สกู๊ปจากนิตยสาร OUT ซึ่งบียอนเซ่เพิ่งขึ้นปกนิตยสารฉบับล่าสุดไป ทำการจัดอันดับ "10 เพลงอันทรงอิทธิพลจากบียอนเซ่" ผลงานกว่า 5 อัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวและยังมีอัลบั้มในฐานะวงเดสทินีส์ ชายด์ ทำให้บียอนเซ่มีเพลงฮิตถูกใจแฟนๆ หลายต่อหลายเพลง ยิ่งไปกว่านั้นบียอนเซ่ยังสร้างปรากฏการณ์ทางวงการเพลงและทรงอิทธิพลไม่น้อย
#10 Irreplaceable : เพลงจังหวะปานกลางที่ฮิตทุกคลื่นวิทยุ เดิมทีเพลงนี้แต่งในทำนองคันทรีฟังสบายๆ ค่ะแต่บียอนเซ่ดัดแปลงดนตรีให้เข้ากับสไตล์ของเธอจนทำให้เพลงนี้ไม่มีแนวเพลงอย่างชัดเจน ด้วยข้อเด่นตรงนี้ส่งผลให้ทุกคลื่นวิทยุเปิดเพลงนี้ได้หมดจนกลายมาเป็นเพลงฮิตค่ะ ไม่ว่าจะเปิดคลื่นวิทยุไหนก็จะมีเพลงเพลงนี้เล่นอยู่เสมอพร้อมกับวลีฮิตที่ว่า "to the left, to the left"
#9 Flawless : เพลงสุดเซอร์ไพรส์จากอัลบั้มล่าสุดของบียอนเซ่ค่ะ ตอนแรกเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยก่อนซึ่งถูกวิจารณ์ไปในแง่ลบเสียมากกว่า จนกระทั่งเวอร์ชั่นเต็มถูกปล่อยมาจริงทำให้ทราบว่าเพลงนี้ซ่อนเนื้อหาอะไรอยู่อีกมาก ทั้งดนตรีที่แหวกแนว มีท่อนร้องท่อนแร๊พ และสอดแทรกวลีเด็ดของ Chimamanda Ngozi Adichie เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อสตรีเพศเข้าไปด้วย
#8 Say My Name : เพลงนี้ในฐานะศิลปินวงเดสทินีส์ ชายด์ที่แจ้งเกิดให้กับบียอนเซ่เลยก็ว่าได้ หลายคนรู้จักบียอนเซ่เพราะเพลงนี้ และแนวเพลงนี้ทำให้บียอนเซ่โดดเด่นขึ้นมา จนพูดได้เลยค่ะว่าเพลงนี้เป็นของคู่กับบียอนเซ่ค่ะ
#7 Ring The Alarm : ไม่น่าเชื่อว่าเพลงนี้จะเข้ามาอยู่ในอันดับ 7 ได้ก็เพราะอารมณ์เพลงกระแทกดุดันซึ่งแตกต่างจากเพลงก่อนหน้าที่บียอนเซ่เคยทำมาทั้งหมดค่ะ ตั้งแต่เริ่มเพลงจนจบเพลงเธอใส่อารมณ์ไม่ยั้งจริงๆ ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะไปได้ไม่สวยในคลื่นวิทยุแต่โชว์เพลงนี้ในงาน MTV Video Music Awards 2006 ทำให้มีคนพูดถึงการร้อง การโชว์สุดอลังการของเธอไม่น้อยทีเดียวเลยค่ะ
#6 Telephone / Video Phone : บียอนเซ่เคยร่วมงานกับศิลปินต่างๆ มากมาย เพลง Telephone ถือว่าเป็นความพิเศษที่สุดที่ได้เห็นบียอนเซ่ร่วมงานกับเลดี้กาก้า ในช่วงนั้นถือเป็นช่วงสงครามของวงการเพลงก็ว่าได้เลยค่ะเพราะศิลปินทุกคนกระหน่ำปล่อยซิงเกิ้ลและเอ็มวีฆ่ากันสุดๆ ท้ายสุดแล้วบียอนเซ่และเลดี้กาก้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามิตรภาพหลังสงครามเพลงยังมีอยู่จริง ส่งผลให้เพลง Telephone ขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ของชาร์ทเพลงได้สำเร็จ
