ผมหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่คิดจะไปใช้ชีวิตใน USA นะครับ
ออกตัวว่าเป็นมือใหม่ใน pantip นะครับ
Credit score
ที่ US สิ่งนี้คือตัวบอกความน่าเชื่อถือของคน มันคือ indicator ว่าถ้าปล่อยให้เป็นหนี้ จะใช้คืนได้หรือไม่ มันเอาข้อมูลจากการเป็นหนี้ของเราทั้งหมด ระบบการคิด score เรียกว่า FICO แต่มี 3 บริษัทใหญ่เอาไปปรับปรุงเรียกว่า Experian, Equifax, Transunion แต่ละธนาคารในแต่ละรัฐก็เลือก score จาก 3 บริษัทนี้มาใช้ ที่แปลกคือ ถ้าไม่เคยเป็นหนี้เลยอาจจะไม่มี score ตัวนี้ แต่ถ้าเคยเสียภาษีให้รัฐ เค้าจะให้ tax form มา ซึ่งก็สามารถใช้ tax form เป็นตัวพิจารณา credit ได้เหมือนกัน ยิ่งจ่ายภาษีเยอะ ก็น่าจะยิ่งรวย มีความสามารถในการใช้เงินคืนสูง คะแนนประมาณ 750 ขึ้นไปถือว่าสูง 700 กว่าๆ คือกลางๆ ถ้าอยากรู้ score ใช้เวปฟรีก็ง่ายดีเช่น creditsesame, quizzle, creditkarma แต่ถ้าอยากได้ official report ก็ขอได้จาก 3 บริษัทที่บอกไปโดยได้ 1 report ต่อปี ต่อบริษัท แต่บางทีจะได้แต่ report ไม่ได้ score ซึ่งใน report จะบอกเราแค่ว่าเรามีหนี้อะไรบ้างแล้วเราคืนยังไงบ้างเช่น มีบัตร 4 ใบ ใบนี้เริ่มปี 2012 อีกใบ 2013 จ่ายเต็มตลอด วงเงินเท่าไหร่เป็นต้น
อะไรทำให้ score เพิ่ม
ต้องไปเป็นหนี้นานๆ แล้วจ่ายคืนตรงเวลาตลอด เช่นสมัครบัตรเครดิตปี 2008 ใช้ยาวมาจนถึง 2014 จ่ายตรงเป๊ะตลอด จ่ายเต็มตลอด หรือเป็นหนี้แบบอื่นเช่น กู้บ้าน กู้รถ และต้องให้มี utilization ratio ต่ำ เช่นถ้าวงเงินบัตรเครดิต 2000$ ตอนจบรอบบิลก็ให้อยู่ที่ซัก 10-20% หมายความว่า จ่ายเงินระหว่างรอบบิลบ้างก็จะดีกว่ารอให้บัตรแทบจะเต็มวงเงิน แล้วปิดรอบบัญชี
อะไรทำให้ score ลด
การแสดงความอ่อนแอว่าอยากจะเป็นหนี้ เช่น สมัครบัตรเครดิตเพิ่ม (ไม่เกี่ยวว่าจะ approve หรือ decline) ไปกู้เงิน ไปอยากรู้ว่าจะผ่อนรถต้องผ่อนต่อเดือนเท่าไหร่ ไปสมัครอะไรที่เป็นสัญญาผูกพันเช่น เช่าบ้าน มือถือรายเดือน
บัตรเครดิตที่ US ดียังไง ทำไมต้องอยากสมัคร
1. แทบทุกที่รับบัตรเครดิต แล้วจะพกเงินสดเยอะๆ เพื่อ?
