ผู้หญิงกับการบรรลุธรรม-มรรค-ผล
แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เมืองไทยกำลังแสดงบทบาทในฐานะเมืองศูนย์กลางพุทธศาสนา คือ การจัดเฉลิมฉลอง พุทธชยันตี โดยองค์กรที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน แต่ก็น่าเสียใจว่า สภาพสังคม การเมืองที่ปรากฎอยู่ กลับไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการได้เป็นเมืองพุทธแม้แต่น้อย การช่วงชิงอำนาจ ความต้องการมักใหญ่ใฝ่สูง การไม่รู้จักพอ
ในขณะเดียวกัน ดูป้ายประกาศคัตเอาท์ของหน่วยงานที่จัดแสดง ก็ล้วนแต่มุ่งเน้น อามิสบูชา เป็นหลัก ขณะที่น้อยแห่งจะพูดถึง ปฏิบัติบูชาที่พุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นการบูชาสูงสุด
ผมขอเขียนเอนทรี่เรื่องศาสนาในกาลมงคล พุทธชยันตี อีกเรื่องหนึ่ง คือ ผู้หญิงกับการบรรลุธรรม เหตุที่ทำให้ผมเขียนเอนทรี่นี้ เพราะได้ยินหลายๆคนกังขาว่า ผู้หญิงบรรลุมรรคผลได้หรือ คือ เขาเถียงกัน ถกกัน ว่า ไม่มีภิกษุณีแล้ว ผู้หญิงจะบรรลุได้อย่างไร แค่แม่ชี ถือศีล 8 ศีล 10 หรือนุ่งขาว ห่มขาว ปฏิบัติธรรมแค่นั้นหรือ?
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดว่าเฉพาะผู้ที่บวชเท่านั้นที่จะบรรลุมรรค ผล วิมุตติได้ แต่ทุกผู้นามที่มี “ขันธ์ 5” ย่อมสามารถบรรลุได้
โกกิลาภิกษุณีส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนาปลดเปลื้องสังโยชน์คือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจทีละชั้น จนสามารถประหารกิเลสทั้งมวลได้สำเร็จมรรคผลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งด้วยประการฉะนี้.
จาก โกกิลาผู้ประหารกิเลส สำนวน อาจารย์ วศิน อินทสระ
ในพระสูตร มีผู้หญิงมากมายที่บรรลุธรรม บรรคผล ตั้งแต่ชั้นโสดาบัน ไปจนถึงอรหันต์ หรือถ้าหากไม่ถึงก็มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมจนเข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น นางสุภาวดี ที่ฟังธรรมจากพระมหากัสสปะ ตั้งมั่นในธรรม จนทำมาค้าขายรุ่งเรือง
พระมหากัสสปะ ยังได้ไปโปรดหญิงรักษานาข้าวสาลีคนหนึ่ง นางทำข้าวตอกถวาย ความว่า “นางกุลธิดาพอเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส จึงได้นำข้าวตอกไปถวายพระเถระแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์และได้ทำความปรารถนา ขอเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว พูดง่ายๆ นางอยากมีดวงตาเห็นธรรม โชคไม่ดี นางถูกงูกัดตายก่อน จึงไม่ได้สำเร็จมรรค ผลอันใด แต่พอไปเกิดเป็นนางฟ้า ก็พยายามลงมาปฏิบัติพระมหากัสสปอีก คราวนี้ นางได้ฟังธรรมจำสำเร็จ โสดาปัตติผล