#5 Countdown : ซิงเกิ้ลลำดับที่ 4 จากอัลบั้ม 4 เป็นอีกอีกหนึ่งเพลงที่รวมแนวเพลงหลายแนวเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นฟังค์ ฮิปฮอป ละตินป๊อบ รวมไปถึงแดนซ์เล็กๆ เพลงนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตรักและชีวิตการทำงานของบียอนเซ่ค่ะ เอ็มวีนำผลงานของนักเต้น Anne Teresa De Keersmaeker และ Audrey Hepburn มาเป็นธีมดำเนินเรื่อง จุดเด่นของเอ็มวีนี้คือการถ่ายทำขณะบียอนเซ่ตั้งครรภ์ค่ะ
#4 Drunk In Love : เพลงรักโรแมนติกพ่วงเรท 18+ จากอัลบั้มชุดล่าสุดและเป็นเพลงฮิตติดปากไปเรียบร้อยแล้วค่ะ เพลงนี้บอกเล่าความรักและเซ็กซ์อันสุดแสนเร่าร้อนระหว่างบียอนเซ่และเจย์ซี คำว่า Drunk ตีความถึงความเซ็กซี่ของบียอนเซ่ยามมีเซ็กซ์ในท่าเซิฟบอร์ด
#3 Run The World (Girls) : ในขณะที่ศิลปินอื่นปล่อยซิงเกิ้ลมาเอาใจแฟนเพลง แต่บียอนเซ่กลับนำเพลง Pon de Floor มาเป็นตัวอย่างและปล่อยซิงเกิ้ลนี้มาสวนกระแสเพลงอื่นๆ เพียงต้องการตอกย้ำอุดมคติของตนเองที่ "สู้เพื่อเพศหญิง"
#2 Crazy In Love : ซิงเกิ้ลแรกของบียอนเซ่ในฐานะศิลปินเดี่ยว เพลงฮิตในช่วงซัมเมอร์ 2003 และเป็นเพลงฮิตตลอดกาลของบียอนเซ่ เพลงนี้อัดแน่นไปด้วยท่วงทำนองและท่าเต้นอันเป็นเอกลักษณ์ ลบภาพบียอนเซ่คนเดิมในเดสทินีส์ ชายด์ได้อย่างหมดจด เพลงนี้ยังได้เจ้าพ่อแร๊พเจย์ซีมาร่วมงานด้วยซึ่งเป็นการเปิดตัวว่าทั้งคู่คบหาดูใจกันค่ะ
#1 Single Ladies (Put A Ring On It) : ยกให้เป็นเพลงที่สอดแทรกเนื้อหาทางสัมคมที่ดีที่สุดของบียอนเซ่เลยค่ะ แถมเอ็มวีเพลงนี้ยังมีท่าเต้นจากในเอ็มวีที่ได้แรงบันดาลใจมากจาก Gwen Verdon จนกลายเป็นท่าเต้นยอดฮิตที่เต้นกันทั่วบ้านทั่วเมือง สร้างปรากฏการณ์แฟลชม็อบที่มีผู้อัดคลิปโพสในโซเชียลเน็ตเวิร์คจากทั่วทุกมุมโลก เพลงนี้ยังทำให้อดีตแดนเซอร์ Heather Morris ที่เคยร่วมงานกับบียอนเซ่ในเพลงนี้และใน The Beyoncé Experience แจ้งเกิดในซีรีส์ดัง Glee อีกด้วยค่ะ
อ้างอิง:Beyoncethailand.net
มีแถมอีก..... HuffPost : "บียอนเซ่โดดเดี่ยวอยู่บนบัลลังก์ดิว่าส์ยุคปัจจุบัน"
ารีธ่า เซลีน วิทนีย์ มารายห์ พวกเธอคือสุดยอดดิว่าส์
ไม่ลีย์ เคที่ ริฮานน่า กาก้า ... อืมมม ?
