บทที่ 20 ปราการเวทบนผืนนา
http://pantip.com/topic/31849637
บทที่ 21 เผยโฉมจอมเวทผู้ชั่วร้าย
คำพูดของเกรย์ทำให้ทุกคนหันไปมองอาเซอร์บัสเป็นตาเดียว แต่เขากลับทำทีเป็นไม่สนใจ ซ้ำยังกล่าวโต้ทำนองกวนประสาท
“ใช่ข้าคนเดียวเสียเมื่อไหร่”
“มันก็ถูก แต่มีจอมเวทไม่กี่คนหรอกที่ใช้เวทสายมืด และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงเท่านั้น ที่ผ่านมาข้าเคยเจอพวกที่ว่าแค่สองคน และเวทของพวกเขาก็ต่างจากเจ้ามาก”
“ฟังเหมือนเจ้าเคยเจอมาเยอะ งั้นบอกหน่อยว่าเวทของข้าเหมือนกับเวทของราชาเอ็มโบลเด็นตรงไหน” จอมเวทหนุ่มถาม และขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายตารู้มากของเกรย์
“เจ้าคงไม่อยากให้ข้าอธิบายหรอกอาเซอร์บัส เอาเป็นว่าข้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเวทสายมืดมาบ้าง จึงรู้ว่าคนใช้เวทแบบเดียวกันเท่านั้นจึงจะสัมผัสกับพลังเวทของเอ็มโบลเด็นได้”
เขามองอาเซอร์บัสที่นั่งฟังอย่างสงบและยิ้มอย่างถูกใจเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดจาโต้ตอบกลับมา จึงหาเรื่องกระเซ้าต่อ “หรือถ้าให้คิดอีกมุม บางทีเจ้าอาจสืบเชื้อสายมาจากเขาก็ได้”
ดวงตาของจอมเวทแห่งไมธีร่าทอแสงวาววับ ความโกรธในข้อกล่าวหาทำให้เขาสร้างพลังทำลายในรูปของคลื่นแผ่กระจายออกจากร่าง ถาโถมเข้าใส่หนุ่มมังกร แต่เกรย์กลับไม่แสดงทีท่าว่าจะกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับแกล้งเกาคางเหมือนยั่วโทสะพร้อมกลับเปรยพอให้อีกฝ่ายได้ยิน
“เสียแรงเปล่าน่ะ อาเซอร์บัส”
ดูเหมือนการตอบโต้ด้วยพลังของคนทั้งสอง มิได้ส่งผลถึงจอมเวทอื่นเลยสักนิด เพราะพวกเขายังคงนั่งนิ่ง บางคนกอดอกก้มหน้าราวใช้ความคิด กระทั่งอัลบอร์ตพูดขึ้น
“ข้าพอจะรู้เรื่องราวของราชันย์เวทคนนี้มาบ้าง แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องรัชทายาทหรือผู้สืบสายเลือดเลยสักคน”
“และข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาทิ้งตำราเวทไว้ให้ผู้ใด” ซาเบลพูดและมองเกรย์อย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเวทที่เขาใช้ เป็นแบบเดียวกับราชามืดคนนั้น”
“ง่ายนิดเดียว เพราะเขาใช้เวทในอาณาเขตของอาชาเพลิงได้ ส่วนพวกที่ทำร้ายแม่ของลูซี่ ถึงจะเป็นสายมืดเหมือนกัน แต่ถ้าแม่หนูน้อยกับไลอ้อนอยู่ในเขตที่มีเวทของเอ็มโบลเด็นปกป้อง พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากวนเวียนอยู่รอบนอก รอคอยจังหวะให้ม้าที่ชื่อแคนน่อนและสองพ่อลูกออกไปนอกเขตจึงฉวยโอกาสลงมือ”
เกรย์ตอบด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต่งแต้ม หากดวงตากลับนิ่งสนิทปราศจากอารมณ์ใดๆ จอมเวทน้ำและศัสตราจึงนิ่ง แต่ฮันท์กลับถามด้วยเสียงต่ำทุ้ม
“พวกมันที่พูดถึง คือคนที่เฝ้ามองเราตอนเดินมาที่นี่ใช่ไหม”
หนุ่มมังกรพยักหน้า “ใช่ และตอนนี้พวกมันก็กำลังดูเราอยู่”
“เจ้ารู้ได้ยังไง” จอมเวทพลังสัตว์ถาม เกรย์ยักไหล่และเลื่อนสายตาไปที่หน้าต่าง
“ข้าเห็นมันเดินไปมาตรงชายป่านั่นได้สักพักแล้ว”
มุนดาและเอราปราดไปที่หน้าต่างและมองออกไปด้านนอก แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะมืดมาก จะมีก็เพียงเสียงร้องของสัตว์หากินกลางคืนที่แว่วมาเป็นระยะ เมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติ ทั้งคู่จึงหันไปทางเกรย์
