ผมได้ใช้เวลามองหาทางออกของปัญหาทรัพยากรบุคคลที่ไร้คุณภาพที่มีอยู่จำนวนมากในปัจจุบันนั้นรวมถึงตัวผมด้วย สิ่งที่ผมสังเกตสาเหตุของปัญหานี้ก็แน่นอนว่าเป็นปัญหาเรื่องกาีรศึกษา โดยเน้นในเรื่องของกฎเกณ์ของอายุและความเหมาะสม ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความคิดว่าช่วงเวลาระดับอนุบาลจนถึงระดับก่อนเข้ามหาลัยนั้นกินเวลามากจนเกินไปถึง 15 ปีโดยประมาณ เพื่อจะเป็นการบอกว่าเราควรจะไปศึกษาในสาขาไหนที่เราสนใจในสาขาวิชาอะไร มีหลายความเห็นบอกว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วเพราะเหมาะกับช่วงอายุที่ก้าวสู่วัยรุ่น เข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ สามารถตัดสินใจได้ดี สามารถมองเห็นความถนัดของตน หรือหลายเหตุผลในลักษณะนี้ ผมว่านั้นไม่จริง
ลองคิดว่าถ้าเราทำลายกำแพงนี้ออกไปหรือตัดกฎเกณฑ์ของช่วงอายุที่มีความเหมาะสม ลองคิดว่าถ้าเราต้องเลือกสาขาที่เราจะศึกษาหรือนำไปประกอบอาชีพตั้งแต่เราจบระดับชั้นประถมหละ นั้นคือช่วงอายุ 13-15 โดยประมาณ ประชากรจะได้รับสิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งได้นั้นคือเวลาที่เพิ่มขึ้นถึง 6 ปีผมเชื่อว่าถ้าเกิดกฎเกณฑ์นี้ประชากรต้องปรับตัวใหม่ ทุกคนย่อมจะมีเป้าหมายของตัวเอง หรือ เป้าหมายที่ผู้ปกครองวางไว้ให้ ตั้งแต่ตัวเองยังถูกเรียกว่าอยู่ในวัยเด็ก ด้วยความกดดันด้วยความที่ต้องตัดสินใจที่ส่งผลถึงอนาคต ย่อมลดปัญหาในวัยเด็กหลายประการในปัจจุบันได้ แล้วก็มีจะคนบางกลุ่มบอกว่ามันยังเด็กเกินไปที่จะตัดสินใจ มันยังเด็กเกินไปที่จะได้เรียนรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ผมเป็นเด็กมัธยมคนหนึ่งในระดับชั้น ม.6 ผมรู้ดีว่าเพื่อนทุกคนของผมตอนนี้ที่ถูกเรียนว่าอยู่ในวัยรุ่นนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองชอบทำงานอะไร แต่เพียงรู้แค่ว่าตัวเองอยากเดินทางศึกไปทางไหน นั้นจึงทำให้ผมเห็นว่าจุดหมายของแต่ละคนนั้นไม่สามารถบอกได้เลยว่าตัวเองจะพบกับความสุขในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือ ถนัด หรือไปพบกับความทุกข์ที่หลีกเลี้ยงไม่ได้ในอนาคตกับเวลาที่เสียไป แต่ถ้าเราได้เวลาเพิ่มขึ้นหละ หรือถ้าเราได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยที่ไม่ต้องทนเรียนในหลักสูตรตั้ง6ปีของมัธยม ที่ต้องเรียนทุกวิชาอันแสนปวดหัว ซึ่งหลายคนก็มีจุดหมายอยู่แล้ว เช่น ตัวเองอยากเรียนกฎหมาย แต่ต้องมาเรียนคณิตศาสตร์ถึง 6 ปี ตัวเองสนใจทางวาดรูปแต่ต้องมาเรียนวิทยาศาสตร์ถึง6ปี หรือ พวกวิชาการงานที่สอนให้ในสิ่งที่ไม่สามารถไปประยุกต์ใช้ได้เลยอย่างสูญเปล่า สำหรับคนที่ยังไม่มีจุดหมายก็ต้องปรับตัวค้นหาตัวเองตั้งแต่เด็ก สำหรับคนที่เดินทางผิดก็ยังมีเวลาที่จะกลับมาแก้ไข คิดดูว่าได้ทรัพยากรที่มีความถนัดในเฉพาะด้านมากมาย และยังเพิ่มโอกาศให้กับเด็กที่มีศักยภาพสูงอีกด้วย
ผมเชื่อว่าความรู้ที่เราเรียนส่วนใหญ่เกินกว่าความรู้ที่เราจะสามารถเอาไปใช้ได้จริง และการเรียนที่มากเกินไปจะจำกัดกรอบความคิดของตัวเองอย่างเช่น มีไฟอยู่1ดวง นาย ก ถูกสอนให้รู้ไว้ไฟสามารถให้แสงสว่างตอนเรามองไม่เห็นในความมืด ความคิดนาย ก ก็จะจบลงแค่นั้น แต่นายข้อไม่รู้ว่าไฟคืออะไรแต่ใช้ความไม่รู้เป็นตัวสังเกตว่าไอสิ่งที่เรียกว่าไฟนั้น ทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นเราความจะได้เรียนในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น หรือในสิ่งที่เราสนใจเท่านั้นเป็นอันเพียงพอแล้ว และให้ศักยภาพของแต่ละบุคคลความคิดของแต่ละบุคคลเป็นตัววัดว่าจะต่อยอดไปได้มากแค่ไหน
