เป็นทหารก็น่ากลัวนะ

กระทู้สนทนา
ผมเป็นคนที่ชอบทหารนะ คือศรัทธามากกว่าตำรวจร้อยเท่าพันเท่าเลยละ ทั้งระเบียบวินัยและวิธีแนวทางปฏิบัติของเขา ดังนั้นเวลาลูก ๆ หลาน ๆ ถึงอายุที่ต้องเกณฑ์ทหาร มีอันต้องบนให้ได้ใบแดงทุกคนไป หลานคนแรกไปเป็นทหาร กลับมาเห็นความแตกต่าง กลายเป็นคนละคนเลย พ่อแม่ ดีใจกันใหญ่ เพราะดูเขาไม่เหมือนเดิม มีระเบียบวินัย คิดอะไรมากขึ้น ซึ่งเราไม่รู้เขาสอนอย่างไร

แต่พอคนแรกปลด ถึงคราวลูกพี่สาวอีกคนต้องไปเกณฑ์ ก็ได้ใบแดงสมใจ แต่ใช้วุฒิไปเทียบ เหลือ 1 ปี หลานผมจะออกแนวกระเทยนิด ๆ แต่บึกและถึก สูงยาวเข่าดี ดีหนึ่งประเภทหนึ่งเลย ตอนไปฝึกก็มีบ้างที่บ่นให้พี่สาวกะพี่เขยฟังเรื่องลำบาก แต่เราถือว่าเขาฝึกปกติ ก็ไม่สนใจ จนการฝึกครบกำหนด 3 เดือน จะมีการอนุญาตให้ลากลับบ้านได้ประมาณ 9-10 วันไม่แน่ใจ ตอนนั้นเพื่อน ๆ ทั้งโรงนอนกลับหมดแล้ว แต่หลานผมกลับไม่ไหว เลยโทรหาแม่ให้มารับเนื่องจากค่ายกับบ้านอยู่คนละอำเภอห่างกันสัก 3 อำเภอได้ แม่ก็ไปรับถึงเรือนนอน สภาพที่เห็นคือ นอนคนเดียวบนเรือนนอน ลุกแทบไม่ไหว ไข้ขึ้นสูง พ่อกับแม่เลยประคองขึ้นรถ ซึ่งขณะนั้นก็ไม่เห็นทหารคนใดเลย เพื่อนหรือ ครูฝึกก็ไม่มีใครเลย ก็ขึ้นรถจะกลับ พอมาระหว่างทาง หลานบอก ไม่ไหวแล้วแม่ ขอไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า ค่อยเข้าบ้าน พี่สาวสังเกตุเห็นคือ หน้าซีด ตัวเขียว เล็บเขียวหมดเลย เลยเลี้ยวเข้าเอกชนที่ใกล้ที่สุด ซึ่งหลานก็หมดสติพอดี ตอนนั้น ทางรพ.เลยต้องช่วยเหลือ ปั๊มหัวใจกันเป็นการใหญ่ พยาบาลกับหมอราว ๆ สิบคน ช่วยกัน

รพ.ถามหาสิทธิ์การรักษา แน่นอนไม่มีอะไรเลย เลยขอหมอย้ายรพ. ตอนนั้นหลานยังไม่ฟื้น ค่าปั๋มหัวใจ สองหมี่น ใส่ออกซิเจน ส่งรพ.รัฐต่อ ใช้สิทธิ์ประกันสีงคม กับ 30 บาท (ทางค่ายบอกสิทธิ์นี้) หลานอยู่ห้อง ICU ประมาณ  3 วันจึงเริ่มรู้สึกตัว ในระหว่างนั้นคุยกับทางหมอ ทราบว่าหลานเป็นปอดติดเชื้อขันรุนแรง ปอดเสียหายเกือบทั้งหมด คือในฟิล์มเอกซเรย์ ขาวไปหมดเลยเหลือนิดเดียว ระหว่างหลานอยู่รพ. ผมเดินทางไปค่ายด้วยบัตรประจำตัวใบเดียว เพื่อไปทำเรื่องลา ก็ครูฝึกที่รับผิดชอบ ไม่ยอมลงมาเจอ ตอนนั้นผมยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่ในขณะนั้นผมก็โวยวายว่า มาตั้งไกล ทำไมไม่มีใครลงมารับเรื่อง ถ้าไม่ได้เจอคนที่รับผิดชอบสักคน ผมจะไม่กลับ ถึงได้มีจ่ากองมาเจอ ก็นำเอกสารให้เพื่อลาให้ถูกต้องพร้อมกำชับให้ดำเนินเรื่องตามลำดับขั้นตอน เดียวจะกลายเป็นหลานผมหนีทหาร