“ข้างนอกมืดขนาดนั้น เจ้าเห็นพวกเขาได้ยังไง” มุนดาเป็นคนถาม เกรย์จึงส่งยิ้มหวานให้พร้อมกับตอบ
“ข้าเป็นคนตาดี”
“เขาใช้ตามังกร” อาเซอร์บัสพูดขึ้นเหมือนจงใจแกล้ง หนุ่มมังกรนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“ขอบใจที่ช่วยอธิบาย” น้ำเสียงประชดประชันก่อนหันกลับไปทางมุนดาเพราะกลัวว่านางจะเข้าใจผิด แต่หญิงสาวกลับยิ้มละมุน
“เจ้าใช้เวทแบบนั้นได้ด้วยหรือ” น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมจนคนฟังหน้าบาน เกรย์ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขินก่อนตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง
“ก็นิดหน่อย”
ท่าทางที่ดูผิดไปจากทุกครั้งทำให้อาเซอร์บัสเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่ผ่านมา เกรย์โปรยเสนห์ให้กับผู้หญิงเป็นประจำก็จริงแต่ไม่เคยแสดงอาการขัดเขินเลยสักนิด คิดพลางยกมุมปากยิ้มอย่างรู้ทันพลางเอนตัวเข้าไปใกล้หนุ่มมังกร
“บอกไปเลยว่า มันไม่ใช่เวท แต่เป็นตาของเจ้าจริงๆ”
เขาจงใจกระเซ้าและขยับถอยออกห่างเมื่ออีกฝ่ายหันมามองตาวาว
“ชักจะนอกเรื่องไปไกลแล้ว กลับมาพูดเรื่องจอมเวทลึกลับพวกนั้นกันดีกว่า” เกรย์พูดด้วยใบหน้าที่ปั่นให้ดูเคร่งขรึมจนอาเซอร์บัสเผลอยิ้มออกมาน้อยๆอย่างนึกขัน เขารีบแกล้งทำเป็นกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อนกิริยาดังกล่าวก่อนอธิบาย
“สรุปก็คือที่นาของตระกูลวอลล์เป็นด่านป้องกันเวทมืดจากราชันย์ดรากูล แต่เสื่อมถอยลงเพราะเวลาและการตายของสการ์เล็ต โชคดีที่ความรักลูกและความเป็นห่วงไลอ้อนกับลูซี่ ดวงวิญญาณของมันจึงผนึกเข้ากับเวทเพลิงของเอ็มโบลเด็น ทำให้ปราการเวทยังมีพลังหลงเหลืออยู่แต่ก็ไม่แรงพอที่จะต้านคำสาปร้ายได้ทั้งหมด ไมธีร่าจึงถูกโจมตีด้วยหมอกวิญญาณ”
จอมเวทหนุ่มพูด เกรย์และคนอื่นนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เมื่อจบประโยคสุดท้ายราเชนจึงเบิกตาโพล่งถาม
“หมายถึงหมอกที่บุกเข้ามาโจมตีพวกเราในงานเทศกาลใช่ไหม”
“ใช่” อาเซอร์บัสตอบ “ตอนเห็นมันครั้งแรกข้าเองก็ยังงงอยู่เหมือนกัน เพราะไมธีร่ามีเวทป้องกันแข็งแกร่ง ไมมีทางที่หมอกวิญญาณอ่อนแอแบบนั้นจะรุกเข้ามาได้โดยง่าย พอตรวจสอบถึงรู้ว่ากำแพงด้านนี้อ่อนกำลังลง และข้าเองก็พยายามหาสาเหตุอยู่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อหกเดือนก่อนทุกอย่างยังเป็นปรกติดี กระทั่งเห็นอาชาเพลิงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับม้าที่ชื่อสการ์เล็ตแล้วจึงเข้าใจ”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” เบอร์ทิน่าถาม อาเซอร์บัสจึงหันมาตอบ
“ข้าศึกษาข้อมูลของไมธีร่าตั้งแต่ก่อนเข้ามาในเมืองแล้ว”
“ทำไมไม่เล่าให้พวกเราฟังบ้าง” เด็กสาวกล่าวเชิงตำหนิ จอมเวทหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ
“รู้ไปเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เด็กสาวขยับจะเถียงแต่เปลี่ยนใจเป็นเม้มปากแน่นเพราะจอมเวทหนุ่มพูดถูก ถึงจะรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่คนธรรมดาอย่างนางจะไปมีปัญญาทำอะไร เวทดวงดาวที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเพียงชั้นต้น หากเทียบกับพลังของอาเซอร์บัสและจอมเวททุกคนในตอนนี้แล้ว ยังห่างไกลกันสุดกู่เหมือนมดกับมังกร ขืนยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องรังแต่จะเป็นตัวถ่วงสร้างภาระให้กับคนอื่น