มีผู้หญิงอีกหลายคนที่ปรากฎชื่อในพระไตรปิฏก บางคนมุ่งเน้นอุปัฏฐาก บางคนมุ่งเน้นปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น นางสุชาดา นางวิสาขา พระนางสามาวดี ในจำนวนนั้นหลายคนได้บรรลุมรรคผล
คนที่ผมอ่านประวัติแล้ว ดราม่าสุดๆ คงหนีไปพ้น นางทาสีคนนั้น โกกิลา นางเป็นทาสมาก่อน ตกหลุมรักพระอานนท์ ก็เลยตามไปถึงวัด หมายมั่นว่าจะต้องได้เคียงคู่ ครั้นไม่สมอารมณ์หมาย เธอก็เลยตัดสินใจ ตามไปบวชเลย อย่างน้อย จะได้เห็นหน้าบ่อย เผื่อรักแท้จะแพ้ใกล้ชิด ชีวิตรัก - ธรรมของเธอล้มลุกคลุกคลานมาก แต่สุดท้ายก็บรรลุอรหันตผล ใครอยากฟังเต็มๆ ลอง youtube โกกิลา ครับ
ปัจจุบัน เมืองไทยไม่มีภิกษุณีแล้ว หลายๆคนก็เลยสงสัยว่า ผู้หญิงบรรลุธรรม ขั้น โสดา ไปจนถึง อรหันต์ได้หรือไม่ เพราะผู้หญิงไม่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้ ปาติโมกช์ 327 ข้อ ไม่ได้ทำแล้ว เปรียบดังต้นไม้ คือ ไม่มีเปลือก คือ ศีล แล้วจะเป็นฐานไปสู่ สมาธิ ปัญญา ได้อย่างไร
แต่.. อย่าคิดนะครับ ว่าผู้หญิงไม่มีโอกาสปฏิบัติธรรม แต่ละปี มีหลักสูตรวิปัสสนา ภาวนา กัมมัฏฐาน ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ผู้หญิงเข้าร่วมอบรมมากกว่าผู้ชายครับ
ไม่เชื่อลองดูหลักสูตรธุดงค์ของ วัดพระธาตุผาแก้ว (เพชรบูรณ์) ได้เลยครับ ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ลองไปนับจำนวนผู้เข้าอบรมปฏิบัติที่วัดอัมพวัน (สิงห์บุรี) เขาดินหนองแสง (จันทบุรี) แต่ละหลักสูตรได้เลย ผมรับรองว่า ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ทุกวันนี้ ผู้หญิงสนใจธรรมมากกว่าผู้ชายจริงๆครับ วันถือศีลที่วัด ผู้หญิงก็มากกว่าผู้ชาย เวลาใส่บาตร ผู้หญิงก็มากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงก็อุปัฏฐากพระมากกว่าผู้ชายด้วย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ เธอได้บุญทั้งขึ้นทั้งล่อง ผู้ชายเสียอีก มามัวแต่คิดว่า เราผู้ชายเว้ยเฮ้ย บวชเมื่อไรก็ 227 ข้อ! รุดหน้าไปไกล ทำเป็นกระต่ายไปได้
แล้วเธอมีโอกาสบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ??
จะรู้ได้ว่าอีกฝ่ายใฝ่ธรรม รู้อรรถ หรือปฏิบัติมากน้อยแค่ไหนก็ต่อเมื่อได้วิสาสะ สนทนากัน การสนทนาธรรมตามกาลจึงเป็นมงคลสูตรข้อหนึ่ง
พระที่ผมเคารพนับถือ เรียน วิปัสสนาจากโยมผู้หญิง เรียนอภิธรรมจากโยมผู้หญิง!!! มีการ Take course อย่างจริงจัง และสอบวัดคะแนนในวิชาอภิธรรมด้วย
หลังจากศึกษาและปฏิบัติมาระยะหนึ่ง ผมเคยตั้งข้อสังเกตว่า ศาสนาพุทธนี่แปลกอย่างหนึ่ง คือ คนที่จะสอนอภิธรรมได้อย่างแตกฉาน จะต้องผ่านการปฏิบัติ ผ่านการรู้ด้วยปัญญาของตนเอง จึงจะสอนได้อย่างออกรส