เราแทบไม่หยุดกระพริบตาเมื่อกาก้าเกือบอ้วกบนเวที หรือเมื่อมาดอนน่ายังคงสานต่อกระแสด้วยการขึ้นโชว์กับไมลีย์ หรือจะริฮานน่าที่แลดูจะยุ่งกับการเล่นอินสตาแกรมโปรโมทเพลงฮิตของเธอ เกิดอะไรขึ้นกับวงการดิว่าส์ในปัจจุบัน ?
หนังสือพิมพ์ Huffington Post ได้ทำการแตกประเด็นด้วยความเห็นจากพิธีกรชื่อดัง Caitlyn Becker และ Gerren Keith Gaynor ที่ได้จำกัดความเป็นดิว่าส์ไว้ดังนี้ "มันมี 4 ส่วนผสมหลักๆ แรกนั้นคุณต้องมีอิทธิพลบนชาร์ทเพลง มีความสามารถอันเปี่ยมล้น มีความมั่นคงยืนยง และสามารถรักษาระดับชื่อเสียงของคุณให้ยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอ"
แต่เหล่าศิลปินสาวชื่อดังในปัจจุบันมีส่วนผสมทั้ง 4 ครบสมบูรณ์แล้วหรือ ?
"เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยแผ่นผีซีดีเถื่อนและดิว่าส์ที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกเธอไร้ความสามารถอันแท้จริง !! อย่างกาก้าภาพการปรุงแต่งของเธอบดบังความสามารถไปเสียหมด เราควรหยุดใช้คำว่าดิว่าส์พร่ำเพรื่อเหมือนมันเป็นคำเล่นๆที่ใช้ได้กับทุกคน"
เคที่และไมลีย์อาจครองชาร์ทเพลงแต่พวกเธอไม่มีศักยภาพพอที่จะเอาผู้ชมอยู่เหมือนอย่างที่อารีธ่าหรือมารายห์ทำได้ และดูเหมือนว่าในตอนนี้ "บียอนเซ่" จะเป็นองค์รานีเพียงผู้เดียวที่สืบทอดตำนานดิว่าส์ให้คงอยู่ในปัจจุบัน
อ้างอิง:Beyoncethailand.net
ปล. ใครไม่เห็นด้วย หรือ คิดว่าไม่จริง ติชมได้เลย ไม่ว่ากัน ไม่ได้คิดจะอวยแต่บี อย่างเดียว เพราะผมก็ไม่ได้ชอบเพลงของบีอย่างเดียว!!!!
10 เพลง ที่ทรงอิทธิพลจาก Beyonce
#10 Irreplaceable : เพลงจังหวะปานกลางที่ฮิตทุกคลื่นวิทยุ เดิมทีเพลงนี้แต่งในทำนองคันทรีฟังสบายๆ ค่ะแต่บียอนเซ่ดัดแปลงดนตรีให้เข้ากับสไตล์ของเธอจนทำให้เพลงนี้ไม่มีแนวเพลงอย่างชัดเจน ด้วยข้อเด่นตรงนี้ส่งผลให้ทุกคลื่นวิทยุเปิดเพลงนี้ได้หมดจนกลายมาเป็นเพลงฮิตค่ะ ไม่ว่าจะเปิดคลื่นวิทยุไหนก็จะมีเพลงเพลงนี้เล่นอยู่เสมอพร้อมกับวลีฮิตที่ว่า "to the left, to the left"
#9 Flawless : เพลงสุดเซอร์ไพรส์จากอัลบั้มล่าสุดของบียอนเซ่ค่ะ ตอนแรกเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยก่อนซึ่งถูกวิจารณ์ไปในแง่ลบเสียมากกว่า จนกระทั่งเวอร์ชั่นเต็มถูกปล่อยมาจริงทำให้ทราบว่าเพลงนี้ซ่อนเนื้อหาอะไรอยู่อีกมาก ทั้งดนตรีที่แหวกแนว มีท่อนร้องท่อนแร๊พ และสอดแทรกวลีเด็ดของ Chimamanda Ngozi Adichie เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อสตรีเพศเข้าไปด้วย