คิดพลางก้มหน้าลงมองดาบบรรพกษัตริย์ในมือด้วยความปวดใจ ราเชนซึ่งเฝ้ามองอยู่ด้วยความเป็นห่วงจึงรวบมือนางเอาไว้และบีบเบาๆเป็นเชิงปลอบ ส่วนเกรย์ขมวดคิ้วกอดอกพร้อมกับพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“ปัญหาต่อไปคือ เราจะจัดการกับคนพวกนั้นอย่างไร เพราะขืนปล่อยเอาไว้ พวกมันคงฆ่าตระกูลวอลล์จนเกลี้ยง พอปราการเวทถูกทำลาย เป้าหมายต่อไปคงไม้พ้นเมืองไมธีร่า”
“ไม่ยาก เราก็หามันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ” ฮันท์โพล่งออกมาอย่างเหลืออดจนทุกคนหันไปมองด้วยความแปลกใจ แต่คิลเลอร์ฟรอสต์กลับส่ายหน้า
“มันจะไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ข้าคิดว่าจอมเวทพวกนี้คงมีจำนวนไม่น้อย ต่อให้กำจัดคนกลุ่มนี้สำเร็จกลุ่มใหม่ก็จะเข้ามาแทน และรอจนกว่าพวกเราไปจากที่นี่จึงจะลงมือ ถึงมีอาชาเพลิงคอยปกป้อง พลังของมันก็มีขีดจำกัด เพราะต้องแบ่งบางส่วนไปต้านอำนาจของดรากูลเอาไว้ หากยื้อต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ พลังของมันต้องอ่อนลง สุดท้ายพวกวอลล์คงถูกฆ่าตาย”
เหตุผลของจอมเวทน้ำแข็งทำให้ทุกคนนิ่งคิด ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ที่สุดแล้วก็มีจุดจบแบบเดียวกันเพราะพลังป้องกันอันแข็งแกร่งที่ราชาเอ็มโบลเด็นผนึกเอาไว้ในตัวม้าถูกแยกออกจากร่างไปแล้ว เมื่อเห็นทุกคนตกอยู่ในอาการเคร่งเครียดกับปัญหาของครอบครัว ไลอ้อนจึงตัดสินใจพูด
“พวกท่านมีภารกิจสำคัญ ดังนั้นโปรดอย่ากังวลกับเรื่องนี้เลย ข้าเองก็พอจะมีฝีมือในการต่อสู้ ถึงไม่เก่งนักแต่ก็รับมือกับจอมเวทพวกนั้นได้อย่างสบาย และถ้าคอยระมัดระวังไม่ออกนอกอาณาเขต เวทมืดชั่วช้าก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”
เขาพูดด้วยท่าท่างมั่นใจแต่เกรย์กลับส่ายหน้า
“จอมเวทบางคนไม่ได้เก่งแค่อำนาจเวทมนต์เท่านั้น ถ้าเจอพวกนักฆ่ามีฝีมือท่านอาจตายง่ายๆ ทางดีที่สุดก็คือจัดการกลุ่มนี้ให้เกลี้ยงและสร้างพลังป้องกันขึ้นมาใหม่” พูดพลางหันไปทางอาเซอร์บัส
“มีวิธีผนึกอาชาเพลิงลงไปในตัวแคนน่อนไหม”
“มี” จอมเวทหนุ่มตอบ เกรย์จึงตบฝ่ามือตัวเองดังฉาด
“เยี่ยม งั้นเราเรียกอาชาเพลิงออกมาแล้วผนึกมันลงไปในตัวของแคนน่อน เท่านี้เวทของเอ็มโบลเด็นก็จะกลับมาแข็งแกร่งตามเดิม”
ทุกคนพยักหน้าไปกับคำพูดของหนุ่มมังกร แต่อาเซอร์บัสกลับโคลงศีรษะ
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ตอนนี้ผนึกเวทป้องกันมีดวงจิตของสการ์เล็ตเข้าแทรกจนแยกออกเป็นหลายส่วนทำให้มันคลอนแคลนเกินกว่าที่จะทำอะไรได้”
เกรย์นิ่งคิด สีหน้าปรีดาเมื่อครู่กลับกลายเป็นเคร่งขรึม
“นั่นสินะ ข้าเองก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป”
“ทำไมล่ะ ในเมื่อสการ์เล็ตเป็นห่วงลูกของมัน ก็น่าจะผนึกเวทนั้นลงไปในตัวแคนน่อนได้ง่ายๆไม่ใช่หรือ” ราเชนถาม
“สการ์เล็ตไม่ได้ห่วงแค่ลูก แต่ยังกังวลถึงไลอ้อนกับลูซี่ ทำให้ดวงจิตของมันไม่มั่นคง ในขณะเดียวกันเวทป้องกันเองต้องแบ่งพลังบางส่วนไปช่วยผนึกของแผ่นดิน ทำให้อาชาเพลิงในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากวุ้นซึ่งถ้าถูกอัดมากๆเข้าก็จะเละ”
เกรย์อธิบายและหันไปทางจอมเวทแห่งไมธีร่า “ข้าพูดถูกไหม”
