หายไปอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
อันที่จริงเมื่อสองวันก่อนนั่งเขียนกระทู้อยู่ร่วมชั่วโมงนะคะ แต่กำลังจะกดส่ง มือก็ดันไปกดแบคสเปซ (คราวนี้โทษแมวไม่ได้แล้ว) และแว้บ ข้อความทั้งหมดที่นั่งวิริยะอุตสาหะพิมพ์มาก็สาบสูญไปต่อหน้าต่อตา แทบจะอยากกรีดร้องออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นกันเลยทีเดียวเชียว เอิ๊กๆๆๆๆๆ (เอ่อ ได้ข่าวว่าหล่อนพูดญี่ปุ่นไมไ่ด้)
เรื่องของเรื่องก็คือ มีคนมาเลียบๆเคียงๆถามนิดหน่อยว่าหล่อนหายหน้าไปไหน เพราะเห็นหยุดตั้งกระทู้ไปพักใหญ่มากกกกกกก ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เพราะว่า จขกท มัวแต่เพลิดเพลินเจริญใจกับงานใหม่และการเดินทางไปทำงานที่กินเวลาขาไปสองชั่วโมงครึ่ง และขากลับอีกสองชั่วโมงครึ่งอย่างสนุกสนานค่ะ ก็เลยไม่รู้จะเอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนมาตั้งกระทู้ โดยเฉพาะไม่รู้ว่าจะตั้งเรื่องไหนดี (อู้นั่นแหละ บอกไปเถอะ)
เอาล่ะ ไหนๆก็มาแล้ว จะมัวแต่แก้ตัวน้ำขุ่นๆเอาสีข้างเข้าถูต่อไปก็เสียเวลา เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ
คือว่า ต้องบอกเลยว่าใครที่ตามกระทู้มาตั้งแต่แรกๆ สำหรับซีรี่ส์ญี่ปุ่นเศร้าเคล้าน้ำหมากเรื่อง "เมื่อดอกรักบานบนลานบัลเล่ต์" (พื้นที่โฆษณา ฮ่าๆๆ) เราก็เดินทางมากันไกลมาก ตั้งแต่พายุหิมะที่นิวยอร์ค มาจนถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่แดดร้อนโคตรๆแห่งนี้นั่นเองค่ะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถไปหาอ่านได้ในกระทู้เก่าๆได้นะคะ ฮ่าๆๆๆๆ
ตอนนั้นเราเริ่มลุ้นกนมาตั้งแต่เริ่มไปแอบชอบเค้า ไปกระชากคอเสื้อเค้าแล้วผลักติดผนังเพื่อสารภาพรัก รวมทั้งการผจญภัยในนิวยอร์คตามประสานักเรียนบัลเล่ต์ผู้เต้นบัลเล่ต์ไม่เป็นซักกะติ๊ด เราก็มาถึงบทสรุปของนิยายเรื่องยาวนี้สักที (เวอร์ไปไหมหล่อน / สุดๆอะเธอ)