#8 Say My Name : เพลงนี้ในฐานะศิลปินวงเดสทินีส์ ชายด์ที่แจ้งเกิดให้กับบียอนเซ่เลยก็ว่าได้ หลายคนรู้จักบียอนเซ่เพราะเพลงนี้ และแนวเพลงนี้ทำให้บียอนเซ่โดดเด่นขึ้นมา จนพูดได้เลยค่ะว่าเพลงนี้เป็นของคู่กับบียอนเซ่ค่ะ
#7 Ring The Alarm : ไม่น่าเชื่อว่าเพลงนี้จะเข้ามาอยู่ในอันดับ 7 ได้ก็เพราะอารมณ์เพลงกระแทกดุดันซึ่งแตกต่างจากเพลงก่อนหน้าที่บียอนเซ่เคยทำมาทั้งหมดค่ะ ตั้งแต่เริ่มเพลงจนจบเพลงเธอใส่อารมณ์ไม่ยั้งจริงๆ ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะไปได้ไม่สวยในคลื่นวิทยุแต่โชว์เพลงนี้ในงาน MTV Video Music Awards 2006 ทำให้มีคนพูดถึงการร้อง การโชว์สุดอลังการของเธอไม่น้อยทีเดียวเลยค่ะ
#6 Telephone / Video Phone : บียอนเซ่เคยร่วมงานกับศิลปินต่างๆ มากมาย เพลง Telephone ถือว่าเป็นความพิเศษที่สุดที่ได้เห็นบียอนเซ่ร่วมงานกับเลดี้กาก้า ในช่วงนั้นถือเป็นช่วงสงครามของวงการเพลงก็ว่าได้เลยค่ะเพราะศิลปินทุกคนกระหน่ำปล่อยซิงเกิ้ลและเอ็มวีฆ่ากันสุดๆ ท้ายสุดแล้วบียอนเซ่และเลดี้กาก้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามิตรภาพหลังสงครามเพลงยังมีอยู่จริง ส่งผลให้เพลง Telephone ขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ของชาร์ทเพลงได้สำเร็จ
#5 Countdown : ซิงเกิ้ลลำดับที่ 4 จากอัลบั้ม 4 เป็นอีกอีกหนึ่งเพลงที่รวมแนวเพลงหลายแนวเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นฟังค์ ฮิปฮอป ละตินป๊อบ รวมไปถึงแดนซ์เล็กๆ เพลงนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตรักและชีวิตการทำงานของบียอนเซ่ค่ะ เอ็มวีนำผลงานของนักเต้น Anne Teresa De Keersmaeker และ Audrey Hepburn มาเป็นธีมดำเนินเรื่อง จุดเด่นของเอ็มวีนี้คือการถ่ายทำขณะบียอนเซ่ตั้งครรภ์ค่ะ
#4 Drunk In Love : เพลงรักโรแมนติกพ่วงเรท 18+ จากอัลบั้มชุดล่าสุดและเป็นเพลงฮิตติดปากไปเรียบร้อยแล้วค่ะ เพลงนี้บอกเล่าความรักและเซ็กซ์อันสุดแสนเร่าร้อนระหว่างบียอนเซ่และเจย์ซี คำว่า Drunk ตีความถึงความเซ็กซี่ของบียอนเซ่ยามมีเซ็กซ์ในท่าเซิฟบอร์ด
#3 Run The World (Girls) : ในขณะที่ศิลปินอื่นปล่อยซิงเกิ้ลมาเอาใจแฟนเพลง แต่บียอนเซ่กลับนำเพลง Pon de Floor มาเป็นตัวอย่างและปล่อยซิงเกิ้ลนี้มาสวนกระแสเพลงอื่นๆ เพียงต้องการตอกย้ำอุดมคติของตนเองที่ "สู้เพื่อเพศหญิง"