เสียงพึมพำลอยเข้าหูทำนอง ‘รู้มาก’ แต่เกรย์ทำเป็นไม่สนใจและยังคงจ้องจอมเวทหนุ่มแห่งไมธีร่าเขม็งเหมือนจะคาดคั้นให้ได้รับคำตอบ ซึ่งก็ได้ผลเพราะอาเซอร์บัสผงกศีรษะอย่างเสียไม่ได้ก่อนพูดสั้นๆ
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรทำให้มันเลิกกังวล” ฮันท์โพล่งออกมาอย่างดุดันและชูกำปั้นขึ้น “ข้าจะจัดการจอมเวทชั่วพวกนั้นให้เอง”
คำพูดมุทะลุกับท่าทางฉุนเฉียวสร้างความประหลาดใจต่ออาเซอร์บัสกับเกรย์เป็นอย่างมาก เพราะปรกติแล้วแม้ภายนอกจะดูน่ากลัว แต่ฮันท์มักจะวางตัวนิ่งเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวหรือแสดงอารมณ์กับใคร แต่พอนึกได้ว่า บางทีจอมเวทที่เข้ามาก่อกวนครอบครัวของไลอ้อน อาจเป็นกลุ่มเดียวกับจอมเวทที่เคยทำลายเมืองวู้ดแลนด์จนย่อยยับมาแล้วก็เป็นได้ ทั้งคู่จึงไม่เอ่ยปากแย้ง ในขณะเดียวกันก็ไม่กล่าวสนับสนุนความคิดนั้น ซาเบลซึ่งนั่งฟังอยู่นานจึงพูดขึ้น
“ฟังดูเป็นทางออกที่ดี แต่ปัญหาก็คือ ป่านนี้คนพวกนั้นคงรู้แล้วว่าเราเป็นจอมเวท และน่าจะเดาออกว่าเจ้าเป็นใคร” เขาหันไปทางอาเซอร์บัส “หากข้าคิดไม่ผิด พวกเขายังรู้อีกด้วยว่า
ไลอ้อนต้องเล่าทุกอย่างให้เราฟัง และเดาทางออกว่าพวกตัวเองต้องโดนกำจัดแน่ ถ้าเป็นข้าคงเลือกวิธีหลบซ่อนมากกว่าเสี่ยงออกมาปะทะ ดังนั้นจึงแน่ใจได้เลยว่าพวกเขาไม่มีทางปรากฏตัวให้เราจัดการง่ายๆหรอก”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” อาเซอร์บัสพูดและหยุดนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนกล่าวต่อ “เราต้องวางแผนล่อพวกมันออกมา”
“ด้วยวิธีไหน” ราเชนถาม จอมเวทหนุ่มนิ่วหน้า
“ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่วิธีโง่ๆอย่างร่ายเวทเรียกพลังแล้วบุกตะลุยเข้าไปในป่าเหมือนหมีบ้า” พูดพลางหันไปจ้องฮันท์ซึ่งยืนกำหมัดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หน้าประตู อีกฝ่ายหันมาจ้องตาวาว
“ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้ว จะลากเจ้าพวกชั่วนั่นออกมาได้ยังไง” จอมเวทร่างหมีถามด้วยเสียงเกือบจะเป็นคำราม อาเซอร์บัสตอบเสียงเย็น
“ข้ายังคิดไม่ออก” พูดพลางวางมือลงบนโต๊ะก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเชิงสั่ง “ตอนนี้ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายกันไปพัก หลับให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้เช้าค่อยมาประชุมกันอีกทีว่าจะเอายังไง”
ฮันท์เตรียมแย้งแต่ต้องยั้งคำพูดของตัวเองเอาไว้เมื่อคิลเลอร์ฟรอสต์ลุกจากที่นั่ง หอบสัมภาระแยกตัวไปยังมุมห้อง ส่วนซาเบลกับอัลบอร์ตเดินไปอีกด้าน พอปูผ้าเสร็จเรียบร้อยก็เอนตัวลงนอน เมื่อเห็นทุกคนทำตามที่จอมเวทแห่งไมธีร่าบอกแต่โดยดีแล้ว เขาจึงกระแทกลมหายใจฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนทิ้งตัวลงนั่งกอดอกข้างเตาผิง การยอมละความดื้อดึงแต่โดยดีของจอมเวทหมียักษ์ทำให้ไลอ้อนแอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนหันไปทางเอรากับมุนดาซึ่งกำลังมองหาที่เหมาะๆสำหรับตัวเอง
“ข้ามีห้องว่างสำหรับสุภาพสตรี” เขากล่าวอย่างสุภาพและหันไปค้อมศีรษะให้เบอร์ทิน่า “ขอเชิญเจ้าหญิงกับท่านทั้งสองตามข้ามา”
พอไลอ้อนพาเบอร์ทิน่ากับจอมเวทสาวไปยังห้องพักซึ่งอยู่ด้านในของบ้านแล้ว ราเชนจึงมองหาที่นอนของตัวเองบ้าง แต่ถูกลูซี่คว้าแขนเอาไว้และลากให้เดินตามนางไปยังห้องด้านข้าง