2. อย่างน้อยได้ 1% ทุกการจับจ่าย
3. Secondary coverage สำหรับการเช่ารถ คือเราไม่ต้องไปซื้อประกันจากบริษัทเช่ารถ หรือ broker เพิ่มก็เซฟได้วันละประมาณ 10$ ประกันนี้ครอบคลุมแค่ รถหาย รถเสียหาย แต่ไม่ครอบคลุมการที่เราไปชนคนอื่นเค้า แล้วเราต้องจ่ายเงินซ่อมรถคนอื่น คือที่ US คนส่วนใหญ่ขับรถ เลยมีประกันชั้น 3 ติดตัวตลอดอยู่แล้ว เรียกว่า Liability
4. No foreign transaction fee ปกติใช้บัตรไทยรูดซื้อของที่ต่างประเทศ หรือรูด online ก็เถอะ โดนแน่ๆ 2.5-3% แต่บัตรที่นี่บางใบไม่มี fee ตัวนี้ก็ประหยัดไปได้มากอยู่ ถ้าเดินทางบ่อยๆ เพราะรูดแล้วก็ได้แต้ม แถมไม่ต้องแลกเงินไปเยอะให้เสี่ยงว่าใช้ไม่หมดต้องแลกคืน เคยคิดเล่นๆว่ากลับไทยไปรูด แล้วเอาบาทแลก USD ที่ super rich กลับมาจ่ายที่ US ก็ยังคุ้ม
http://usa.visa.com/personal/card-benefits/travel/exchange-rate-calculator.jsp
5. Sign up bonus ที่เยอะมหาศาล ขั้นต่ำๆ ก็ได้ 100$ เมื่อใช้จ่าย 500$ ใน 3 เดือน ขั้นสูงๆก็ 500$ ถ้าใช้จ่าย 3000$ ใน 3 เดือน หรือบัตรสายการบินก็ให้ 50,000 ไมล์เมื่อใช้จ่ายครบ 1000-3000$ แล้วแต่ offer ไมล์ขนาดนี้ก็บินไปกลับ LA-NY ได้ 2 รอบ
6. Promotion บัตรเครดิตโดยตรง เช่น 3-5% gas station, grocery, restaurant, amazon
7. Deal ดีๆ มาเป็นพักๆ เช่น กินร้านนี้ให้ cash back 10%
8. Shop online ผ่านเวปของบัตรเครดิต คือมันแค่ลิ้งต่อไปที่เวปขายของทั่วไปเช่น เข้าเวป ของ Chase bank แล้วลิ้งไปซื้อ Kate spade ก็ได้ 5% cash back คร่าวๆ ก็ได้ตั้งแต่ 1-20% แล้วแต่ซื้อของร้านอะไร
SSN (Social security number)
สิ่งนี้จะสร้างความสะดวกให้การสมัครบัตรเครดิตมาก เพราะข้อมูลของเราจะเก็บอยู่ในนี้ เหมือนที่ อยู่บ้านเรา เราจำเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เพราะฉะนั้นพยายามทำไงก็ได้ให้มี เช่น ไป work and travel แต่ถึงไม่มีเลขนี้ก็สมัครบัตรได้ แต่ลำบากกว่ามหาศาล
My condition
ผมมาเรียนต่อ ป โท ด้วยทุนบริษัท เงินเดือนยังได้อยู่ ได้ allowance ต่อเดือนสำหรับการมาเรียน และผมมี SSN จาก work and travel ตอนเรียน ปี 2
Tips
1. มีลูกมีหลานให้ไป work and travel เพื่อให้มี SSN
2. ถือบัตร Amex ในไทยให้นานที่สุด เพราะมันสามารถ transfer ข้อมูลไปใช้ที่ US ได้ พูดง่ายๆคือ โทรหา call center Amex บอกว่าผมมีบัตรที่ไทยนะ ขอบัตรที่นี่ใช้หน่อย เค้าก็จะส่งบัตรมาให้เราใช้เลย แต่วงเงินก็ง่อยๆหน่อย แต่ที่ดีสุดยอดคือ ถือบัตร amex ปีอะไร มันก็มาเริ่มให้ปีนั้นๆ มันทำให้ประวัติ score เรายาวนานขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น เช่น ถือบัตร amex ไทยปีตั้งแต่ 2008 พอมาได้บัตรที่เมกา มันก็เริ่ม 2008 แทนที่จะเป็น 2014
3. เตรียมเอกสารทางการเงินมาให้พร้อมเช่น ถ้ายังได้เงินเดือนที่ไทยก็เอา pay slip เอาหนังสือรับรองเงินเดือนมาด้วย เอา statement ของธนาคารไทยที่รับรองว่ามีเงินเยอะๆไปด้วย ส่วนตัวผมเอา statement ของบัตร Citibank มาด้วย เผื่อว่าจะสมัคร Citibank แล้วเค้าจะพิจารณา