ดังนั้น ถ้าหากดูระดับความเข้าใจแล้ว คงมองเห็นได้ว่า ผู้หญิงส่วนหนึ่งที่ใจไฝ่ธรรม สามารถศึกษา ปฏิบัติ จนมีความรู้ ความเชียวชาญได้ และบรรลุได้
แล้วมันมีทางลัด ไม่ต้องถือศีล 227 ข้อ เป็นฐานหรือ?? ผมอาจจะคิดไปเอง แต่เท่าที่ได้สัมผัสคือ ถ้าหากปลีกวิเวก ปลีกตัวออกมา ควบคุมกาย ใจ วาจา ตัวเอง ควบคุมความประพฤติได้โดยสิ้นเชิง โอกาสที่บริสุทธิ์มีมาก ยิ่งสามารถสละ ละ โลภ โกรธ หลง ไปได้อีก ทำแค่นี้ความบริสุทธิ์ในศีลระหว่างพระที่ถือศีล 227 ข้อ กับผู้หญิงที่บวชภิกษุณีไม่ได้ แต่มุ่งปฏิบัติอย่างจริงจังย่อมไม่ห่างจากกัน
อันนี้ ผมไม่ได้บอกว่า ถ้าเช่นนี้ เราก็ไหว้ผู้หญิงนักปฏิบัติเหล่านี้ได้เหมือนพระ หรือเธอก็ดีพอๆกับพระสิครับ?? อย่าเข้าใจเช่นนั้น ถ้าบอกแบบนั้นก็กลายเป็นเรามองว่า “ศีล” คือ ของวิเศษ ใครทำได้แล้ววิเศษหมด ไม่ใช่หรอกครับ ศีล เป็นเพียงข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ เมื่อลด ละ เลิก โลภะ โมหะ โทสะ และเพื่อความประพฤติดี มีความอ้อนน้อมถ่อมตน เหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติในชั้นสูงขึ้น และเป็นฐานในการเข้าถึงสมาธิ
ในการประพฤติธรรมแล้ว ถึงจุดหนึ่ง นักปฏิบัติจะบอกว่า โลกนี้ไม่มีหรอก หญิง หรือ ชาย มีแต่ ขันธ์ 5 (หรือตัวคนเป็นๆคนหนึ่ง) มีแต่ขันธ์ 5 มีแต่รูป – นาม เท่านั้นแหละ ทุกคนมีโอกาสทำความเข้าใจขันธ์ 5 เท่าเทียมกัน
จริงๆถ้าบอกว่า เข้าใจขันธ์ 5 หรืออุปาทานขันธ์เป็นทุกข์ อาจจะฟังยากไปนิด ต้องบอกว่า ถ้าหากใครก็ตามที่เข้าใจความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ รู้ตามความเป็นจริงว่า อะไรคือ ทุกข์ อะไรคือ เหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อให้หมดทุกข์
อะไรคือ ทุกข์ เสื้อตัวใหม่ที่ซื้อมาสวยมาก แต่ดันใส่ไม่ได้ รองเท้าใหม่ดันโดนหมาแทะขาด เสียดาย เสียใจเหลือเกิน การแก้คือ ต้องไปช๊อปใหม่มา เดี๋ยวสายๆห้างเปิด จะไปละ!!! ถ้าเข้าใจทุกข์และแก้ทุกข์แบบนี้ แก้ทั้ง

ชีวิตก็ไม่จบหรอก! หนักเข้า ฆ่าหมาซะเลย อยากกัดรองเท้าดีนัก แล้วมันหายทุกข์มั้ย??
อะไรคือทุกข์ ผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่ศึกษาและปฏิบัติ คงตอบได้ ผมไม่ตอบล่ะ แต่จะพูดต่อไปว่า แล้วหญิง(หรือชาย) เหล่านี้ ค้นทางดับทุกข์ได้อย่างไร เบื้องต้นต้องเข้าใจอริยสัจ 4 และสุดท้ายเธอคงไปถึงขั้นหาทางออกในการดับทุกข์ ซึ่งมีทางเดียวคือ การเจริญสติปัฏฐาน และเป็นทางเดียวที่พุทธบริษัท (พระ ฆราวาส) ต้องเดิน!