ตอนนี้เราก็เลยตกลงปลงใจคบหาดูใจกันในฐานะคนพิเศษกันเป้นที่เรียบร้อย แต่ถ้าใครเคยอยู่ห่างแฟนมากๆ ก็คงเข้าใจถึงความเซ็งของไอ้คำว่า Long distance relationship หรือความสัมพันธ์ทางไกลกันได้ดีใช่ไหมคะ นั่งคือสิ่งที่ จขกท กำลังเผชิญอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียวเชียว เนื่องจากวันที่เราตกลงเป็นแฟนกัน มันคือวัน ที่ชายหนุ่มอยู่โอซาก้า และสาวสวย(เหรออออ)อยู่นิวยอร์ค และหลังจากนั้น สาวสวย(พอเหอะ สงสารคนอ่าน) ก็บินกลับมาเมืองไทย เพื่อหวังว่าความห่างไกลจะน้อยลงบ้าง (จริงๆคือเงินหมด และมันกลับมาช่วยแม่เลี้ยงแมว) แต่ถึงจะทวีปเดียวกัน มันก็คนละประเทศอยู่ดี และเวลาเราก็ต่างกันตั้งสองชั่วโมงแน่ะ
จริงๆแล้วมันมีความแตกต่างระหว่างโอซาก้าและนิวยอร์ค ที่มันห่างกันสิบสี่ชั่วโมง แต่ถ้าถามว่าเป็นอุปสรรคมั้ย จริงๆก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายนะคะ เพราะมันคือการที่เค้ากลับบ้านมาตอนค่ำ เราตื่นนอน และการทำงานร้านอาหารก็เริ่มตอน11โมงเช้า ทให้เรามีเวลาราวๆชั่วโมงครึ่งที่จะได้คุยกัน เค้านอน เราเตรียมไปทำงาน ขึ้นซับเวย์ (สถานีแถวบ้านมันอยู่บนดินค่ะ ยังไม่มุดอุโมงค์เน่อ) ก็ร้องเพลงกล่อมให้หลับกันได้ โรแมนติกสุดๆ (คิดสภาพผู้หญิงคนนึงในเสื้อโค้ทสีม่วงแปร๋นกะหมวกถักสีเดียวกัน กำลังยืนเบียดขอบประตูรถไฟแล้วเอาผ้าพันคอพันหน้าไว่จนถึงจมูกเพื่อกั้นไม่ให้เสียงร้องเพลงแลบออกมารบกวนเด็ก สตรี และคนชราคนอื่นบนรถขณะที่ร้องเพลงกรอกใส่สมอลทอล์คให้ชายหนุ่มจากโอซาก้านอนหลับฝันดีผีรอบเตียง
แต่เมื่อกลับมาเมืองไทย เวลาที่ต่างกันสองชั่วโมง จะว่าดีก็ดี จะว่าเซ็งก็เซ็งค่ะ
ประเด๋นก็คือ ตอนนี้ที่โรงเรียนบัลเล่ต์ของฮีกำลังจะมีแสดงเรื่องซินเดอเรลล่า และฮีก็เป็นหนึ่งในนักแสดงค่ะ (สาบานได้ว่าไม่ได้เล่นเป็นพระเอกชัวร์ๆ ส่วนท่านพี่สาวแสดงเป็นนางเอกค่ะ) ซึ่งก็แปลว่าคุณชายจะมีซ้อมหกวันต่อสัปดาห์ เสร็จประมาณสี่ทุ่ม และเราจะได้เริ่มคุยกันตอนประมาณเที่ยงคืน หรือสี่ทุ่มเมืองไทยนั่นเองค่ะ
และแน่นอน คนที่เต้นมาทั้งวัน พอกลับบ้านก็อยู่ในสภาพที่สลึมสลือเต็มที หลายๆครั้งที่ จขกท นั่งฟังฮีคุยไม่รู้เรื่อง ไม่เป้นคำอยู่สองสามนาที ก่อนที่คำพูดจะกลายเป้นเสียง ครอกกกกก ครืดดดดดดด คราดดดดด ไปในที่สุด (บางทีมีเสียงแจ๊บๆปนมาด้วย) คือกลางคืนเรา ดึกเค้า เช้ามาก็ต้องไปซ้อมต่อ ในขณะที่ จขกท ยังไม่ตื่น เย้!!