4. การใช้ 3000$ ใน 3 เดือนไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีวิธีมากมาย เช่น ซื้อ gift card ตามห้างด้วยบัตรเครดิต จ่ายประกันรถ ประกันบ้านเต็มจำนวน ปกติผ่อน เป็นเดือนๆ พอได้บัตรใหม่มา ก็โทรไปขอเค้าจ่ายเต็มเลยก็ได้ หรือถ้ามีเหตุให้ซื้อรถก็ใช้บัตรรูดมัดจำรถ ก่อนที่จะให้ cashier cheque ก็ได้ หรือแค่รูดให้เพื่อนที่มาเยี่ยมจากไทยก็ได้เยอะอยู่
5. ยิ่ง score ต่ำดอกเบี้ยในการกู้เงินจะสูง เพราะฉะนั้น อย่าได้ไปกู้รถเด็ดขาด แค่ถามว่าถ้ากู้จะต้องผ่อนเดือนละเท่าไหร่ มันก็จะไป hard inquiry score เราทำให้คะแนนตก
6. บางทีการไปคุยกับพนักงานธนาคารก็ช่วยให้เค้าส่งเรื่องให้ฝ่ายบัตรเครดิตได้ อาจจะได้อนุมัติง่ายขึ้น
7. เอาเงินสดไปทิ้งไว้ในบัญชีของธนาคารที่ขอเยอะๆ นานๆ ก็มีผลให้เค้าพิจารณาเป็นพิเศษ
8. แต่ดอกเบี้ยที่นี่ น้อยซะยิ่งกว่าน้อย ดีสุดที่ผมหาได้คือ GE online saving 0.9% ต่อปีผมเลยเอาบัญชีนี้เก็บเงินไว้ยามยาก กับเอาไว้โอนมาบัญชีธนาคารอื่น เพื่อให้พนักงานธนาคารช่วยสมัครบัตร อย่าลืมว่าถ้ามีเงินสดเป็น USD เยอะเกิน แล้วไม่ได้ใช้แปลว่าเรากำลังเสีย opportunity cost ในการฝากเงินที่ไทยแล้วได้ดอกเบี้ยประมาณ 3-4% แบบฝากประจำ หรือฝากสหกรณ์
9. ตอนสมัครบัตรให้ใส่อาชีพที่ทำ ดีกว่าใส่ว่าเป็นนักเรียน ใส่เงินได้ที่เป็นความจริง แบบมากสุดเท่าที่จะมากได้เช่น รวมโบนัส รวม allowance
บัตรที่ผมได้มาแล้ว เรียงตามวันเวลา และ promotion
1.
Amex blue cash - Aug 2013 ได้จากการโอนข้อมูลจากไทย (2012 Amex ROP) วงเงิน 2000$ ใช้เพื่อ 3% grocery เป็นหลัก ใช้ 1000$ ในสามเดือน ได้ 100$ score ตอนนี้ประมาณ 660
2.
Bank of America (BOA) Cash rewards – Aug 2013 เอาเงินไปทิ้งไว้ในบัญชีของธนาคารนี้ 10,000$ ประมาณ 1เดือน แล้วขอให้พนักงานธนาคารช่วย วงเงิน 2000$ เอาไว้ 3% เติมน้ำมัน ใช้ 500$ ในสามเดือน ได้ 100$
3.
Citibank Thank you Premier – Oct 2013 เป็นบัตรที่ลำบากที่สุดเพราะเป็นบัตรที่ต้องใช้ score สูงแต่ตอนนั้นผมยังเป็น newbie ผมใช้เอกสารทางการเงินทุกอย่าง คุยกับพนักงานธนาคารอยู่หลายที กว่าจะสมัครได้ วงเงิน 2000$ เอาไว้ 3% ร้านอาหาร 2% โรงแรมและตั๋วเครื่องบิน ใช้ 300$ ในสามเดือน ได้ 300$ และพอใช้ครบ 15000$ ใน 1 ปีได้อีก 200$ แต่ถ้าเอาเงินนี้ไปแลกอะไรที่เกี่ยวกับการเดินทางจาก 500 จะเป็น 600$ ที่ดีคือพอใช้ครบ 15000$ แต้มก็โอนมาให้เลยไม่ต้องรอครบปี บัตรนี้ no foreign transaction fee ด้วย
4.
Chase Freedom – Dec 2013 (Chase คือชื่อธนาคาร) บัตรนี้ได้ pre approve เพราะเอาเงินไปทิ้งไว้ในบัญชีนี้ 10000$ อยู่ซัก 3 เดือน ก็โอนจาก BOA หลังจากได้บัตร BOA นี่ล่ะ วงเงิน 4500$ บัตรนี้จะให้ 5% ตาม quarter เช่น Q1 gas station, Q2 restaurant, Q4 amazon บัตรนี้ยังมีส่วนลด shopping online อีก ตอนนั้นเป็นช่วงโปรโมชั่นเลยได้ 200$ เมื่อใช้ครบ 500$ ภายใน 3 เดือน
5.