#2 Crazy In Love : ซิงเกิ้ลแรกของบียอนเซ่ในฐานะศิลปินเดี่ยว เพลงฮิตในช่วงซัมเมอร์ 2003 และเป็นเพลงฮิตตลอดกาลของบียอนเซ่ เพลงนี้อัดแน่นไปด้วยท่วงทำนองและท่าเต้นอันเป็นเอกลักษณ์ ลบภาพบียอนเซ่คนเดิมในเดสทินีส์ ชายด์ได้อย่างหมดจด เพลงนี้ยังได้เจ้าพ่อแร๊พเจย์ซีมาร่วมงานด้วยซึ่งเป็นการเปิดตัวว่าทั้งคู่คบหาดูใจกันค่ะ
#1 Single Ladies (Put A Ring On It) : ยกให้เป็นเพลงที่สอดแทรกเนื้อหาทางสัมคมที่ดีที่สุดของบียอนเซ่เลยค่ะ แถมเอ็มวีเพลงนี้ยังมีท่าเต้นจากในเอ็มวีที่ได้แรงบันดาลใจมากจาก Gwen Verdon จนกลายเป็นท่าเต้นยอดฮิตที่เต้นกันทั่วบ้านทั่วเมือง สร้างปรากฏการณ์แฟลชม็อบที่มีผู้อัดคลิปโพสในโซเชียลเน็ตเวิร์คจากทั่วทุกมุมโลก เพลงนี้ยังทำให้อดีตแดนเซอร์ Heather Morris ที่เคยร่วมงานกับบียอนเซ่ในเพลงนี้และใน The Beyoncé Experience แจ้งเกิดในซีรีส์ดัง Glee อีกด้วยค่ะ
อ้างอิง:Beyoncethailand.net
มีแถมอีก..... HuffPost : "บียอนเซ่โดดเดี่ยวอยู่บนบัลลังก์ดิว่าส์ยุคปัจจุบัน"
ารีธ่า เซลีน วิทนีย์ มารายห์ พวกเธอคือสุดยอดดิว่าส์
ไม่ลีย์ เคที่ ริฮานน่า กาก้า ... อืมมม ?
เราแทบไม่หยุดกระพริบตาเมื่อกาก้าเกือบอ้วกบนเวที หรือเมื่อมาดอนน่ายังคงสานต่อกระแสด้วยการขึ้นโชว์กับไมลีย์ หรือจะริฮานน่าที่แลดูจะยุ่งกับการเล่นอินสตาแกรมโปรโมทเพลงฮิตของเธอ เกิดอะไรขึ้นกับวงการดิว่าส์ในปัจจุบัน ?
หนังสือพิมพ์ Huffington Post ได้ทำการแตกประเด็นด้วยความเห็นจากพิธีกรชื่อดัง Caitlyn Becker และ Gerren Keith Gaynor ที่ได้จำกัดความเป็นดิว่าส์ไว้ดังนี้ "มันมี 4 ส่วนผสมหลักๆ แรกนั้นคุณต้องมีอิทธิพลบนชาร์ทเพลง มีความสามารถอันเปี่ยมล้น มีความมั่นคงยืนยง และสามารถรักษาระดับชื่อเสียงของคุณให้ยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอ"
แต่เหล่าศิลปินสาวชื่อดังในปัจจุบันมีส่วนผสมทั้ง 4 ครบสมบูรณ์แล้วหรือ ?
"เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยแผ่นผีซีดีเถื่อนและดิว่าส์ที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกเธอไร้ความสามารถอันแท้จริง !! อย่างกาก้าภาพการปรุงแต่งของเธอบดบังความสามารถไปเสียหมด เราควรหยุดใช้คำว่าดิว่าส์พร่ำเพรื่อเหมือนมันเป็นคำเล่นๆที่ใช้ได้กับทุกคน"
เคที่และไมลีย์อาจครองชาร์ทเพลงแต่พวกเธอไม่มีศักยภาพพอที่จะเอาผู้ชมอยู่เหมือนอย่างที่อารีธ่าหรือมารายห์ทำได้ และดูเหมือนว่าในตอนนี้ "บียอนเซ่" จะเป็นองค์รานีเพียงผู้เดียวที่สืบทอดตำนานดิว่าส์ให้คงอยู่ในปัจจุบัน
อ้างอิง:Beyoncethailand.net
ปล. ใครไม่เห็นด้วย หรือ คิดว่าไม่จริง ติชมได้เลย ไม่ว่ากัน ไม่ได้คิดจะอวยแต่บี อย่างเดียว เพราะผมก็ไม่ได้ชอบเพลงของบีอย่างเดียว!!!!