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง ทางนี้คือสติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) ๔ อย่าง
พุทธวัจนะใน มหาสติปัฏฐานสูตร และ สติปัฏฐานสูตร
ครับ ผู้หญิงหลายคนก้าวหน้า ศึกษาไปถึง การเจริญสติปัฏฐาน ที่ถูกต้องตาม สติปัฏฐานสูตร ขณะที่ผู้ชายหลายคนยังบอกว่า เราผู้ชายเว้ยเฮ้ย บวชเมื่อไรก็ถือศีล 227 ข้อ หรือบางคนคิดว่าห่มเหลืองแล้ว มีโอกาสเดินทางได้เร็วกว่าเป็นไหนๆในการบรรลุมรรค ผล นิพพาน ยังกับว่า ผ้าเหลืองเป็นเสมือนเครื่องบินเจ็ตพาไปเมืองนิพพานยังงั้นแหละ ( ผมพูดเกินไปแล้ว จริงๆแล้ว นิพพานเป็นอนัตตานะจ๊ะ ไม่มีเมืองนิพพานให้ไปหรอก ใครปฏิบัติเอง ย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง อ้าว ขออภัย ยามครับ พูดส่อเสียดไปโน่น)
เวลานั่งฟังผู้หญิงเล่าถึงการปฏิบัติ เล่าถึงธรรมะ เล่าถึงสิ่งที่เธอรู้ บางครั้งผมเองอดรู้สึกไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว คนเราจะหญิงหรือชาย ก็เท่าเทียมกันในการปฏิบัติธรรม ใครขวนขวาย ใครมีโยนิโสมนสิการ ใครได้พบช่องทางที่ถูกจริต ได้ปัจจัย 4 ที่สัปปายะ สั่งสมบุญกุศลมาดีแล้ว ก็เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
ขอทุกท่านจงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดาครับ
โดย ยามครับ
กลับไปที่ www.oknation.net
เจอบทความดีๆเลยมาแบ่งปันกันครับ
ผู้หญิงกับการบรรลุธรรม-มรรค-ผล
แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เมืองไทยกำลังแสดงบทบาทในฐานะเมืองศูนย์กลางพุทธศาสนา คือ การจัดเฉลิมฉลอง พุทธชยันตี โดยองค์กรที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน แต่ก็น่าเสียใจว่า สภาพสังคม การเมืองที่ปรากฎอยู่ กลับไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการได้เป็นเมืองพุทธแม้แต่น้อย การช่วงชิงอำนาจ ความต้องการมักใหญ่ใฝ่สูง การไม่รู้จักพอ
ในขณะเดียวกัน ดูป้ายประกาศคัตเอาท์ของหน่วยงานที่จัดแสดง ก็ล้วนแต่มุ่งเน้น อามิสบูชา เป็นหลัก ขณะที่น้อยแห่งจะพูดถึง ปฏิบัติบูชาที่พุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นการบูชาสูงสุด
ผมขอเขียนเอนทรี่เรื่องศาสนาในกาลมงคล พุทธชยันตี อีกเรื่องหนึ่ง คือ ผู้หญิงกับการบรรลุธรรม เหตุที่ทำให้ผมเขียนเอนทรี่นี้ เพราะได้ยินหลายๆคนกังขาว่า ผู้หญิงบรรลุมรรคผลได้หรือ คือ เขาเถียงกัน ถกกัน ว่า ไม่มีภิกษุณีแล้ว ผู้หญิงจะบรรลุได้อย่างไร แค่แม่ชี ถือศีล 8 ศีล 10 หรือนุ่งขาว ห่มขาว ปฏิบัติธรรมแค่นั้นหรือ?