Amex Delta – Jan 2014 สมัครทางเนทตรงๆ ผ่านสบายๆ ตอนนี้ score ประมาณ 720 วงเงิน 10,000$ เพิ่มอย่างเยอะ ใช้ 1000$ ได้ 50000 ไมล์ภายใน 3 เดือน เก็บเอาไว้แลกตั๋วเครื่องบินไปเที่ยว บัตรนี้เพิ่งจะเพิ่ม promotion no foreign transaction fee เดือน May 2014
6.
Discover IT – Mar 2014 จริงๆควรจะสมัครใบนี้ก่อน Chase Freedom แต่ตอนแรกคิดว่าหลายร้านค้าไม่รับบัตรนี้ เลยไม่ค่อยอยากสมัคร ตอนนี้ score 730 ได้วงเงิน 7000$ พลาดมากเพราะบัตรนี้ลดร้านอาหาร 5% ใน Q1 และ shopping online ของบัตรนี้ให้ 5% expedia, hotwire (เวปจองโรงแรม) บัตรนี้ no foreign transaction fee และให้ cashback bonus 2% ถ้าใช้ในต่างประเทศ ได้โปรโมชั่น ใช้ 750$ ภายในสามเดือนได้ 150$
7.
United plus Explorer – Apr 2014 บัตรนี้เป็นของ Chase ได้วงเงิน 15,000$ เก็บไมล์กับสายการบิน united ได้โปรโมชั่นใช้ 2000$ ได้ 50000 ไมล์ no foreign transaction fee เคยเปรี้ยวสมัครแล้วโดน reject ไปตอนเดือน Feb คราวนี้เลยเอาเงินไปทิ้งไว้ในบัญชี chase เยอะๆ แล้วคุยกับพนักงานธนาคารเอา
สรุป ผมได้แค่จาก signup bonus มา 100+100+500+200+150 = 1050$ + 100,000 ไมล์ ถ้าผมตีราคา 100 ไมล์ เป็น 1$ ก็ได้ 2050$ ซึ่งการตีราคาไมล์ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือก flight อะไร บินเมื่อไหร่ ค่อนข้างตีเป็นตัวเลขได้ยาก นี่แค่ signup bonus นะครับ ยังไม่รวมแต้มที่เก็บอีก สรุปคือถ้าเราวางแผนดีๆ หาข้อมูลเยอะๆ เราสามารถเซฟเงินได้มาก แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อย และวุ่นวายชีวิต
จบละครับ
update ครับ
8.
Citi AA Platinum May 2014 ได้วงเงิน 8500$ ใช้ 3000$ ได้ 50000 ไมล์
9.
Barclays Arrival Plus Jun 2014 ได้วงเงิน 5000$ ใช้ 3000$ ได้ 40000 แต้ม เทียบเท่า 440$ ถ้าแลกเป็นเงินเอาไปตัดกับการใช้จ่ายที่เคยรูดเกี่ยวกับการเดินทาง no foreign transaction fee
10.
Chase Sapphire preferred Jul 2014 ได้วงเงิน 5000$ แต่สามารถถ่ายโอนวงเงินจาก United ได้ เลยเปลี่ยนใบนี้ให้เป็น 15000$ แล้ว united เป็น 5000$ แทน ใช้ 3000$ ได้ 40000 แต้ม เทียบเท่า 500$ ถ้าเอาไว้ใช้จองการเดินทางกับ Chase portal no foreign transaction fee บัตรนี้ดีอีกอย่างคือสามารถโอนแต้มจาก Chase freedom เข้าบัตรนี้ได้ แล้วโอนต่อไปยังสายการบินหรือโรงแรมได้ เช่น ถ้าจะแลกตั๋วเครื่องบิน United แต่ไมล์ไม่พอก็สามารถโอนจากบัตรนี้ไปได้
11.