แต่ก็มีบางวัน ที่คุณชายยังคงมีพลังงานเหลือมานั่งคุยกันแบบเป็นผู้เป็นคนได้ เราก็จะมานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน
เริ่มจาก...จขกท เป็นคนที่ไม่ดื่นเหล้าเบียร์ใดๆ มีบ้างนานๆๆๆๆๆๆๆๆที ที่จะแตะนิดนึง เพราะเป้นคนคออ่อนมาก และไม่ค่อยชอบรสชาติมันอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนญี่ปุ่นหรือเปล่าที่จะต้องดื่มเบียร์แกล้มมื้อเย็นเป็นปกติ (ใครรู้ช่วยแจงแถลงไขหน่อยเด้อ) ซึ่งคุณชายนุปปี้ก็รู้ว่า จขกท ไม่ค่อยชอบคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่านี้ซักเท่าไหร่ เนื่องมาจากคุณชายพ่อดื่มจัดมากและคุยกันไม่รู้เรื่องประจำ
วันนึง เราก็เปิดกล้องคุยกันตามปกติ แต่แล้วสายตา จขกท ก็เหลือบไปเห็นแก้วมีน้ำเหลืองๆอยู่ตรงมุมกล้องพอดี และเหมือนฮีจะรู้ตัว รีบคว้าแก้วเจ้ากรรมหลบออกจากเฟรมทันที
เรา : อะไรอ้ะ
ฮี : ไม่มีอะไร
เรา : มีดิ ไอ้เหลืองๆนั่นอะไร
ฮี : กรีนทีไง (แล้วก็ดื่มโชว์ให้ดู เกือบครึ่งแก้ว)
เรา : กรีนทีมันมีฟองด้วยเรอะ
ฮี : นี่ไง สปาร์คลิ่งกรีนที (แล้วคว้ามาดื่มต่ออีกอึกใหญ่) ฮ่าห์ สดชื่นนนนนน
เรา : กรีนทียี่ห้ออาซาฮีเนี่ยนะ
ฮี : ช่ายยยย เค้าทำชาเขียวขายด้วยนะ เมืองไทยไม่มีขายหรอก

จ้ะ พ่อทูนหัว.....
และอีกเรื่องที่สงสัยมากๆเลยค่ือ เค้าว่าหนุ่มญี่ปุ่นจะไม่ค่อยบอกรักแฟนซํกเท่าไหร่ และในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบให้แฟนมาคอยถามว่าตะเองรักเก๊าม้ายยยยยย แต่นี่คือสิ่งที่เกิดกับ จขกท
ฮี : นี่ๆ ถามหน่อยได้มั้ย
เรา : ถามว่า?
ฮี : เธอรักเรามั้ย
เรา : อือ รักดิ
ฮี : รักแค่ไหนอะ
เรา : ก็...มากกกกก
ฮี : จริงเหรอ
เรา : อือ แล้วเธออะ
ฮี : รักสิ รักๆๆๆ
เรา : อือ เหมือนกัน
ฮี : ดีๆ แล้ว.......
เรา : อะไรหรอ
ฮี : เปล่า ไม่เป็นไรหรอก
เรา : มีอะรายยยยยย
ฮี : ทำไมเธอถึงรักเราล่ะ
เรา : (ทุกวันจะต้องครีเอทคำตอบต่างๆนาๆเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เช่น เธอผอมดี ผมเธอตลกดี ไปจนถึงเธอฟันเหยินดี)
ฮี : ดีจังเลย (แล้วก็เงียบไป)
เรา : อ้าว เป้นไรอะ
ฮี : เปล่า...แค่...
เรา : อะไรเหรอ
ฮี : เธอรักเรามั้ย...
แล้ววงจรการคุยก็กลับมาอยู่ในแพทเทิร์นเดิม สามารถอ่านย้อนกลับไปบรรทัดบนได้ วนอยู่ประมาณสิบรอบ แบบนั้นเลยค่ะ จนในที่สุดฮีก็หลับไปพร้อมกับคำถามซํกคำถามในแพทเทิร์นที่ว่ามานั่นแล ^^"
ไหนใครว่าผู้ชายญี่ปุ่นไม่ชอบคุยอะไรพวกนี้ไง ตกลงนุปปี้เป็นคนญี่ปุ่นจริงป้ะเนี่ย!?!