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดว่าเฉพาะผู้ที่บวชเท่านั้นที่จะบรรลุมรรค ผล วิมุตติได้ แต่ทุกผู้นามที่มี “ขันธ์ 5” ย่อมสามารถบรรลุได้
โกกิลาภิกษุณีส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนาปลดเปลื้องสังโยชน์คือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจทีละชั้น จนสามารถประหารกิเลสทั้งมวลได้สำเร็จมรรคผลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งด้วยประการฉะนี้.
จาก โกกิลาผู้ประหารกิเลส สำนวน อาจารย์ วศิน อินทสระ
ในพระสูตร มีผู้หญิงมากมายที่บรรลุธรรม บรรคผล ตั้งแต่ชั้นโสดาบัน ไปจนถึงอรหันต์ หรือถ้าหากไม่ถึงก็มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมจนเข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น นางสุภาวดี ที่ฟังธรรมจากพระมหากัสสปะ ตั้งมั่นในธรรม จนทำมาค้าขายรุ่งเรือง
พระมหากัสสปะ ยังได้ไปโปรดหญิงรักษานาข้าวสาลีคนหนึ่ง นางทำข้าวตอกถวาย ความว่า “นางกุลธิดาพอเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส จึงได้นำข้าวตอกไปถวายพระเถระแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์และได้ทำความปรารถนา ขอเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว พูดง่ายๆ นางอยากมีดวงตาเห็นธรรม โชคไม่ดี นางถูกงูกัดตายก่อน จึงไม่ได้สำเร็จมรรค ผลอันใด แต่พอไปเกิดเป็นนางฟ้า ก็พยายามลงมาปฏิบัติพระมหากัสสปอีก คราวนี้ นางได้ฟังธรรมจำสำเร็จ โสดาปัตติผล
มีผู้หญิงอีกหลายคนที่ปรากฎชื่อในพระไตรปิฏก บางคนมุ่งเน้นอุปัฏฐาก บางคนมุ่งเน้นปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น นางสุชาดา นางวิสาขา พระนางสามาวดี ในจำนวนนั้นหลายคนได้บรรลุมรรคผล
คนที่ผมอ่านประวัติแล้ว ดราม่าสุดๆ คงหนีไปพ้น นางทาสีคนนั้น โกกิลา นางเป็นทาสมาก่อน ตกหลุมรักพระอานนท์ ก็เลยตามไปถึงวัด หมายมั่นว่าจะต้องได้เคียงคู่ ครั้นไม่สมอารมณ์หมาย เธอก็เลยตัดสินใจ ตามไปบวชเลย อย่างน้อย จะได้เห็นหน้าบ่อย เผื่อรักแท้จะแพ้ใกล้ชิด ชีวิตรัก - ธรรมของเธอล้มลุกคลุกคลานมาก แต่สุดท้ายก็บรรลุอรหันตผล ใครอยากฟังเต็มๆ ลอง youtube โกกิลา ครับ
ปัจจุบัน เมืองไทยไม่มีภิกษุณีแล้ว หลายๆคนก็เลยสงสัยว่า ผู้หญิงบรรลุธรรม ขั้น โสดา ไปจนถึง อรหันต์ได้หรือไม่ เพราะผู้หญิงไม่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้ ปาติโมกช์ 327 ข้อ ไม่ได้ทำแล้ว เปรียบดังต้นไม้ คือ ไม่มีเปลือก คือ ศีล แล้วจะเป็นฐานไปสู่ สมาธิ ปัญญา ได้อย่างไร
แต่.. อย่าคิดนะครับ ว่าผู้หญิงไม่มีโอกาสปฏิบัติธรรม แต่ละปี มีหลักสูตรวิปัสสนา ภาวนา กัมมัฏฐาน ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ผู้หญิงเข้าร่วมอบรมมากกว่าผู้ชายครับ
ไม่เชื่อลองดูหลักสูตรธุดงค์ของ วัดพระธาตุผาแก้ว (เพชรบูรณ์) ได้เลยครับ ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ลองไปนับจำนวนผู้เข้าอบรมปฏิบัติที่วัดอัมพวัน (สิงห์บุรี) เขาดินหนองแสง (จันทบุรี) แต่ละหลักสูตรได้เลย ผมรับรองว่า ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ทุกวันนี้ ผู้หญิงสนใจธรรมมากกว่าผู้ชายจริงๆครับ วันถือศีลที่วัด ผู้หญิงก็มากกว่าผู้ชาย เวลาใส่บาตร ผู้หญิงก็มากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงก็อุปัฏฐากพระมากกว่าผู้ชายด้วย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ เธอได้บุญทั้งขึ้นทั้งล่อง ผู้ชายเสียอีก มามัวแต่คิดว่า เราผู้ชายเว้ยเฮ้ย บวชเมื่อไรก็ 227 ข้อ! รุดหน้าไปไกล ทำเป็นกระต่ายไปได้
แล้วเธอมีโอกาสบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ??