Capital one venture Aug 2014 ได้วงเงิน 10000$ ช้ 3000$ ได้ 40000 แต้ม เทียบเท่า 400$ no foreign transaction fee
อย่าลืมว่าแต่ละคนจุดประสงค์ไม่เหมือนกันนะครับ ผมอยู่นี่แค่สองปี ไม่คิดจะกู้บ้านกู้รถ เลยไม่แคร์ว่า score จะเหลือเท่าไหร่ก่อนกลับ และผมจะ cancel บัตรเมื่อครบปีแรกที่ฟรีค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว
วิธีการหาเงินจากบัตรเครดิตที่อเมริกา วางแผนดีๆ ประหยัดได้มากโข
ออกตัวว่าเป็นมือใหม่ใน pantip นะครับ
Credit score
ที่ US สิ่งนี้คือตัวบอกความน่าเชื่อถือของคน มันคือ indicator ว่าถ้าปล่อยให้เป็นหนี้ จะใช้คืนได้หรือไม่ มันเอาข้อมูลจากการเป็นหนี้ของเราทั้งหมด ระบบการคิด score เรียกว่า FICO แต่มี 3 บริษัทใหญ่เอาไปปรับปรุงเรียกว่า Experian, Equifax, Transunion แต่ละธนาคารในแต่ละรัฐก็เลือก score จาก 3 บริษัทนี้มาใช้ ที่แปลกคือ ถ้าไม่เคยเป็นหนี้เลยอาจจะไม่มี score ตัวนี้ แต่ถ้าเคยเสียภาษีให้รัฐ เค้าจะให้ tax form มา ซึ่งก็สามารถใช้ tax form เป็นตัวพิจารณา credit ได้เหมือนกัน ยิ่งจ่ายภาษีเยอะ ก็น่าจะยิ่งรวย มีความสามารถในการใช้เงินคืนสูง คะแนนประมาณ 750 ขึ้นไปถือว่าสูง 700 กว่าๆ คือกลางๆ ถ้าอยากรู้ score ใช้เวปฟรีก็ง่ายดีเช่น creditsesame, quizzle, creditkarma แต่ถ้าอยากได้ official report ก็ขอได้จาก 3 บริษัทที่บอกไปโดยได้ 1 report ต่อปี ต่อบริษัท แต่บางทีจะได้แต่ report ไม่ได้ score ซึ่งใน report จะบอกเราแค่ว่าเรามีหนี้อะไรบ้างแล้วเราคืนยังไงบ้างเช่น มีบัตร 4 ใบ ใบนี้เริ่มปี 2012 อีกใบ 2013 จ่ายเต็มตลอด วงเงินเท่าไหร่เป็นต้น
อะไรทำให้ score เพิ่ม
ต้องไปเป็นหนี้นานๆ แล้วจ่ายคืนตรงเวลาตลอด เช่นสมัครบัตรเครดิตปี 2008 ใช้ยาวมาจนถึง 2014 จ่ายตรงเป๊ะตลอด จ่ายเต็มตลอด หรือเป็นหนี้แบบอื่นเช่น กู้บ้าน กู้รถ และต้องให้มี utilization ratio ต่ำ เช่นถ้าวงเงินบัตรเครดิต 2000$ ตอนจบรอบบิลก็ให้อยู่ที่ซัก 10-20% หมายความว่า จ่ายเงินระหว่างรอบบิลบ้างก็จะดีกว่ารอให้บัตรแทบจะเต็มวงเงิน แล้วปิดรอบบัญชี
อะไรทำให้ score ลด
การแสดงความอ่อนแอว่าอยากจะเป็นหนี้ เช่น สมัครบัตรเครดิตเพิ่ม (ไม่เกี่ยวว่าจะ approve หรือ decline) ไปกู้เงิน ไปอยากรู้ว่าจะผ่อนรถต้องผ่อนต่อเดือนเท่าไหร่ ไปสมัครอะไรที่เป็นสัญญาผูกพันเช่น เช่าบ้าน มือถือรายเดือน
บัตรเครดิตที่ US ดียังไง ทำไมต้องอยากสมัคร
1. แทบทุกที่รับบัตรเครดิต แล้วจะพกเงินสดเยอะๆ เพื่อ?