กลับมาว่าด้วยเรื่องรักทางไกลต่อดีกว่า
คือว่า ทุกวันนี้การติดต่อสื่อสารมันทำได้ง่ายมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขียนจดหมายต้องรอกันเป้นอาทิตย์ๆกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ดังนั้น สิ่งที่ตามมากับความรวดเร็วในการสื่อสาร นั่นก็คือความเข้าใจผิดและการทะเลาะอย่างช่วยไม่ได้ค่ะ
อาจะเป้นเพราะเราคุยกันด้วยภาษากลาง ซึ่งทางนี้ก็พูดไทย ทางนั้นก็พูดญี่ปุ่น เลยทำให้การติดต่อสื่อสารออกจะเพี้ยนๆอยู่บ้างในหลายๆครั้ง ซึ่งเพราะความเป็นคนพูดน้อย บางครั้งเค้าเองก็จะไม่พูดอะไร นั่งทำหน้าหมาหงอยมองผ่านกล้องอย่างเดียว (พร้อมกับซดเบียร์ แล้วซํกพักก็ง่วงหลับไปเอง) โดยที่บางครั้งคนเราก็ต้องการการพูดคุยที่มากกว่า "เธอรักชั้นมั้ย" เหมือนกันอะน่อ จขกท เลยปรี๊ดแตกไปหลายครั้งเหมือนกันค่ะ
แต่โดยรวม ความสัมพันธ์ก็ยังเป็นไปได้ด้วยดีอยู่นะ นอกจากการแง่งๆใส่ (ซึ่งประมาณ99.99%มาจาก จขกท แหะๆๆๆ) บ้างเป็นบางครั้ง
ได้เวลาที่ฮีจะโทรมาแล้ว!!!!
ก่อนจะจบ(ดื้อๆ) จขกท ก็มีเรื่องจะมาปรึกษา เพราะมีพี่ใจดีคนนึงมาแนะนำว่า ทำไมไม่ทำแฟนเพจในเฟสบุคไปให้รู้เรื่องรู้ราวเลยล่ะ แต่เพราะกำลังคิดว่า ใครจะมานั่งกดไลค์ฟะ ก็เลยยังไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น แต่ว่า...จะทำดีมั้ย...แล้วถ้าทำ จะเขียนอะไรล่ะ 5555 เพราะไอ้การแอบแคปรูปตอนนุปปี้ถอดเสื้อ(อย่าคิดลึก ฮีใส่เสื้อกล้ามข้างในตลอดเวลาฮ่ะ)มันคงไมไ่ด้สวยงามอย่างที่คิด (นึกถึงจิ้งจกก้างๆซี่โครงบานๆใส่เสื้อกล้ามดูนะคะ) ถ้าใครมีอะไรแนะนำก็บอกได้นะคะ เพราะมองไม่เห็นเหมือนกันว่าจะทำไว้ทำไม ^^"
ปล. เรื่องดราม่าในอพาร์ทเม้นท์ยังไม่จบเน้อ หึหึหึ
ปล.2 ทำไมพอเขียนเรื่องอื่นแล้วไม่ค่อยมีคนอ่านเลยเนอะ (สำนึกบ้างมั้ยว่าหล่อนหายหัวไปนานแค่ไหน) แต่เชื่อว่าคราวหน้าจะมีเรื่องมานินทานิวยอร์คฉบับเก็บตกให้ฟังกันแน่นอนค่ะ มีเรื่องอะไรที่คิดว่าอยากให้ จขกท เอามาแฉตัวเองก็แนะนำไว้ได้นะคะ เพราะภายในเวลาไม่กี่เดือน ยอมรับเลยว่า จขกท ไปทำอะไรบ้าๆไว้ที่นู่นเยอะพอสมควรเลยเหมือนกันค่ะ (โดยเฉพาะเรื่องปากเสีย)
ปล.3 (พอเหอะ) อย่าลืมเค้ากันน๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา พลีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
เต้นบัลเล่ต์ออกฉากไปเนียนๆ