จะรู้ได้ว่าอีกฝ่ายใฝ่ธรรม รู้อรรถ หรือปฏิบัติมากน้อยแค่ไหนก็ต่อเมื่อได้วิสาสะ สนทนากัน การสนทนาธรรมตามกาลจึงเป็นมงคลสูตรข้อหนึ่ง
พระที่ผมเคารพนับถือ เรียน วิปัสสนาจากโยมผู้หญิง เรียนอภิธรรมจากโยมผู้หญิง!!! มีการ Take course อย่างจริงจัง และสอบวัดคะแนนในวิชาอภิธรรมด้วย
หลังจากศึกษาและปฏิบัติมาระยะหนึ่ง ผมเคยตั้งข้อสังเกตว่า ศาสนาพุทธนี่แปลกอย่างหนึ่ง คือ คนที่จะสอนอภิธรรมได้อย่างแตกฉาน จะต้องผ่านการปฏิบัติ ผ่านการรู้ด้วยปัญญาของตนเอง จึงจะสอนได้อย่างออกรส
ดังนั้น ถ้าหากดูระดับความเข้าใจแล้ว คงมองเห็นได้ว่า ผู้หญิงส่วนหนึ่งที่ใจไฝ่ธรรม สามารถศึกษา ปฏิบัติ จนมีความรู้ ความเชียวชาญได้ และบรรลุได้
แล้วมันมีทางลัด ไม่ต้องถือศีล 227 ข้อ เป็นฐานหรือ?? ผมอาจจะคิดไปเอง แต่เท่าที่ได้สัมผัสคือ ถ้าหากปลีกวิเวก ปลีกตัวออกมา ควบคุมกาย ใจ วาจา ตัวเอง ควบคุมความประพฤติได้โดยสิ้นเชิง โอกาสที่บริสุทธิ์มีมาก ยิ่งสามารถสละ ละ โลภ โกรธ หลง ไปได้อีก ทำแค่นี้ความบริสุทธิ์ในศีลระหว่างพระที่ถือศีล 227 ข้อ กับผู้หญิงที่บวชภิกษุณีไม่ได้ แต่มุ่งปฏิบัติอย่างจริงจังย่อมไม่ห่างจากกัน
อันนี้ ผมไม่ได้บอกว่า ถ้าเช่นนี้ เราก็ไหว้ผู้หญิงนักปฏิบัติเหล่านี้ได้เหมือนพระ หรือเธอก็ดีพอๆกับพระสิครับ?? อย่าเข้าใจเช่นนั้น ถ้าบอกแบบนั้นก็กลายเป็นเรามองว่า “ศีล” คือ ของวิเศษ ใครทำได้แล้ววิเศษหมด ไม่ใช่หรอกครับ ศีล เป็นเพียงข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ เมื่อลด ละ เลิก โลภะ โมหะ โทสะ และเพื่อความประพฤติดี มีความอ้อนน้อมถ่อมตน เหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติในชั้นสูงขึ้น และเป็นฐานในการเข้าถึงสมาธิ
ในการประพฤติธรรมแล้ว ถึงจุดหนึ่ง นักปฏิบัติจะบอกว่า โลกนี้ไม่มีหรอก หญิง หรือ ชาย มีแต่ ขันธ์ 5 (หรือตัวคนเป็นๆคนหนึ่ง) มีแต่ขันธ์ 5 มีแต่รูป – นาม เท่านั้นแหละ ทุกคนมีโอกาสทำความเข้าใจขันธ์ 5 เท่าเทียมกัน
จริงๆถ้าบอกว่า เข้าใจขันธ์ 5 หรืออุปาทานขันธ์เป็นทุกข์ อาจจะฟังยากไปนิด ต้องบอกว่า ถ้าหากใครก็ตามที่เข้าใจความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ รู้ตามความเป็นจริงว่า อะไรคือ ทุกข์ อะไรคือ เหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อให้หมดทุกข์