เป็นความคิดส่วนตัวของวัยรุ่นคนหนึ่ง
กฎเกณฑ์ทางการศึกษาและปัญหาทรัพยากรบุคคลไร้คุณภาพ
ลองคิดว่าถ้าเราทำลายกำแพงนี้ออกไปหรือตัดกฎเกณฑ์ของช่วงอายุที่มีความเหมาะสม ลองคิดว่าถ้าเราต้องเลือกสาขาที่เราจะศึกษาหรือนำไปประกอบอาชีพตั้งแต่เราจบระดับชั้นประถมหละ นั้นคือช่วงอายุ 13-15 โดยประมาณ ประชากรจะได้รับสิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งได้นั้นคือเวลาที่เพิ่มขึ้นถึง 6 ปีผมเชื่อว่าถ้าเกิดกฎเกณฑ์นี้ประชากรต้องปรับตัวใหม่ ทุกคนย่อมจะมีเป้าหมายของตัวเอง หรือ เป้าหมายที่ผู้ปกครองวางไว้ให้ ตั้งแต่ตัวเองยังถูกเรียกว่าอยู่ในวัยเด็ก ด้วยความกดดันด้วยความที่ต้องตัดสินใจที่ส่งผลถึงอนาคต ย่อมลดปัญหาในวัยเด็กหลายประการในปัจจุบันได้ แล้วก็มีจะคนบางกลุ่มบอกว่ามันยังเด็กเกินไปที่จะตัดสินใจ มันยังเด็กเกินไปที่จะได้เรียนรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ผมเป็นเด็กมัธยมคนหนึ่งในระดับชั้น ม.6 ผมรู้ดีว่าเพื่อนทุกคนของผมตอนนี้ที่ถูกเรียนว่าอยู่ในวัยรุ่นนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองชอบทำงานอะไร แต่เพียงรู้แค่ว่าตัวเองอยากเดินทางศึกไปทางไหน นั้นจึงทำให้ผมเห็นว่าจุดหมายของแต่ละคนนั้นไม่สามารถบอกได้เลยว่าตัวเองจะพบกับความสุขในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือ ถนัด หรือไปพบกับความทุกข์ที่หลีกเลี้ยงไม่ได้ในอนาคตกับเวลาที่เสียไป แต่ถ้าเราได้เวลาเพิ่มขึ้นหละ หรือถ้าเราได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยที่ไม่ต้องทนเรียนในหลักสูตรตั้ง6ปีของมัธยม ที่ต้องเรียนทุกวิชาอันแสนปวดหัว ซึ่งหลายคนก็มีจุดหมายอยู่แล้ว เช่น ตัวเองอยากเรียนกฎหมาย แต่ต้องมาเรียนคณิตศาสตร์ถึง 6 ปี ตัวเองสนใจทางวาดรูปแต่ต้องมาเรียนวิทยาศาสตร์ถึง6ปี หรือ พวกวิชาการงานที่สอนให้ในสิ่งที่ไม่สามารถไปประยุกต์ใช้ได้เลยอย่างสูญเปล่า สำหรับคนที่ยังไม่มีจุดหมายก็ต้องปรับตัวค้นหาตัวเองตั้งแต่เด็ก สำหรับคนที่เดินทางผิดก็ยังมีเวลาที่จะกลับมาแก้ไข คิดดูว่าได้ทรัพยากรที่มีความถนัดในเฉพาะด้านมากมาย และยังเพิ่มโอกาศให้กับเด็กที่มีศักยภาพสูงอีกด้วย
ผมเชื่อว่าความรู้ที่เราเรียนส่วนใหญ่เกินกว่าความรู้ที่เราจะสามารถเอาไปใช้ได้จริง และการเรียนที่มากเกินไปจะจำกัดกรอบความคิดของตัวเองอย่างเช่น มีไฟอยู่1ดวง นาย ก ถูกสอนให้รู้ไว้ไฟสามารถให้แสงสว่างตอนเรามองไม่เห็นในความมืด ความคิดนาย ก ก็จะจบลงแค่นั้น แต่นายข้อไม่รู้ว่าไฟคืออะไรแต่ใช้ความไม่รู้เป็นตัวสังเกตว่าไอสิ่งที่เรียกว่าไฟนั้น ทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นเราความจะได้เรียนในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น หรือในสิ่งที่เราสนใจเท่านั้นเป็นอันเพียงพอแล้ว และให้ศักยภาพของแต่ละบุคคลความคิดของแต่ละบุคคลเป็นตัววัดว่าจะต่อยอดไปได้มากแค่ไหน
เป็นความคิดส่วนตัวของวัยรุ่นคนหนึ่ง