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 21 เผยโฉมจอมเวทผู้ชั่วร้าย
http://pantip.com/topic/31849637
บทที่ 21 เผยโฉมจอมเวทผู้ชั่วร้าย
คำพูดของเกรย์ทำให้ทุกคนหันไปมองอาเซอร์บัสเป็นตาเดียว แต่เขากลับทำทีเป็นไม่สนใจ ซ้ำยังกล่าวโต้ทำนองกวนประสาท
“ใช่ข้าคนเดียวเสียเมื่อไหร่”
“มันก็ถูก แต่มีจอมเวทไม่กี่คนหรอกที่ใช้เวทสายมืด และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงเท่านั้น ที่ผ่านมาข้าเคยเจอพวกที่ว่าแค่สองคน และเวทของพวกเขาก็ต่างจากเจ้ามาก”
“ฟังเหมือนเจ้าเคยเจอมาเยอะ งั้นบอกหน่อยว่าเวทของข้าเหมือนกับเวทของราชาเอ็มโบลเด็นตรงไหน” จอมเวทหนุ่มถาม และขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายตารู้มากของเกรย์
“เจ้าคงไม่อยากให้ข้าอธิบายหรอกอาเซอร์บัส เอาเป็นว่าข้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเวทสายมืดมาบ้าง จึงรู้ว่าคนใช้เวทแบบเดียวกันเท่านั้นจึงจะสัมผัสกับพลังเวทของเอ็มโบลเด็นได้”
เขามองอาเซอร์บัสที่นั่งฟังอย่างสงบและยิ้มอย่างถูกใจเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดจาโต้ตอบกลับมา จึงหาเรื่องกระเซ้าต่อ “หรือถ้าให้คิดอีกมุม บางทีเจ้าอาจสืบเชื้อสายมาจากเขาก็ได้”
ดวงตาของจอมเวทแห่งไมธีร่าทอแสงวาววับ ความโกรธในข้อกล่าวหาทำให้เขาสร้างพลังทำลายในรูปของคลื่นแผ่กระจายออกจากร่าง ถาโถมเข้าใส่หนุ่มมังกร แต่เกรย์กลับไม่แสดงทีท่าว่าจะกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับแกล้งเกาคางเหมือนยั่วโทสะพร้อมกลับเปรยพอให้อีกฝ่ายได้ยิน
“เสียแรงเปล่าน่ะ อาเซอร์บัส”
ดูเหมือนการตอบโต้ด้วยพลังของคนทั้งสอง มิได้ส่งผลถึงจอมเวทอื่นเลยสักนิด เพราะพวกเขายังคงนั่งนิ่ง บางคนกอดอกก้มหน้าราวใช้ความคิด กระทั่งอัลบอร์ตพูดขึ้น
“ข้าพอจะรู้เรื่องราวของราชันย์เวทคนนี้มาบ้าง แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องรัชทายาทหรือผู้สืบสายเลือดเลยสักคน”
“และข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาทิ้งตำราเวทไว้ให้ผู้ใด” ซาเบลพูดและมองเกรย์อย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเวทที่เขาใช้ เป็นแบบเดียวกับราชามืดคนนั้น”
“ง่ายนิดเดียว เพราะเขาใช้เวทในอาณาเขตของอาชาเพลิงได้ ส่วนพวกที่ทำร้ายแม่ของลูซี่ ถึงจะเป็นสายมืดเหมือนกัน แต่ถ้าแม่หนูน้อยกับไลอ้อนอยู่ในเขตที่มีเวทของเอ็มโบลเด็นปกป้อง พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากวนเวียนอยู่รอบนอก รอคอยจังหวะให้ม้าที่ชื่อแคนน่อนและสองพ่อลูกออกไปนอกเขตจึงฉวยโอกาสลงมือ”
เกรย์ตอบด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต่งแต้ม หากดวงตากลับนิ่งสนิทปราศจากอารมณ์ใดๆ จอมเวทน้ำและศัสตราจึงนิ่ง แต่ฮันท์กลับถามด้วยเสียงต่ำทุ้ม
“พวกมันที่พูดถึง คือคนที่เฝ้ามองเราตอนเดินมาที่นี่ใช่ไหม”
หนุ่มมังกรพยักหน้า “ใช่ และตอนนี้พวกมันก็กำลังดูเราอยู่”
“เจ้ารู้ได้ยังไง” จอมเวทพลังสัตว์ถาม เกรย์ยักไหล่และเลื่อนสายตาไปที่หน้าต่าง
“ข้าเห็นมันเดินไปมาตรงชายป่านั่นได้สักพักแล้ว”
มุนดาและเอราปราดไปที่หน้าต่างและมองออกไปด้านนอก แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะมืดมาก จะมีก็เพียงเสียงร้องของสัตว์หากินกลางคืนที่แว่วมาเป็นระยะ เมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติ ทั้งคู่จึงหันไปทางเกรย์