อะไรคือ ทุกข์ เสื้อตัวใหม่ที่ซื้อมาสวยมาก แต่ดันใส่ไม่ได้ รองเท้าใหม่ดันโดนหมาแทะขาด เสียดาย เสียใจเหลือเกิน การแก้คือ ต้องไปช๊อปใหม่มา เดี๋ยวสายๆห้างเปิด จะไปละ!!! ถ้าเข้าใจทุกข์และแก้ทุกข์แบบนี้ แก้ทั้ง
อะไรคือทุกข์ ผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่ศึกษาและปฏิบัติ คงตอบได้ ผมไม่ตอบล่ะ แต่จะพูดต่อไปว่า แล้วหญิง(หรือชาย) เหล่านี้ ค้นทางดับทุกข์ได้อย่างไร เบื้องต้นต้องเข้าใจอริยสัจ 4 และสุดท้ายเธอคงไปถึงขั้นหาทางออกในการดับทุกข์ ซึ่งมีทางเดียวคือ การเจริญสติปัฏฐาน และเป็นทางเดียวที่พุทธบริษัท (พระ ฆราวาส) ต้องเดิน!
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง ทางนี้คือสติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) ๔ อย่าง
พุทธวัจนะใน มหาสติปัฏฐานสูตร และ สติปัฏฐานสูตร
ครับ ผู้หญิงหลายคนก้าวหน้า ศึกษาไปถึง การเจริญสติปัฏฐาน ที่ถูกต้องตาม สติปัฏฐานสูตร ขณะที่ผู้ชายหลายคนยังบอกว่า เราผู้ชายเว้ยเฮ้ย บวชเมื่อไรก็ถือศีล 227 ข้อ หรือบางคนคิดว่าห่มเหลืองแล้ว มีโอกาสเดินทางได้เร็วกว่าเป็นไหนๆในการบรรลุมรรค ผล นิพพาน ยังกับว่า ผ้าเหลืองเป็นเสมือนเครื่องบินเจ็ตพาไปเมืองนิพพานยังงั้นแหละ ( ผมพูดเกินไปแล้ว จริงๆแล้ว นิพพานเป็นอนัตตานะจ๊ะ ไม่มีเมืองนิพพานให้ไปหรอก ใครปฏิบัติเอง ย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง อ้าว ขออภัย ยามครับ พูดส่อเสียดไปโน่น)
เวลานั่งฟังผู้หญิงเล่าถึงการปฏิบัติ เล่าถึงธรรมะ เล่าถึงสิ่งที่เธอรู้ บางครั้งผมเองอดรู้สึกไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว คนเราจะหญิงหรือชาย ก็เท่าเทียมกันในการปฏิบัติธรรม ใครขวนขวาย ใครมีโยนิโสมนสิการ ใครได้พบช่องทางที่ถูกจริต ได้ปัจจัย 4 ที่สัปปายะ สั่งสมบุญกุศลมาดีแล้ว ก็เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
ขอทุกท่านจงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดาครับ
โดย ยามครับ
กลับไปที่ www.oknation.net
เจอบทความดีๆเลยมาแบ่งปันกันครับ