2. อย่างน้อยได้ 1% ทุกการจับจ่าย
3. Secondary coverage สำหรับการเช่ารถ คือเราไม่ต้องไปซื้อประกันจากบริษัทเช่ารถ หรือ broker เพิ่มก็เซฟได้วันละประมาณ 10$ ประกันนี้ครอบคลุมแค่ รถหาย รถเสียหาย แต่ไม่ครอบคลุมการที่เราไปชนคนอื่นเค้า แล้วเราต้องจ่ายเงินซ่อมรถคนอื่น คือที่ US คนส่วนใหญ่ขับรถ เลยมีประกันชั้น 3 ติดตัวตลอดอยู่แล้ว เรียกว่า Liability
4. No foreign transaction fee ปกติใช้บัตรไทยรูดซื้อของที่ต่างประเทศ หรือรูด online ก็เถอะ โดนแน่ๆ 2.5-3% แต่บัตรที่นี่บางใบไม่มี fee ตัวนี้ก็ประหยัดไปได้มากอยู่ ถ้าเดินทางบ่อยๆ เพราะรูดแล้วก็ได้แต้ม แถมไม่ต้องแลกเงินไปเยอะให้เสี่ยงว่าใช้ไม่หมดต้องแลกคืน เคยคิดเล่นๆว่ากลับไทยไปรูด แล้วเอาบาทแลก USD ที่ super rich กลับมาจ่ายที่ US ก็ยังคุ้ม http://usa.visa.com/personal/card-benefits/travel/exchange-rate-calculator.jsp
5. Sign up bonus ที่เยอะมหาศาล ขั้นต่ำๆ ก็ได้ 100$ เมื่อใช้จ่าย 500$ ใน 3 เดือน ขั้นสูงๆก็ 500$ ถ้าใช้จ่าย 3000$ ใน 3 เดือน หรือบัตรสายการบินก็ให้ 50,000 ไมล์เมื่อใช้จ่ายครบ 1000-3000$ แล้วแต่ offer ไมล์ขนาดนี้ก็บินไปกลับ LA-NY ได้ 2 รอบ
6. Promotion บัตรเครดิตโดยตรง เช่น 3-5% gas station, grocery, restaurant, amazon
7. Deal ดีๆ มาเป็นพักๆ เช่น กินร้านนี้ให้ cash back 10%
8. Shop online ผ่านเวปของบัตรเครดิต คือมันแค่ลิ้งต่อไปที่เวปขายของทั่วไปเช่น เข้าเวป ของ Chase bank แล้วลิ้งไปซื้อ Kate spade ก็ได้ 5% cash back คร่าวๆ ก็ได้ตั้งแต่ 1-20% แล้วแต่ซื้อของร้านอะไร
SSN (Social security number)
สิ่งนี้จะสร้างความสะดวกให้การสมัครบัตรเครดิตมาก เพราะข้อมูลของเราจะเก็บอยู่ในนี้ เหมือนที่ อยู่บ้านเรา เราจำเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เพราะฉะนั้นพยายามทำไงก็ได้ให้มี เช่น ไป work and travel แต่ถึงไม่มีเลขนี้ก็สมัครบัตรได้ แต่ลำบากกว่ามหาศาล
My condition
ผมมาเรียนต่อ ป โท ด้วยทุนบริษัท เงินเดือนยังได้อยู่ ได้ allowance ต่อเดือนสำหรับการมาเรียน และผมมี SSN จาก work and travel ตอนเรียน ปี 2
Tips
1. มีลูกมีหลานให้ไป work and travel เพื่อให้มี SSN
2. ถือบัตร Amex ในไทยให้นานที่สุด เพราะมันสามารถ transfer ข้อมูลไปใช้ที่ US ได้ พูดง่ายๆคือ โทรหา call center Amex บอกว่าผมมีบัตรที่ไทยนะ ขอบัตรที่นี่ใช้หน่อย เค้าก็จะส่งบัตรมาให้เราใช้เลย แต่วงเงินก็ง่อยๆหน่อย แต่ที่ดีสุดยอดคือ ถือบัตร amex ปีอะไร มันก็มาเริ่มให้ปีนั้นๆ มันทำให้ประวัติ score เรายาวนานขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น เช่น ถือบัตร amex ไทยปีตั้งแต่ 2008 พอมาได้บัตรที่เมกา มันก็เริ่ม 2008 แทนที่จะเป็น 2014
3. เตรียมเอกสารทางการเงินมาให้พร้อมเช่น ถ้ายังได้เงินเดือนที่ไทยก็เอา pay slip เอาหนังสือรับรองเงินเดือนมาด้วย เอา statement ของธนาคารไทยที่รับรองว่ามีเงินเยอะๆไปด้วย ส่วนตัวผมเอา statement ของบัตร Citibank มาด้วย เผื่อว่าจะสมัคร Citibank แล้วเค้าจะพิจารณา