ปล.4 (ยังไม่จบอีก ยัยนี่!!!) จขกท ได้งานแล้วค่า เย้ๆๆๆๆๆๆๆ (เท่านี้แหละ ฮ่าๆ)
ปล.5 (โดนคนอ่านถีบ!!!) ใครรู้บ้างคะว่าตั๋วไปญี่ปุ่นช่วงไหนถูกที่สุด และคำแนะนำในการแบกเป้เที่ยวแถวคันไซได้ในงบประมาณถูกๆๆๆๆ หลังไมค์มาก็ได้ค่าาา ขอบพระคุณมากค่ะ
เรื่องเล่าจากสาวเอ๋อ :: จากไทยแลนด์ถึงโอซาก้า Snoopy Boy กับ Long distance relationship
อันที่จริงเมื่อสองวันก่อนนั่งเขียนกระทู้อยู่ร่วมชั่วโมงนะคะ แต่กำลังจะกดส่ง มือก็ดันไปกดแบคสเปซ (คราวนี้โทษแมวไม่ได้แล้ว) และแว้บ ข้อความทั้งหมดที่นั่งวิริยะอุตสาหะพิมพ์มาก็สาบสูญไปต่อหน้าต่อตา แทบจะอยากกรีดร้องออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นกันเลยทีเดียวเชียว เอิ๊กๆๆๆๆๆ (เอ่อ ได้ข่าวว่าหล่อนพูดญี่ปุ่นไมไ่ด้)
เรื่องของเรื่องก็คือ มีคนมาเลียบๆเคียงๆถามนิดหน่อยว่าหล่อนหายหน้าไปไหน เพราะเห็นหยุดตั้งกระทู้ไปพักใหญ่มากกกกกกก ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เพราะว่า จขกท มัวแต่เพลิดเพลินเจริญใจกับงานใหม่และการเดินทางไปทำงานที่กินเวลาขาไปสองชั่วโมงครึ่ง และขากลับอีกสองชั่วโมงครึ่งอย่างสนุกสนานค่ะ ก็เลยไม่รู้จะเอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนมาตั้งกระทู้ โดยเฉพาะไม่รู้ว่าจะตั้งเรื่องไหนดี (อู้นั่นแหละ บอกไปเถอะ)
เอาล่ะ ไหนๆก็มาแล้ว จะมัวแต่แก้ตัวน้ำขุ่นๆเอาสีข้างเข้าถูต่อไปก็เสียเวลา เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ
คือว่า ต้องบอกเลยว่าใครที่ตามกระทู้มาตั้งแต่แรกๆ สำหรับซีรี่ส์ญี่ปุ่นเศร้าเคล้าน้ำหมากเรื่อง "เมื่อดอกรักบานบนลานบัลเล่ต์" (พื้นที่โฆษณา ฮ่าๆๆ) เราก็เดินทางมากันไกลมาก ตั้งแต่พายุหิมะที่นิวยอร์ค มาจนถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่แดดร้อนโคตรๆแห่งนี้นั่นเองค่ะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถไปหาอ่านได้ในกระทู้เก่าๆได้นะคะ ฮ่าๆๆๆๆ
ตอนนั้นเราเริ่มลุ้นกนมาตั้งแต่เริ่มไปแอบชอบเค้า ไปกระชากคอเสื้อเค้าแล้วผลักติดผนังเพื่อสารภาพรัก รวมทั้งการผจญภัยในนิวยอร์คตามประสานักเรียนบัลเล่ต์ผู้เต้นบัลเล่ต์ไม่เป็นซักกะติ๊ด เราก็มาถึงบทสรุปของนิยายเรื่องยาวนี้สักที (เวอร์ไปไหมหล่อน / สุดๆอะเธอ)