“ข้างนอกมืดขนาดนั้น เจ้าเห็นพวกเขาได้ยังไง” มุนดาเป็นคนถาม เกรย์จึงส่งยิ้มหวานให้พร้อมกับตอบ
“ข้าเป็นคนตาดี”
“เขาใช้ตามังกร” อาเซอร์บัสพูดขึ้นเหมือนจงใจแกล้ง หนุ่มมังกรนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“ขอบใจที่ช่วยอธิบาย” น้ำเสียงประชดประชันก่อนหันกลับไปทางมุนดาเพราะกลัวว่านางจะเข้าใจผิด แต่หญิงสาวกลับยิ้มละมุน
“เจ้าใช้เวทแบบนั้นได้ด้วยหรือ” น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมจนคนฟังหน้าบาน เกรย์ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขินก่อนตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง
“ก็นิดหน่อย”
ท่าทางที่ดูผิดไปจากทุกครั้งทำให้อาเซอร์บัสเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่ผ่านมา เกรย์โปรยเสนห์ให้กับผู้หญิงเป็นประจำก็จริงแต่ไม่เคยแสดงอาการขัดเขินเลยสักนิด คิดพลางยกมุมปากยิ้มอย่างรู้ทันพลางเอนตัวเข้าไปใกล้หนุ่มมังกร
“บอกไปเลยว่า มันไม่ใช่เวท แต่เป็นตาของเจ้าจริงๆ”
เขาจงใจกระเซ้าและขยับถอยออกห่างเมื่ออีกฝ่ายหันมามองตาวาว
“ชักจะนอกเรื่องไปไกลแล้ว กลับมาพูดเรื่องจอมเวทลึกลับพวกนั้นกันดีกว่า” เกรย์พูดด้วยใบหน้าที่ปั่นให้ดูเคร่งขรึมจนอาเซอร์บัสเผลอยิ้มออกมาน้อยๆอย่างนึกขัน เขารีบแกล้งทำเป็นกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อนกิริยาดังกล่าวก่อนอธิบาย
“สรุปก็คือที่นาของตระกูลวอลล์เป็นด่านป้องกันเวทมืดจากราชันย์ดรากูล แต่เสื่อมถอยลงเพราะเวลาและการตายของสการ์เล็ต โชคดีที่ความรักลูกและความเป็นห่วงไลอ้อนกับลูซี่ ดวงวิญญาณของมันจึงผนึกเข้ากับเวทเพลิงของเอ็มโบลเด็น ทำให้ปราการเวทยังมีพลังหลงเหลืออยู่แต่ก็ไม่แรงพอที่จะต้านคำสาปร้ายได้ทั้งหมด ไมธีร่าจึงถูกโจมตีด้วยหมอกวิญญาณ”
จอมเวทหนุ่มพูด เกรย์และคนอื่นนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เมื่อจบประโยคสุดท้ายราเชนจึงเบิกตาโพล่งถาม
“หมายถึงหมอกที่บุกเข้ามาโจมตีพวกเราในงานเทศกาลใช่ไหม”
“ใช่” อาเซอร์บัสตอบ “ตอนเห็นมันครั้งแรกข้าเองก็ยังงงอยู่เหมือนกัน เพราะไมธีร่ามีเวทป้องกันแข็งแกร่ง ไมมีทางที่หมอกวิญญาณอ่อนแอแบบนั้นจะรุกเข้ามาได้โดยง่าย พอตรวจสอบถึงรู้ว่ากำแพงด้านนี้อ่อนกำลังลง และข้าเองก็พยายามหาสาเหตุอยู่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อหกเดือนก่อนทุกอย่างยังเป็นปรกติดี กระทั่งเห็นอาชาเพลิงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับม้าที่ชื่อสการ์เล็ตแล้วจึงเข้าใจ”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” เบอร์ทิน่าถาม อาเซอร์บัสจึงหันมาตอบ
“ข้าศึกษาข้อมูลของไมธีร่าตั้งแต่ก่อนเข้ามาในเมืองแล้ว”
“ทำไมไม่เล่าให้พวกเราฟังบ้าง” เด็กสาวกล่าวเชิงตำหนิ จอมเวทหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ
“รู้ไปเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เด็กสาวขยับจะเถียงแต่เปลี่ยนใจเป็นเม้มปากแน่นเพราะจอมเวทหนุ่มพูดถูก ถึงจะรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่คนธรรมดาอย่างนางจะไปมีปัญญาทำอะไร เวทดวงดาวที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเพียงชั้นต้น หากเทียบกับพลังของอาเซอร์บัสและจอมเวททุกคนในตอนนี้แล้ว ยังห่างไกลกันสุดกู่เหมือนมดกับมังกร ขืนยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องรังแต่จะเป็นตัวถ่วงสร้างภาระให้กับคนอื่น คิดพลางก้มหน้าลงมองดาบบรรพกษัตริย์ในมือด้วยความปวดใจ ราเชนซึ่งเฝ้ามองอยู่ด้วยความเป็นห่วงจึงรวบมือนางเอาไว้และบีบเบาๆเป็นเชิงปลอบ ส่วนเกรย์ขมวดคิ้วกอดอกพร้อมกับพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“ปัญหาต่อไปคือ เราจะจัดการกับคนพวกนั้นอย่างไร เพราะขืนปล่อยเอาไว้ พวกมันคงฆ่าตระกูลวอลล์จนเกลี้ยง พอปราการเวทถูกทำลาย เป้าหมายต่อไปคงไม้พ้นเมืองไมธีร่า”
“ไม่ยาก เราก็หามันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ” ฮันท์โพล่งออกมาอย่างเหลืออดจนทุกคนหันไปมองด้วยความแปลกใจ แต่คิลเลอร์ฟรอสต์กลับส่ายหน้า
“มันจะไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ข้าคิดว่าจอมเวทพวกนี้คงมีจำนวนไม่น้อย ต่อให้กำจัดคนกลุ่มนี้สำเร็จกลุ่มใหม่ก็จะเข้ามาแทน และรอจนกว่าพวกเราไปจากที่นี่จึงจะลงมือ ถึงมีอาชาเพลิงคอยปกป้อง พลังของมันก็มีขีดจำกัด เพราะต้องแบ่งบางส่วนไปต้านอำนาจของดรากูลเอาไว้ หากยื้อต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ พลังของมันต้องอ่อนลง สุดท้ายพวกวอลล์คงถูกฆ่าตาย”
เหตุผลของจอมเวทน้ำแข็งทำให้ทุกคนนิ่งคิด ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ที่สุดแล้วก็มีจุดจบแบบเดียวกันเพราะพลังป้องกันอันแข็งแกร่งที่ราชาเอ็มโบลเด็นผนึกเอาไว้ในตัวม้าถูกแยกออกจากร่างไปแล้ว เมื่อเห็นทุกคนตกอยู่ในอาการเคร่งเครียดกับปัญหาของครอบครัว ไลอ้อนจึงตัดสินใจพูด
“พวกท่านมีภารกิจสำคัญ ดังนั้นโปรดอย่ากังวลกับเรื่องนี้เลย ข้าเองก็พอจะมีฝีมือในการต่อสู้ ถึงไม่เก่งนักแต่ก็รับมือกับจอมเวทพวกนั้นได้อย่างสบาย และถ้าคอยระมัดระวังไม่ออกนอกอาณาเขต เวทมืดชั่วช้าก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”
เขาพูดด้วยท่าท่างมั่นใจแต่เกรย์กลับส่ายหน้า
“จอมเวทบางคนไม่ได้เก่งแค่อำนาจเวทมนต์เท่านั้น ถ้าเจอพวกนักฆ่ามีฝีมือท่านอาจตายง่ายๆ ทางดีที่สุดก็คือจัดการกลุ่มนี้ให้เกลี้ยงและสร้างพลังป้องกันขึ้นมาใหม่” พูดพลางหันไปทางอาเซอร์บัส
“มีวิธีผนึกอาชาเพลิงลงไปในตัวแคนน่อนไหม”
“มี” จอมเวทหนุ่มตอบ เกรย์จึงตบฝ่ามือตัวเองดังฉาด
“เยี่ยม งั้นเราเรียกอาชาเพลิงออกมาแล้วผนึกมันลงไปในตัวของแคนน่อน เท่านี้เวทของเอ็มโบลเด็นก็จะกลับมาแข็งแกร่งตามเดิม”
ทุกคนพยักหน้าไปกับคำพูดของหนุ่มมังกร แต่อาเซอร์บัสกลับโคลงศีรษะ
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ตอนนี้ผนึกเวทป้องกันมีดวงจิตของสการ์เล็ตเข้าแทรกจนแยกออกเป็นหลายส่วนทำให้มันคลอนแคลนเกินกว่าที่จะทำอะไรได้”
เกรย์นิ่งคิด สีหน้าปรีดาเมื่อครู่กลับกลายเป็นเคร่งขรึม
“นั่นสินะ ข้าเองก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป”
“ทำไมล่ะ ในเมื่อสการ์เล็ตเป็นห่วงลูกของมัน ก็น่าจะผนึกเวทนั้นลงไปในตัวแคนน่อนได้ง่ายๆไม่ใช่หรือ” ราเชนถาม
“สการ์เล็ตไม่ได้ห่วงแค่ลูก แต่ยังกังวลถึงไลอ้อนกับลูซี่ ทำให้ดวงจิตของมันไม่มั่นคง ในขณะเดียวกันเวทป้องกันเองต้องแบ่งพลังบางส่วนไปช่วยผนึกของแผ่นดิน ทำให้อาชาเพลิงในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากวุ้นซึ่งถ้าถูกอัดมากๆเข้าก็จะเละ”
เกรย์อธิบายและหันไปทางจอมเวทแห่งไมธีร่า “ข้าพูดถูกไหม”