4. การใช้ 3000$ ใน 3 เดือนไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีวิธีมากมาย เช่น ซื้อ gift card ตามห้างด้วยบัตรเครดิต จ่ายประกันรถ ประกันบ้านเต็มจำนวน ปกติผ่อน เป็นเดือนๆ พอได้บัตรใหม่มา ก็โทรไปขอเค้าจ่ายเต็มเลยก็ได้ หรือถ้ามีเหตุให้ซื้อรถก็ใช้บัตรรูดมัดจำรถ ก่อนที่จะให้ cashier cheque ก็ได้ หรือแค่รูดให้เพื่อนที่มาเยี่ยมจากไทยก็ได้เยอะอยู่
5. ยิ่ง score ต่ำดอกเบี้ยในการกู้เงินจะสูง เพราะฉะนั้น อย่าได้ไปกู้รถเด็ดขาด แค่ถามว่าถ้ากู้จะต้องผ่อนเดือนละเท่าไหร่ มันก็จะไป hard inquiry score เราทำให้คะแนนตก
6. บางทีการไปคุยกับพนักงานธนาคารก็ช่วยให้เค้าส่งเรื่องให้ฝ่ายบัตรเครดิตได้ อาจจะได้อนุมัติง่ายขึ้น
7. เอาเงินสดไปทิ้งไว้ในบัญชีของธนาคารที่ขอเยอะๆ นานๆ ก็มีผลให้เค้าพิจารณาเป็นพิเศษ
8. แต่ดอกเบี้ยที่นี่ น้อยซะยิ่งกว่าน้อย ดีสุดที่ผมหาได้คือ GE online saving 0.9% ต่อปีผมเลยเอาบัญชีนี้เก็บเงินไว้ยามยาก กับเอาไว้โอนมาบัญชีธนาคารอื่น เพื่อให้พนักงานธนาคารช่วยสมัครบัตร อย่าลืมว่าถ้ามีเงินสดเป็น USD เยอะเกิน แล้วไม่ได้ใช้แปลว่าเรากำลังเสีย opportunity cost ในการฝากเงินที่ไทยแล้วได้ดอกเบี้ยประมาณ 3-4% แบบฝากประจำ หรือฝากสหกรณ์
9. ตอนสมัครบัตรให้ใส่อาชีพที่ทำ ดีกว่าใส่ว่าเป็นนักเรียน ใส่เงินได้ที่เป็นความจริง แบบมากสุดเท่าที่จะมากได้เช่น รวมโบนัส รวม allowance
บัตรที่ผมได้มาแล้ว เรียงตามวันเวลา และ promotion
1. Amex blue cash - Aug 2013 ได้จากการโอนข้อมูลจากไทย (2012 Amex ROP) วงเงิน 2000$ ใช้เพื่อ 3% grocery เป็นหลัก ใช้ 1000$ ในสามเดือน ได้ 100$ score ตอนนี้ประมาณ 660
2. Bank of America (BOA) Cash rewards – Aug 2013 เอาเงินไปทิ้งไว้ในบัญชีของธนาคารนี้ 10,000$ ประมาณ 1เดือน แล้วขอให้พนักงานธนาคารช่วย วงเงิน 2000$ เอาไว้ 3% เติมน้ำมัน ใช้ 500$ ในสามเดือน ได้ 100$
3. Citibank Thank you Premier – Oct 2013 เป็นบัตรที่ลำบากที่สุดเพราะเป็นบัตรที่ต้องใช้ score สูงแต่ตอนนั้นผมยังเป็น newbie ผมใช้เอกสารทางการเงินทุกอย่าง คุยกับพนักงานธนาคารอยู่หลายที กว่าจะสมัครได้ วงเงิน 2000$ เอาไว้ 3% ร้านอาหาร 2% โรงแรมและตั๋วเครื่องบิน ใช้ 300$ ในสามเดือน ได้ 300$ และพอใช้ครบ 15000$ ใน 1 ปีได้อีก 200$ แต่ถ้าเอาเงินนี้ไปแลกอะไรที่เกี่ยวกับการเดินทางจาก 500 จะเป็น 600$ ที่ดีคือพอใช้ครบ 15000$ แต้มก็โอนมาให้เลยไม่ต้องรอครบปี บัตรนี้ no foreign transaction fee ด้วย
4. Chase Freedom – Dec 2013 (Chase คือชื่อธนาคาร) บัตรนี้ได้ pre approve เพราะเอาเงินไปทิ้งไว้ในบัญชีนี้ 10000$ อยู่ซัก 3 เดือน ก็โอนจาก BOA หลังจากได้บัตร BOA นี่ล่ะ วงเงิน 4500$ บัตรนี้จะให้ 5% ตาม quarter เช่น Q1 gas station, Q2 restaurant, Q4 amazon บัตรนี้ยังมีส่วนลด shopping online อีก ตอนนั้นเป็นช่วงโปรโมชั่นเลยได้ 200$ เมื่อใช้ครบ 500$ ภายใน 3 เดือน