ตอนนี้เราก็เลยตกลงปลงใจคบหาดูใจกันในฐานะคนพิเศษกันเป้นที่เรียบร้อย แต่ถ้าใครเคยอยู่ห่างแฟนมากๆ ก็คงเข้าใจถึงความเซ็งของไอ้คำว่า Long distance relationship หรือความสัมพันธ์ทางไกลกันได้ดีใช่ไหมคะ นั่งคือสิ่งที่ จขกท กำลังเผชิญอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียวเชียว เนื่องจากวันที่เราตกลงเป็นแฟนกัน มันคือวัน ที่ชายหนุ่มอยู่โอซาก้า และสาวสวย(เหรออออ)อยู่นิวยอร์ค และหลังจากนั้น สาวสวย(พอเหอะ สงสารคนอ่าน) ก็บินกลับมาเมืองไทย เพื่อหวังว่าความห่างไกลจะน้อยลงบ้าง (จริงๆคือเงินหมด และมันกลับมาช่วยแม่เลี้ยงแมว) แต่ถึงจะทวีปเดียวกัน มันก็คนละประเทศอยู่ดี และเวลาเราก็ต่างกันตั้งสองชั่วโมงแน่ะ
จริงๆแล้วมันมีความแตกต่างระหว่างโอซาก้าและนิวยอร์ค ที่มันห่างกันสิบสี่ชั่วโมง แต่ถ้าถามว่าเป็นอุปสรรคมั้ย จริงๆก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายนะคะ เพราะมันคือการที่เค้ากลับบ้านมาตอนค่ำ เราตื่นนอน และการทำงานร้านอาหารก็เริ่มตอน11โมงเช้า ทให้เรามีเวลาราวๆชั่วโมงครึ่งที่จะได้คุยกัน เค้านอน เราเตรียมไปทำงาน ขึ้นซับเวย์ (สถานีแถวบ้านมันอยู่บนดินค่ะ ยังไม่มุดอุโมงค์เน่อ) ก็ร้องเพลงกล่อมให้หลับกันได้ โรแมนติกสุดๆ (คิดสภาพผู้หญิงคนนึงในเสื้อโค้ทสีม่วงแปร๋นกะหมวกถักสีเดียวกัน กำลังยืนเบียดขอบประตูรถไฟแล้วเอาผ้าพันคอพันหน้าไว่จนถึงจมูกเพื่อกั้นไม่ให้เสียงร้องเพลงแลบออกมารบกวนเด็ก สตรี และคนชราคนอื่นบนรถขณะที่ร้องเพลงกรอกใส่สมอลทอล์คให้ชายหนุ่มจากโอซาก้านอนหลับฝันดีผีรอบเตียง
แต่เมื่อกลับมาเมืองไทย เวลาที่ต่างกันสองชั่วโมง จะว่าดีก็ดี จะว่าเซ็งก็เซ็งค่ะ
ประเด๋นก็คือ ตอนนี้ที่โรงเรียนบัลเล่ต์ของฮีกำลังจะมีแสดงเรื่องซินเดอเรลล่า และฮีก็เป็นหนึ่งในนักแสดงค่ะ (สาบานได้ว่าไม่ได้เล่นเป็นพระเอกชัวร์ๆ ส่วนท่านพี่สาวแสดงเป็นนางเอกค่ะ) ซึ่งก็แปลว่าคุณชายจะมีซ้อมหกวันต่อสัปดาห์ เสร็จประมาณสี่ทุ่ม และเราจะได้เริ่มคุยกันตอนประมาณเที่ยงคืน หรือสี่ทุ่มเมืองไทยนั่นเองค่ะ
และแน่นอน คนที่เต้นมาทั้งวัน พอกลับบ้านก็อยู่ในสภาพที่สลึมสลือเต็มที หลายๆครั้งที่ จขกท นั่งฟังฮีคุยไม่รู้เรื่อง ไม่เป้นคำอยู่สองสามนาที ก่อนที่คำพูดจะกลายเป้นเสียง ครอกกกกก ครืดดดดดดด คราดดดดด ไปในที่สุด (บางทีมีเสียงแจ๊บๆปนมาด้วย) คือกลางคืนเรา ดึกเค้า เช้ามาก็ต้องไปซ้อมต่อ ในขณะที่ จขกท ยังไม่ตื่น เย้!!
แต่ก็มีบางวัน ที่คุณชายยังคงมีพลังงานเหลือมานั่งคุยกันแบบเป็นผู้เป็นคนได้ เราก็จะมานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน
เริ่มจาก...จขกท เป็นคนที่ไม่ดื่นเหล้าเบียร์ใดๆ มีบ้างนานๆๆๆๆๆๆๆๆที ที่จะแตะนิดนึง เพราะเป้นคนคออ่อนมาก และไม่ค่อยชอบรสชาติมันอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนญี่ปุ่นหรือเปล่าที่จะต้องดื่มเบียร์แกล้มมื้อเย็นเป็นปกติ (ใครรู้ช่วยแจงแถลงไขหน่อยเด้อ) ซึ่งคุณชายนุปปี้ก็รู้ว่า จขกท ไม่ค่อยชอบคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่านี้ซักเท่าไหร่ เนื่องมาจากคุณชายพ่อดื่มจัดมากและคุยกันไม่รู้เรื่องประจำ
วันนึง เราก็เปิดกล้องคุยกันตามปกติ แต่แล้วสายตา จขกท ก็เหลือบไปเห็นแก้วมีน้ำเหลืองๆอยู่ตรงมุมกล้องพอดี และเหมือนฮีจะรู้ตัว รีบคว้าแก้วเจ้ากรรมหลบออกจากเฟรมทันที
เรา : อะไรอ้ะ
ฮี : ไม่มีอะไร
เรา : มีดิ ไอ้เหลืองๆนั่นอะไร
ฮี : กรีนทีไง (แล้วก็ดื่มโชว์ให้ดู เกือบครึ่งแก้ว)
เรา : กรีนทีมันมีฟองด้วยเรอะ
ฮี : นี่ไง สปาร์คลิ่งกรีนที (แล้วคว้ามาดื่มต่ออีกอึกใหญ่) ฮ่าห์ สดชื่นนนนนน
เรา : กรีนทียี่ห้ออาซาฮีเนี่ยนะ
ฮี : ช่ายยยย เค้าทำชาเขียวขายด้วยนะ เมืองไทยไม่มีขายหรอก
และอีกเรื่องที่สงสัยมากๆเลยค่ือ เค้าว่าหนุ่มญี่ปุ่นจะไม่ค่อยบอกรักแฟนซํกเท่าไหร่ และในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบให้แฟนมาคอยถามว่าตะเองรักเก๊าม้ายยยยยย แต่นี่คือสิ่งที่เกิดกับ จขกท
ฮี : นี่ๆ ถามหน่อยได้มั้ย
เรา : ถามว่า?
ฮี : เธอรักเรามั้ย
เรา : อือ รักดิ
ฮี : รักแค่ไหนอะ
เรา : ก็...มากกกกก
ฮี : จริงเหรอ
เรา : อือ แล้วเธออะ
ฮี : รักสิ รักๆๆๆ
เรา : อือ เหมือนกัน
ฮี : ดีๆ แล้ว.......
เรา : อะไรหรอ
ฮี : เปล่า ไม่เป็นไรหรอก
เรา : มีอะรายยยยยย
ฮี : ทำไมเธอถึงรักเราล่ะ
เรา : (ทุกวันจะต้องครีเอทคำตอบต่างๆนาๆเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เช่น เธอผอมดี ผมเธอตลกดี ไปจนถึงเธอฟันเหยินดี)
ฮี : ดีจังเลย (แล้วก็เงียบไป)
เรา : อ้าว เป้นไรอะ
ฮี : เปล่า...แค่...
เรา : อะไรเหรอ
ฮี : เธอรักเรามั้ย...
แล้ววงจรการคุยก็กลับมาอยู่ในแพทเทิร์นเดิม สามารถอ่านย้อนกลับไปบรรทัดบนได้ วนอยู่ประมาณสิบรอบ แบบนั้นเลยค่ะ จนในที่สุดฮีก็หลับไปพร้อมกับคำถามซํกคำถามในแพทเทิร์นที่ว่ามานั่นแล ^^"
ไหนใครว่าผู้ชายญี่ปุ่นไม่ชอบคุยอะไรพวกนี้ไง ตกลงนุปปี้เป็นคนญี่ปุ่นจริงป้ะเนี่ย!?!
กลับมาว่าด้วยเรื่องรักทางไกลต่อดีกว่า
คือว่า ทุกวันนี้การติดต่อสื่อสารมันทำได้ง่ายมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขียนจดหมายต้องรอกันเป้นอาทิตย์ๆกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ดังนั้น สิ่งที่ตามมากับความรวดเร็วในการสื่อสาร นั่นก็คือความเข้าใจผิดและการทะเลาะอย่างช่วยไม่ได้ค่ะ
อาจะเป้นเพราะเราคุยกันด้วยภาษากลาง ซึ่งทางนี้ก็พูดไทย ทางนั้นก็พูดญี่ปุ่น เลยทำให้การติดต่อสื่อสารออกจะเพี้ยนๆอยู่บ้างในหลายๆครั้ง ซึ่งเพราะความเป็นคนพูดน้อย บางครั้งเค้าเองก็จะไม่พูดอะไร นั่งทำหน้าหมาหงอยมองผ่านกล้องอย่างเดียว (พร้อมกับซดเบียร์ แล้วซํกพักก็ง่วงหลับไปเอง) โดยที่บางครั้งคนเราก็ต้องการการพูดคุยที่มากกว่า "เธอรักชั้นมั้ย" เหมือนกันอะน่อ จขกท เลยปรี๊ดแตกไปหลายครั้งเหมือนกันค่ะ
แต่โดยรวม ความสัมพันธ์ก็ยังเป็นไปได้ด้วยดีอยู่นะ นอกจากการแง่งๆใส่ (ซึ่งประมาณ99.99%มาจาก จขกท แหะๆๆๆ) บ้างเป็นบางครั้ง
ได้เวลาที่ฮีจะโทรมาแล้ว!!!!
ก่อนจะจบ(ดื้อๆ) จขกท ก็มีเรื่องจะมาปรึกษา เพราะมีพี่ใจดีคนนึงมาแนะนำว่า ทำไมไม่ทำแฟนเพจในเฟสบุคไปให้รู้เรื่องรู้ราวเลยล่ะ แต่เพราะกำลังคิดว่า ใครจะมานั่งกดไลค์ฟะ ก็เลยยังไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น แต่ว่า...จะทำดีมั้ย...แล้วถ้าทำ จะเขียนอะไรล่ะ 5555 เพราะไอ้การแอบแคปรูปตอนนุปปี้ถอดเสื้อ(อย่าคิดลึก ฮีใส่เสื้อกล้ามข้างในตลอดเวลาฮ่ะ)มันคงไมไ่ด้สวยงามอย่างที่คิด (นึกถึงจิ้งจกก้างๆซี่โครงบานๆใส่เสื้อกล้ามดูนะคะ) ถ้าใครมีอะไรแนะนำก็บอกได้นะคะ เพราะมองไม่เห็นเหมือนกันว่าจะทำไว้ทำไม ^^"
ปล. เรื่องดราม่าในอพาร์ทเม้นท์ยังไม่จบเน้อ หึหึหึ
ปล.2 ทำไมพอเขียนเรื่องอื่นแล้วไม่ค่อยมีคนอ่านเลยเนอะ (สำนึกบ้างมั้ยว่าหล่อนหายหัวไปนานแค่ไหน) แต่เชื่อว่าคราวหน้าจะมีเรื่องมานินทานิวยอร์คฉบับเก็บตกให้ฟังกันแน่นอนค่ะ มีเรื่องอะไรที่คิดว่าอยากให้ จขกท เอามาแฉตัวเองก็แนะนำไว้ได้นะคะ เพราะภายในเวลาไม่กี่เดือน ยอมรับเลยว่า จขกท ไปทำอะไรบ้าๆไว้ที่นู่นเยอะพอสมควรเลยเหมือนกันค่ะ (โดยเฉพาะเรื่องปากเสีย)
ปล.3 (พอเหอะ) อย่าลืมเค้ากันน๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา พลีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
เต้นบัลเล่ต์ออกฉากไปเนียนๆ
ปล.4 (ยังไม่จบอีก ยัยนี่!!!) จขกท ได้งานแล้วค่า เย้ๆๆๆๆๆๆๆ (เท่านี้แหละ ฮ่าๆ)
ปล.5 (โดนคนอ่านถีบ!!!) ใครรู้บ้างคะว่าตั๋วไปญี่ปุ่นช่วงไหนถูกที่สุด และคำแนะนำในการแบกเป้เที่ยวแถวคันไซได้ในงบประมาณถูกๆๆๆๆ หลังไมค์มาก็ได้ค่าาา ขอบพระคุณมากค่ะ