เรื่องที่ทราบต่อมาหลังจากนั้นคือ ทั้งหลานและพี่สาวบอกคือ หลานเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ตอนก่อนหน้าที่จะทรุดนั้น ระหว่างฝึกเขาเคยจะไม่ไหว แจ้งให้ครูฝึกทราบ แต่ครูฝึกไม่เชื่อ ส่งให้หมอทหาร (ไม่รู้ว่าหมอจริงหรือไม่) ตรวจก็ไม่พบอะไร ขั้นตอนการตรวจเราไม่รู้ ตอนที่พี่สาวของหลานคนนี้ โทรแจ้งทางค่ายยังไม่เชื่อเลยคิดว่า โกหก แต่ประจวบเหมาะกับ ครูฝึกรุ่นพี่คนนึ่ง ย่าเขาไม่สบาย อยู่ รพ.เดียวกัน ทราบข่าวเลยมาเยี่ยมที่ ICU ถึงได้โทรแจ้ง ต่อหน้าผมที่ยืนอยู่ แต่ประโยคที่เขาพูด ผมอึ้งเล้กน้อย เขาบอกว่า  ตอนนี้เขาป่วยหนักนะ สายระโยงระยางนะ เต็มไปหมด ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วนะ

ที่เล่ามาทั้งหมด อาจจะไม่เกี่ยวเท่าไหร่ ที่น่ากลัวคือ เวลาไม่สบาย ทหารจะไม่เชื่อไว้ก่อน คิดว่าเด็กโกหก เลยเป็นอย่างที่เห็น ส่งให้หมอตรวจก็ตรวจแบบส่ง ๆ กันหรือเปล่า เป็นขนาดนั้น  โชคดีที่หลานผมได้กลับบ้าน ณ ช่วงหยุดพอดี ชะตายังไม่ขาด หากไม่ใช่ช่วงหยุดยาวอาจเป็นเรื่องใหญ่ น้อง ๆ ที่บริษัทก็เล่าให้ฟังว่า หากเราบอกเจ็บแข้ง เจ็บขา ปวดตรงไหนก็ตาม จะโดนเตะซ้ำอีก   ผมเสียดายนะ ที่เขาไม่รักษาการฝึกที่ดี ว่ากันไปตามเหตุผล มีหมอประจำค่ายทหาร ไม่ใช่หมา ก็น่าจะตรวจได้ว่า จริงเท็จแค่ไหน จนบัดนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าคนที่ตรวจเป็นหมอจริงหรือเปล่า หรือแค่ทหารด้วยกันที่นั่งจ่ายยากันเอง

ส่วนครูฝึกไฟแรง เพิ่งจบจาก รร.นายร้อย ที่ผมไปแล้วไม่ยอมเจอ เพราะคิดว่า เราจะไปเอาเริ่อง จริง ๆ เราไปต้องการทำเรื่องลา ตอนนั้นยังไม่ทราบเรื่องอะไรด้วยทั้งนั้น เพราะเขาคนต่างถิ่นไปประจำที่ค่ายนั้น ใกล้ 3 จังหวัดชายแดนใต้ซะด้วย ผมเดาเอาว่าเขาคงกลัว

ตอนนี้หลานผมดีขึ้นแล้ว แต่ยังหอบอยู่ เพราะหมอบอกต้องฟื้นตัวระยะยาวเป็นปีกว่าจะปกติ แต่ตอนนี้ทางค่ายเรียกตัวกลับละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่