เสียงพึมพำลอยเข้าหูทำนอง ‘รู้มาก’ แต่เกรย์ทำเป็นไม่สนใจและยังคงจ้องจอมเวทหนุ่มแห่งไมธีร่าเขม็งเหมือนจะคาดคั้นให้ได้รับคำตอบ ซึ่งก็ได้ผลเพราะอาเซอร์บัสผงกศีรษะอย่างเสียไม่ได้ก่อนพูดสั้นๆ
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรทำให้มันเลิกกังวล” ฮันท์โพล่งออกมาอย่างดุดันและชูกำปั้นขึ้น “ข้าจะจัดการจอมเวทชั่วพวกนั้นให้เอง”
คำพูดมุทะลุกับท่าทางฉุนเฉียวสร้างความประหลาดใจต่ออาเซอร์บัสกับเกรย์เป็นอย่างมาก เพราะปรกติแล้วแม้ภายนอกจะดูน่ากลัว แต่ฮันท์มักจะวางตัวนิ่งเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวหรือแสดงอารมณ์กับใคร แต่พอนึกได้ว่า บางทีจอมเวทที่เข้ามาก่อกวนครอบครัวของไลอ้อน อาจเป็นกลุ่มเดียวกับจอมเวทที่เคยทำลายเมืองวู้ดแลนด์จนย่อยยับมาแล้วก็เป็นได้ ทั้งคู่จึงไม่เอ่ยปากแย้ง ในขณะเดียวกันก็ไม่กล่าวสนับสนุนความคิดนั้น ซาเบลซึ่งนั่งฟังอยู่นานจึงพูดขึ้น
“ฟังดูเป็นทางออกที่ดี แต่ปัญหาก็คือ ป่านนี้คนพวกนั้นคงรู้แล้วว่าเราเป็นจอมเวท และน่าจะเดาออกว่าเจ้าเป็นใคร” เขาหันไปทางอาเซอร์บัส “หากข้าคิดไม่ผิด พวกเขายังรู้อีกด้วยว่า
ไลอ้อนต้องเล่าทุกอย่างให้เราฟัง และเดาทางออกว่าพวกตัวเองต้องโดนกำจัดแน่ ถ้าเป็นข้าคงเลือกวิธีหลบซ่อนมากกว่าเสี่ยงออกมาปะทะ ดังนั้นจึงแน่ใจได้เลยว่าพวกเขาไม่มีทางปรากฏตัวให้เราจัดการง่ายๆหรอก”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” อาเซอร์บัสพูดและหยุดนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนกล่าวต่อ “เราต้องวางแผนล่อพวกมันออกมา”
“ด้วยวิธีไหน” ราเชนถาม จอมเวทหนุ่มนิ่วหน้า
“ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่วิธีโง่ๆอย่างร่ายเวทเรียกพลังแล้วบุกตะลุยเข้าไปในป่าเหมือนหมีบ้า” พูดพลางหันไปจ้องฮันท์ซึ่งยืนกำหมัดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หน้าประตู อีกฝ่ายหันมาจ้องตาวาว
“ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้ว จะลากเจ้าพวกชั่วนั่นออกมาได้ยังไง” จอมเวทร่างหมีถามด้วยเสียงเกือบจะเป็นคำราม อาเซอร์บัสตอบเสียงเย็น
“ข้ายังคิดไม่ออก” พูดพลางวางมือลงบนโต๊ะก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเชิงสั่ง “ตอนนี้ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายกันไปพัก หลับให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้เช้าค่อยมาประชุมกันอีกทีว่าจะเอายังไง”
ฮันท์เตรียมแย้งแต่ต้องยั้งคำพูดของตัวเองเอาไว้เมื่อคิลเลอร์ฟรอสต์ลุกจากที่นั่ง หอบสัมภาระแยกตัวไปยังมุมห้อง ส่วนซาเบลกับอัลบอร์ตเดินไปอีกด้าน พอปูผ้าเสร็จเรียบร้อยก็เอนตัวลงนอน เมื่อเห็นทุกคนทำตามที่จอมเวทแห่งไมธีร่าบอกแต่โดยดีแล้ว เขาจึงกระแทกลมหายใจฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนทิ้งตัวลงนั่งกอดอกข้างเตาผิง การยอมละความดื้อดึงแต่โดยดีของจอมเวทหมียักษ์ทำให้ไลอ้อนแอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนหันไปทางเอรากับมุนดาซึ่งกำลังมองหาที่เหมาะๆสำหรับตัวเอง
“ข้ามีห้องว่างสำหรับสุภาพสตรี” เขากล่าวอย่างสุภาพและหันไปค้อมศีรษะให้เบอร์ทิน่า “ขอเชิญเจ้าหญิงกับท่านทั้งสองตามข้ามา”
พอไลอ้อนพาเบอร์ทิน่ากับจอมเวทสาวไปยังห้องพักซึ่งอยู่ด้านในของบ้านแล้ว ราเชนจึงมองหาที่นอนของตัวเองบ้าง แต่ถูกลูซี่คว้าแขนเอาไว้และลากให้เดินตามนางไปยังห้องด้านข้าง