5. Amex Delta – Jan 2014 สมัครทางเนทตรงๆ ผ่านสบายๆ ตอนนี้ score ประมาณ 720 วงเงิน 10,000$ เพิ่มอย่างเยอะ ใช้ 1000$ ได้ 50000 ไมล์ภายใน 3 เดือน เก็บเอาไว้แลกตั๋วเครื่องบินไปเที่ยว บัตรนี้เพิ่งจะเพิ่ม promotion no foreign transaction fee เดือน May 2014
6. Discover IT – Mar 2014 จริงๆควรจะสมัครใบนี้ก่อน Chase Freedom แต่ตอนแรกคิดว่าหลายร้านค้าไม่รับบัตรนี้ เลยไม่ค่อยอยากสมัคร ตอนนี้ score 730 ได้วงเงิน 7000$ พลาดมากเพราะบัตรนี้ลดร้านอาหาร 5% ใน Q1 และ shopping online ของบัตรนี้ให้ 5% expedia, hotwire (เวปจองโรงแรม) บัตรนี้ no foreign transaction fee และให้ cashback bonus 2% ถ้าใช้ในต่างประเทศ ได้โปรโมชั่น ใช้ 750$ ภายในสามเดือนได้ 150$
7. United plus Explorer – Apr 2014 บัตรนี้เป็นของ Chase ได้วงเงิน 15,000$ เก็บไมล์กับสายการบิน united ได้โปรโมชั่นใช้ 2000$ ได้ 50000 ไมล์ no foreign transaction fee เคยเปรี้ยวสมัครแล้วโดน reject ไปตอนเดือน Feb คราวนี้เลยเอาเงินไปทิ้งไว้ในบัญชี chase เยอะๆ แล้วคุยกับพนักงานธนาคารเอา
สรุป ผมได้แค่จาก signup bonus มา 100+100+500+200+150 = 1050$ + 100,000 ไมล์ ถ้าผมตีราคา 100 ไมล์ เป็น 1$ ก็ได้ 2050$ ซึ่งการตีราคาไมล์ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือก flight อะไร บินเมื่อไหร่ ค่อนข้างตีเป็นตัวเลขได้ยาก นี่แค่ signup bonus นะครับ ยังไม่รวมแต้มที่เก็บอีก สรุปคือถ้าเราวางแผนดีๆ หาข้อมูลเยอะๆ เราสามารถเซฟเงินได้มาก แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อย และวุ่นวายชีวิต
จบละครับ
update ครับ
8. Citi AA Platinum May 2014 ได้วงเงิน 8500$ ใช้ 3000$ ได้ 50000 ไมล์
9. Barclays Arrival Plus Jun 2014 ได้วงเงิน 5000$ ใช้ 3000$ ได้ 40000 แต้ม เทียบเท่า 440$ ถ้าแลกเป็นเงินเอาไปตัดกับการใช้จ่ายที่เคยรูดเกี่ยวกับการเดินทาง no foreign transaction fee
10. Chase Sapphire preferred Jul 2014 ได้วงเงิน 5000$ แต่สามารถถ่ายโอนวงเงินจาก United ได้ เลยเปลี่ยนใบนี้ให้เป็น 15000$ แล้ว united เป็น 5000$ แทน ใช้ 3000$ ได้ 40000 แต้ม เทียบเท่า 500$ ถ้าเอาไว้ใช้จองการเดินทางกับ Chase portal no foreign transaction fee บัตรนี้ดีอีกอย่างคือสามารถโอนแต้มจาก Chase freedom เข้าบัตรนี้ได้ แล้วโอนต่อไปยังสายการบินหรือโรงแรมได้ เช่น ถ้าจะแลกตั๋วเครื่องบิน United แต่ไมล์ไม่พอก็สามารถโอนจากบัตรนี้ไปได้
11. Capital one venture Aug 2014 ได้วงเงิน 10000$ ช้ 3000$ ได้ 40000 แต้ม เทียบเท่า 400$ no foreign transaction fee
อย่าลืมว่าแต่ละคนจุดประสงค์ไม่เหมือนกันนะครับ ผมอยู่นี่แค่สองปี ไม่คิดจะกู้บ้านกู้รถ เลยไม่แคร์ว่า score จะเหลือเท่าไหร่ก่อนกลับ และผมจะ cancel บัตรเมื่อครบปีแรกที่ฟรีค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว