สวัสดีค่ะ
อยากจะเล่าประสบการณ์การจ้าง Make up Artist มาแต่งหน้าให้ที่บ้าน เพื่อเป็นเพื่อนเจ้าสาวค่ะ
พอดีเมื่อสามวันก่อน มีงานแต่งงานของเพื่อนสาวคนสนิทตั้งแต่มัธยมปลายค่ะ ซึ่งเดี๋ยวนี้เวลาคู่บ่าวสาวแต่งงาน มักจะมีฤกษ์งามยามดีไม่กี่ฤกษ์ต่อเดือน ทำให้วันมงคลหนึ่งวัน ก็จะมีหลายๆ คู่แต่งงานแต่งพร้อมกันในหลายสถานที่ใช่หรือไม่คะ
นี่แหละค่ะ จุดเริ่มต้นของประเด็น คือดิฉันมีช่างแต่งหน้าประจำ ที่แต่งหน้าเวลาไปงานแต่งงานให้เสมอค่ะ โดยร้านของช่างจะอยู่ห่างจากบ้านไม่มาก ขับรถเพียงสิบนาที ที่จอดรถพร้อม ปกติก็แต่งกับพี่ช่างคนนี้ งานออกมา เรียบหรู ดูดี สวยปิ๊งค่ะ ใช้เวลาแต่งหน้าประมาณ 1 ชั่วโมง ทำผมอีก 45 นาที เสร็จค่ะ โดยคิดราคาประมาณ 1200-1300 บาทค่ะ (ค่อนข้างแพง แต่เป็นราคาที่ยอมจ่ายนะคะ เพื่อแลกกับลุคสวยในงานแต่งงาน คือปกติดิฉันแต่งหน้าจัดๆ แต่งหน้าออกงานเองไม่เป็นค่ะ ก่อนที่จะจ้างช่างแต่งหน้า ก็มักไปแต่งตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์ตามห้างสรรพสินค้าดังค่ะ) แต่ว่าครั้งนี้ ดิฉันจองล่วงหน้าเพียงสองสัปดาห์ก่อนวันแต่งจริง ดังนั้นช่างไม่ว่างค่ะ เพราะว่าต้องไปแต่งหน้าให้กับคนอื่นที่จองคิวล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว
ด้วยความที่สนิทกัน ดิฉันจึงขอร้องให้พี่ช่างช่วยแนะนำช่างมีฝีมือ ที่สะดวกในวันและเวลาดังกล่าว เพื่อมาแต่งหน้าให้ค่ะ
ผลปรากฎว่าไม่มีช่างท่านใดว่างเลย แต่ทิ้งเวลาไว้สักสามสี่ชั่วโมง พี่ช่างจึงบอกว่ามีช่างฝึกหัดหนึ่งคน ว่างและพร้อมที่จะมาแต่งหน้าให้ โดยคิดราคาแค่ 1000 บาท เท่าน้น (ที่จริง 1000 บาท มองย้อนกลับไป แต่งหน้าครั้งเดียว ก็ยังแพงมากๆ อยู่ดีค่ะ)
ดิฉันก็ไม่ได้ตรวจสอบประวัติหรือผลงานช่างก่อนเลยค่ะ คิดเสียแต่ว่าหาช่างได้ก็ดีถมไป เหลือเวลาอีกไม่มาก จึงรีบรับปากจองล่วงหน้าเลยค่ะ
ช่างก็ดู friendly ถือกล่องอุปกรณ์รวมทั้งกระเป๋าใบใหญ่ที่บรรจุเครื่องสำอางค์เต็มไปหมดค่ะ
ดิฉันนัดเวลาโดยเผื่อเวลาล่วงหน้าสองชั่วโมงสิบห้านาที และคิดว่าต้องทันและเหลือเวลาอีกแน่นอน
ในขั้นตอนการรองพื้น ดิฉันกลัวมากหากหน้าลอย โดยเฉพาะถ่ายรูปใช้แฟลช จึงย้ำนักย้ำหนา ว่าขอรองพื้นสีไม่สว่างมาก เพราะไม่ใช่เป็นคนที่ผิวขาวค่ะ และได้เตรียมรองพื้นของตนเองที่ใช้อยู่ประจำไว้ให้ช่าง เผื่อว่าไม่มีสีที่ช่างต้องการ ปรากฎว่าช่างได้ใช้ make up base สีค่อนข้างสว่างมากเลยค่ะ เป็น color changer ด้วยค่ะ ไม่ทราบยี่ห้อ แต่เนื้อสีเหลือง ฝาสีเทา เสร็จแล้วถึงแม้ว่าจะรองด้วยรองพื้นของช่างที่สีค่อนข้างเข้มกว่า base นั้นแล้วก็ตาม ทำให้หน้าดิฉัน สว่างหรือเรียกง่ายๆ ว่า "หน้าลอย" นั่นเองค่ะ
ยังไม่ทันได้ทักท้วงช่าง โศกนาฎกรรมที่สองก็ตามมาติดๆ คือดิฉันปกติแล้วไม่เขียน Inner สีดำ หรือสีเข้ม เพราะเป็นคนตาดุ จะขอร้องให้ช่างเขียนสีอ่อนเท่านั้น แต่ปรากฎว่าช่างไม่ยอมค่ะ บอกว่า ยังไงก็ต้องเขียน เขียนอ่อนๆ ก็พอ -*- ช่างจึงนำพู่กันปลายตัดคล้ายๆ กับแบบที่เขียนคิ้วมาเขียนบริเวณขอบตาด้านล่างค่ะ ดิฉันรู้สึกเจ็บผิดปกติ ก็เลยถามช่างว่านั่นมันพู่กันเขียนคิ้วไม่ใช่หรอ ช่างตอบว่า "ช่ายค่ะ และสีก็เป็นสีสำหรับเขียนคิ้ว แต่ใช้แทน Inner ได้นะคะ" ---- อึ้งเลยทีเดียวค่ะ ได้ยินประโยคนี้ ถึงแม้ว่าเทคนิคนี้อาจจะมีคนใช้ก็ตาม ดิฉันนึกถึงว่าขอบตาล่างเป็นจุดที่ต้องสัมผัสกับตาขาวด้านในนะคะ รู้สึกระคายเคืองมาก อย่างน้อยพี่ช่างก็ควรคำนึงถึงลูกค้าให้มากกว่านี้หรือเปล่าคะ
โศกนาฎกรรมที่สามก็คือ การติดขนตาปลอมค่ะ พูดให้ถูกคือเกิดเรื่องตั้งแต่ตอนดัดขนตา พี่ช่างใช้ที่ดัดขนตามียี่ห้อ ยี่ห้อหนึ่ง (ความจริงดิฉันก็ใช้ยี่ห้อนี้เหมือนกันค่ะ) ดัดขนตา แต่ไม่ได้ดัดสามรอบโดยเปลี่ยนแนวองศาไปเรื่อยๆ นะคะ ดัดรอบเดียวแต่พยายามกดให้แรงๆ แล้วรีบเด้งออกค่ะ ผลก็คือ ขนตาไม่งอนค่ะ !!! เท่านั้นยังไม่พอ พี่ช่างไม่ได้สังเกตว่าขนตายังไม่งอน จึงไปติดกาวที่ขนตาปลอมแล้วนำขนตาปลอมมาติดบนขนตาจริงที่ยังไม่งอนค่ะ --- ผลสรุปคือ ขนตาปลอมอยู่ก็จริงค่ะ แต่ว่าดิฉันรู้สึกมีวัตถุสีดำแปลกประหลาดพาดไว้บริเวณกลางตา เน้นนะคะ เส้นแนวนอนพลาดไว้บริเวณกลางตาค่ะ รำคาญมาก พี่ช่างจึงแก้ปัญหาโดยการ ---> นำที่ดัดขนตามาดัดขนตาปลอม ซึ่งโค้งอยู่แล้ว ดัดอยู่เกือบสิบรอบ ก็ไม่เป็นผลค่ะ (ดิฉันตอนนี้ น้ำตาไหลพรากด้วยความระคายเคือง และ ไหลพรากด้วยความโศกเศร้าที่ไม่รู้จะแบกใบหน้าไปงานได้อย่างไร !!! ) ดิฉันจึงแนะนำไปค่ะ ว่าลองแกะขนตา แล้วดัดขนตาจริงใหม่ก่อนไหมคะ พี่ช่างแต่งหน้าจึงทำตาม แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญในการดัดขนตาคนอื่น จึงดัดไม่งอนค่ะ ดิฉันจึงเป็นฝ่ายดัดขนตาตัวเอง โดยขออย่างสุภาพว่า "เดี๋ยวจะลองดัดเองดูไหมคะ"
หลังปล้ำกับขนตาอยู่เป็นเวลานาน ชำเลืองไปมองนาฬิกาค่ะ เป็นเวลากว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว ที่ดิฉันนั่งให้พี่เขาแต่งหน้าอยู่ และเหลือเวลาอีกไม่ถึงสี่สิบห้านาที เพื่อจะแต่งหน้าที่เหลือ รวมทั้งทำผม ดิฉันจึงบอกพี่ช่างว่าให้เร่งมือค่ะ เพราะกลัวไปงานไม่ทัน ความจริงดิฉันต้องติดรถเพื่อนคนอื่นเพื่อไปงานแต่งงานที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพค่ะ ดังนั้นจะต้องเผื่อเวลา และเผื่อการจราจรคะ่ พี่ช่างก็รับคำ ว่า ไม่เป็นไร ทันแน่นอน มันจะช้าก็ตอนติดขนตา และตอนรองพื้น ซึ่งขั้นตอนที่ช้าอยู่นั้น ได้ทำเสร็จสิ้นไปแล้วค่ะ
ดิฉันได้ส่งแบบผมที่ต้องการไปให้พี่ช่าง สามสี่วันก่อนแต่งหน้าทำผมจริงค่ะ เป็นทรงผมที่ทำค่อนข้างง่าย คือ ขอแค่รวบผมมวยขึ้นไปโดยดัดหยิกเล็กน้อยบริเวณด้านหลังค่ะ มีวีดีโอสาธิตจาก youtube แนบไปกับแบบผมแล้วส่งให้พี่ช่างค่ะ ผลปรากฎว่า ช่างเริ่มลน กลัวไม่ทัน กว่าจะเสียบปลั๊กแกนม้วนร้อนแล้วรอให้ร้อน สรุปคือ รีบม้วนผมมาก ตอนแรกๆ ก็เป็นลอนดีค่ะ แต่พอผ่านไปสักสิบนาที ลอนก็คลายเกลียว พูดอีกทีก็คือ กว่าจะม้วนผมเสร็จทั้งหัว ผมอีกด้านนึงก็คลายไปเกือบหมดค่ะ จากนั้นก็ถึงเวลาสำคัญคือการเกล้าผม พร้อมทั้งยีผมให้ฟูก่อนเกล้า พี่ช่างยีด้วยท่าทางไม่ค่อยถนัดค่ะ ดิฉันก็เข้าใจว่าคงจะไม่ค่อยได้ทำผม แต่ตอนรวบนี่ถึงขั้นปรี๊ดจริงค่ะ เพราะว่าปาดเจลมาหนึ่งกำมือ แล้วโป๊ะลงบนหัวดิฉันค่ะ สรุปไอ้ที่ยีมา ให้ฟูๆ ก็โดนเจลก้อนนั้นโปะลงไปกลายเป็นก้อนสีดำๆ แข็งๆ ค่ะ (คือดิฉันเน้นแล้วคะ่ว่าขอรวบผมแบบธรรมชาติ ไอ้แบบตีกระบัง ผมฟูแบบคุณหญิงคุณนายนั้น ยังไม่ถึงอายุดิฉันค่ะ ดิฉันอยากจะสนุกกับวัยซะรุ่นก่อนจะแก่นะคะ ~~")
สรุป เห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้ว ดูไม่ได้เลยค่ะ ตกใจ แต่งหน้าตัวเองยังจะสวยกว่านี้ แถมหัวก็เรียบแปร๊เป็นก้อนแข็งหนึ่งก้อนค่ะ ที่สำคัญคือ ณ เวลานั้น สายแล้วสิบห้านาที เพื่อนกำลังจอดรถรออยู่ จึงต้องรีบออกจากบ้านแล้วไปงานแต่งงานค่ะ คงเป็นงานแต่งงานที่น่าขายหน้าที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ ที่สำคัญ เข็ดจริงๆ คงจะไม่จ้างพี่ช่างคนนี้อีกค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันขอปกปิดรายละเอียดนะคะว่าเป็นใคร เนื่องจากยังมีความเห็นใจและคิดว่าในอนาคตพี่เขาอาจจะปรับปรุงฝีมือเพื่อแต่งหน้าทำผมเป็นอาชีพเสริมต่อไปได้ค่ะ
บทเรียนที่ได้คือ
1. ก่อนจ้างช่างทำผมแต่งหน้า ควรเช็ค background นิดนึงค่ะ
2. ราคาถูก บางครั้งคุณภาพก็แย่ไปด้วย ยอมจ่ายแพงอีกนิด ก็จะได้คุณภาพที่ดีขึ้นนะคะ
3. เวลาที่เผื่อไว้ล่วงหน้า อาจจะไม่พอ อาจจะต้องเผื่อเวลาล่วงหน้ามากกว่านี้อีกนิดค่ะ เพื่อมีเหตุฉุกเฉิน จะได้เหลือเวลาแก้ไขได้นะคะ
4. ดิฉันจะหัดแต่งหน้าออกงานเองแล้วค่ะ ถึงจะไม่สวยเป๊ะเท่ากับมีช่างมาแต่ง แต่ว่าสบายใจกว่าเป็นแน่แท้ รู้จักเครื่องสำอางค์ โทนสีที่เหมาะกับตัวเองมากกว่าค่ะ ที่สำคัญ ไม่เปลืองเงินนะคะ
แชร์ประสบการณ์และบทเรียน การจ้าง Make up Artist มาแต่งหน้าที่บ้าน สำหรับเป็นเพื่อนเจ้าสาวที่งานแต่งงานค่ะ
อยากจะเล่าประสบการณ์การจ้าง Make up Artist มาแต่งหน้าให้ที่บ้าน เพื่อเป็นเพื่อนเจ้าสาวค่ะ
พอดีเมื่อสามวันก่อน มีงานแต่งงานของเพื่อนสาวคนสนิทตั้งแต่มัธยมปลายค่ะ ซึ่งเดี๋ยวนี้เวลาคู่บ่าวสาวแต่งงาน มักจะมีฤกษ์งามยามดีไม่กี่ฤกษ์ต่อเดือน ทำให้วันมงคลหนึ่งวัน ก็จะมีหลายๆ คู่แต่งงานแต่งพร้อมกันในหลายสถานที่ใช่หรือไม่คะ
นี่แหละค่ะ จุดเริ่มต้นของประเด็น คือดิฉันมีช่างแต่งหน้าประจำ ที่แต่งหน้าเวลาไปงานแต่งงานให้เสมอค่ะ โดยร้านของช่างจะอยู่ห่างจากบ้านไม่มาก ขับรถเพียงสิบนาที ที่จอดรถพร้อม ปกติก็แต่งกับพี่ช่างคนนี้ งานออกมา เรียบหรู ดูดี สวยปิ๊งค่ะ ใช้เวลาแต่งหน้าประมาณ 1 ชั่วโมง ทำผมอีก 45 นาที เสร็จค่ะ โดยคิดราคาประมาณ 1200-1300 บาทค่ะ (ค่อนข้างแพง แต่เป็นราคาที่ยอมจ่ายนะคะ เพื่อแลกกับลุคสวยในงานแต่งงาน คือปกติดิฉันแต่งหน้าจัดๆ แต่งหน้าออกงานเองไม่เป็นค่ะ ก่อนที่จะจ้างช่างแต่งหน้า ก็มักไปแต่งตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์ตามห้างสรรพสินค้าดังค่ะ) แต่ว่าครั้งนี้ ดิฉันจองล่วงหน้าเพียงสองสัปดาห์ก่อนวันแต่งจริง ดังนั้นช่างไม่ว่างค่ะ เพราะว่าต้องไปแต่งหน้าให้กับคนอื่นที่จองคิวล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว
ด้วยความที่สนิทกัน ดิฉันจึงขอร้องให้พี่ช่างช่วยแนะนำช่างมีฝีมือ ที่สะดวกในวันและเวลาดังกล่าว เพื่อมาแต่งหน้าให้ค่ะ
ผลปรากฎว่าไม่มีช่างท่านใดว่างเลย แต่ทิ้งเวลาไว้สักสามสี่ชั่วโมง พี่ช่างจึงบอกว่ามีช่างฝึกหัดหนึ่งคน ว่างและพร้อมที่จะมาแต่งหน้าให้ โดยคิดราคาแค่ 1000 บาท เท่าน้น (ที่จริง 1000 บาท มองย้อนกลับไป แต่งหน้าครั้งเดียว ก็ยังแพงมากๆ อยู่ดีค่ะ)
ดิฉันก็ไม่ได้ตรวจสอบประวัติหรือผลงานช่างก่อนเลยค่ะ คิดเสียแต่ว่าหาช่างได้ก็ดีถมไป เหลือเวลาอีกไม่มาก จึงรีบรับปากจองล่วงหน้าเลยค่ะ
ช่างก็ดู friendly ถือกล่องอุปกรณ์รวมทั้งกระเป๋าใบใหญ่ที่บรรจุเครื่องสำอางค์เต็มไปหมดค่ะ
ดิฉันนัดเวลาโดยเผื่อเวลาล่วงหน้าสองชั่วโมงสิบห้านาที และคิดว่าต้องทันและเหลือเวลาอีกแน่นอน
ในขั้นตอนการรองพื้น ดิฉันกลัวมากหากหน้าลอย โดยเฉพาะถ่ายรูปใช้แฟลช จึงย้ำนักย้ำหนา ว่าขอรองพื้นสีไม่สว่างมาก เพราะไม่ใช่เป็นคนที่ผิวขาวค่ะ และได้เตรียมรองพื้นของตนเองที่ใช้อยู่ประจำไว้ให้ช่าง เผื่อว่าไม่มีสีที่ช่างต้องการ ปรากฎว่าช่างได้ใช้ make up base สีค่อนข้างสว่างมากเลยค่ะ เป็น color changer ด้วยค่ะ ไม่ทราบยี่ห้อ แต่เนื้อสีเหลือง ฝาสีเทา เสร็จแล้วถึงแม้ว่าจะรองด้วยรองพื้นของช่างที่สีค่อนข้างเข้มกว่า base นั้นแล้วก็ตาม ทำให้หน้าดิฉัน สว่างหรือเรียกง่ายๆ ว่า "หน้าลอย" นั่นเองค่ะ
ยังไม่ทันได้ทักท้วงช่าง โศกนาฎกรรมที่สองก็ตามมาติดๆ คือดิฉันปกติแล้วไม่เขียน Inner สีดำ หรือสีเข้ม เพราะเป็นคนตาดุ จะขอร้องให้ช่างเขียนสีอ่อนเท่านั้น แต่ปรากฎว่าช่างไม่ยอมค่ะ บอกว่า ยังไงก็ต้องเขียน เขียนอ่อนๆ ก็พอ -*- ช่างจึงนำพู่กันปลายตัดคล้ายๆ กับแบบที่เขียนคิ้วมาเขียนบริเวณขอบตาด้านล่างค่ะ ดิฉันรู้สึกเจ็บผิดปกติ ก็เลยถามช่างว่านั่นมันพู่กันเขียนคิ้วไม่ใช่หรอ ช่างตอบว่า "ช่ายค่ะ และสีก็เป็นสีสำหรับเขียนคิ้ว แต่ใช้แทน Inner ได้นะคะ" ---- อึ้งเลยทีเดียวค่ะ ได้ยินประโยคนี้ ถึงแม้ว่าเทคนิคนี้อาจจะมีคนใช้ก็ตาม ดิฉันนึกถึงว่าขอบตาล่างเป็นจุดที่ต้องสัมผัสกับตาขาวด้านในนะคะ รู้สึกระคายเคืองมาก อย่างน้อยพี่ช่างก็ควรคำนึงถึงลูกค้าให้มากกว่านี้หรือเปล่าคะ
โศกนาฎกรรมที่สามก็คือ การติดขนตาปลอมค่ะ พูดให้ถูกคือเกิดเรื่องตั้งแต่ตอนดัดขนตา พี่ช่างใช้ที่ดัดขนตามียี่ห้อ ยี่ห้อหนึ่ง (ความจริงดิฉันก็ใช้ยี่ห้อนี้เหมือนกันค่ะ) ดัดขนตา แต่ไม่ได้ดัดสามรอบโดยเปลี่ยนแนวองศาไปเรื่อยๆ นะคะ ดัดรอบเดียวแต่พยายามกดให้แรงๆ แล้วรีบเด้งออกค่ะ ผลก็คือ ขนตาไม่งอนค่ะ !!! เท่านั้นยังไม่พอ พี่ช่างไม่ได้สังเกตว่าขนตายังไม่งอน จึงไปติดกาวที่ขนตาปลอมแล้วนำขนตาปลอมมาติดบนขนตาจริงที่ยังไม่งอนค่ะ --- ผลสรุปคือ ขนตาปลอมอยู่ก็จริงค่ะ แต่ว่าดิฉันรู้สึกมีวัตถุสีดำแปลกประหลาดพาดไว้บริเวณกลางตา เน้นนะคะ เส้นแนวนอนพลาดไว้บริเวณกลางตาค่ะ รำคาญมาก พี่ช่างจึงแก้ปัญหาโดยการ ---> นำที่ดัดขนตามาดัดขนตาปลอม ซึ่งโค้งอยู่แล้ว ดัดอยู่เกือบสิบรอบ ก็ไม่เป็นผลค่ะ (ดิฉันตอนนี้ น้ำตาไหลพรากด้วยความระคายเคือง และ ไหลพรากด้วยความโศกเศร้าที่ไม่รู้จะแบกใบหน้าไปงานได้อย่างไร !!! ) ดิฉันจึงแนะนำไปค่ะ ว่าลองแกะขนตา แล้วดัดขนตาจริงใหม่ก่อนไหมคะ พี่ช่างแต่งหน้าจึงทำตาม แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญในการดัดขนตาคนอื่น จึงดัดไม่งอนค่ะ ดิฉันจึงเป็นฝ่ายดัดขนตาตัวเอง โดยขออย่างสุภาพว่า "เดี๋ยวจะลองดัดเองดูไหมคะ"
หลังปล้ำกับขนตาอยู่เป็นเวลานาน ชำเลืองไปมองนาฬิกาค่ะ เป็นเวลากว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว ที่ดิฉันนั่งให้พี่เขาแต่งหน้าอยู่ และเหลือเวลาอีกไม่ถึงสี่สิบห้านาที เพื่อจะแต่งหน้าที่เหลือ รวมทั้งทำผม ดิฉันจึงบอกพี่ช่างว่าให้เร่งมือค่ะ เพราะกลัวไปงานไม่ทัน ความจริงดิฉันต้องติดรถเพื่อนคนอื่นเพื่อไปงานแต่งงานที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพค่ะ ดังนั้นจะต้องเผื่อเวลา และเผื่อการจราจรคะ่ พี่ช่างก็รับคำ ว่า ไม่เป็นไร ทันแน่นอน มันจะช้าก็ตอนติดขนตา และตอนรองพื้น ซึ่งขั้นตอนที่ช้าอยู่นั้น ได้ทำเสร็จสิ้นไปแล้วค่ะ
ดิฉันได้ส่งแบบผมที่ต้องการไปให้พี่ช่าง สามสี่วันก่อนแต่งหน้าทำผมจริงค่ะ เป็นทรงผมที่ทำค่อนข้างง่าย คือ ขอแค่รวบผมมวยขึ้นไปโดยดัดหยิกเล็กน้อยบริเวณด้านหลังค่ะ มีวีดีโอสาธิตจาก youtube แนบไปกับแบบผมแล้วส่งให้พี่ช่างค่ะ ผลปรากฎว่า ช่างเริ่มลน กลัวไม่ทัน กว่าจะเสียบปลั๊กแกนม้วนร้อนแล้วรอให้ร้อน สรุปคือ รีบม้วนผมมาก ตอนแรกๆ ก็เป็นลอนดีค่ะ แต่พอผ่านไปสักสิบนาที ลอนก็คลายเกลียว พูดอีกทีก็คือ กว่าจะม้วนผมเสร็จทั้งหัว ผมอีกด้านนึงก็คลายไปเกือบหมดค่ะ จากนั้นก็ถึงเวลาสำคัญคือการเกล้าผม พร้อมทั้งยีผมให้ฟูก่อนเกล้า พี่ช่างยีด้วยท่าทางไม่ค่อยถนัดค่ะ ดิฉันก็เข้าใจว่าคงจะไม่ค่อยได้ทำผม แต่ตอนรวบนี่ถึงขั้นปรี๊ดจริงค่ะ เพราะว่าปาดเจลมาหนึ่งกำมือ แล้วโป๊ะลงบนหัวดิฉันค่ะ สรุปไอ้ที่ยีมา ให้ฟูๆ ก็โดนเจลก้อนนั้นโปะลงไปกลายเป็นก้อนสีดำๆ แข็งๆ ค่ะ (คือดิฉันเน้นแล้วคะ่ว่าขอรวบผมแบบธรรมชาติ ไอ้แบบตีกระบัง ผมฟูแบบคุณหญิงคุณนายนั้น ยังไม่ถึงอายุดิฉันค่ะ ดิฉันอยากจะสนุกกับวัยซะรุ่นก่อนจะแก่นะคะ ~~")
สรุป เห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้ว ดูไม่ได้เลยค่ะ ตกใจ แต่งหน้าตัวเองยังจะสวยกว่านี้ แถมหัวก็เรียบแปร๊เป็นก้อนแข็งหนึ่งก้อนค่ะ ที่สำคัญคือ ณ เวลานั้น สายแล้วสิบห้านาที เพื่อนกำลังจอดรถรออยู่ จึงต้องรีบออกจากบ้านแล้วไปงานแต่งงานค่ะ คงเป็นงานแต่งงานที่น่าขายหน้าที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ ที่สำคัญ เข็ดจริงๆ คงจะไม่จ้างพี่ช่างคนนี้อีกค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันขอปกปิดรายละเอียดนะคะว่าเป็นใคร เนื่องจากยังมีความเห็นใจและคิดว่าในอนาคตพี่เขาอาจจะปรับปรุงฝีมือเพื่อแต่งหน้าทำผมเป็นอาชีพเสริมต่อไปได้ค่ะ
บทเรียนที่ได้คือ
1. ก่อนจ้างช่างทำผมแต่งหน้า ควรเช็ค background นิดนึงค่ะ
2. ราคาถูก บางครั้งคุณภาพก็แย่ไปด้วย ยอมจ่ายแพงอีกนิด ก็จะได้คุณภาพที่ดีขึ้นนะคะ
3. เวลาที่เผื่อไว้ล่วงหน้า อาจจะไม่พอ อาจจะต้องเผื่อเวลาล่วงหน้ามากกว่านี้อีกนิดค่ะ เพื่อมีเหตุฉุกเฉิน จะได้เหลือเวลาแก้ไขได้นะคะ
4. ดิฉันจะหัดแต่งหน้าออกงานเองแล้วค่ะ ถึงจะไม่สวยเป๊ะเท่ากับมีช่างมาแต่ง แต่ว่าสบายใจกว่าเป็นแน่แท้ รู้จักเครื่องสำอางค์ โทนสีที่เหมาะกับตัวเองมากกว่าค่ะ ที่สำคัญ ไม่เปลืองเงินนะคะ