแสงหรือปรับโฟกัสอะไร แต่พอซื้อกล้องเป็นของตัวเองก็เล่นพวกนี้ไม่เป็นเลยค่ะ
ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้มั๊ยคะ ว่าต้องปรับอะไรยังไงบ้าง ถ่ายแบบไหน เมื่อกี้เราลองถ่ายแบบละลายฉากหลัง
แต่กลายเป็นว่าจุดที่เราโฟกัสกลับโดนละลายแต่ฉากหลังดันชัดซะงั้น ลองปรับหลายครั้งก็ยังเหมือนเดิม
ช่วยหน่อยนะคะ ดูทั้งyoutubeทั้งgoogleก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี :'(
ปล. เลนส์ของรุ่นนี้ไม่มีhoodมาให้ อยากรู้ว่ามันมีขายแยกมั๊ยคะ ราคาประมาณเท่าไหร่ เราอยากได้มากๆเลย ^^