พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ชา สุภัทโท แสดงเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2513
สามารถอ่านเนื้อหาเต็มได้จาก
http://www.baanjomyut.com/pratripidok/cha/10.html
----------------
( บางส่วน )
อาตมามาคำนึงถึงตั้งแต่ครั้งไปเรียนหนังสือ ไปเรียนคัมภีร์มูลเดิม (มูลกัจจายนะ) เรียกว่าไปเรียน “หนังสือใหญ่”
มีความสงสัยอยู่ ที่คนเฒ่าคนแก่ เขาพูดกันว่าไปเรียนหนังสือใหญ่จบ หนังสือใหญ่มันคืออะไรหนอ เราคิดอยากไปเรียนกับเขา
หนังสือใหญ่นี่มันจะใหญ่ขนาดไหน แต่เห็นคนไปเรียนมาแล้วก็ไม่เห็นใครปฏิบัติธรรม อวดอ้างตัวเองว่าเรียนหนังสือใหญ่จบ
เมื่ออาตมามาคิดดูพิจารณาดูแล้ว จึงรู้ว่า ไอ้หนังสือใหญ่นี้มีไม่มาก
มีโลภะ - อยากได้ของเขา 1 โทสะ- คิดทำร้ายเขา 1 โมหะ - หลงไม่รู้จริง 1 เหล่านี้มันเป็นหนังสือใหญ่จริงๆ”
ถ้ามันมีโลภะ โทสะ โมหะแล้ว มันใหญ่ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ตาลืมอยู่ก็มองไม่เห็นหูดีอยู่ก็ไม่ได้ยิน
เสียงพูดกับญาติพี่น้องไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักคนใกล้คนไกล มันเป็นไปได้จริงๆ เพราะหนังสือพวกนี้ มันใหญ่จริงๆ
ไปท่องตามตำราไปพูดตามตำราไปท่องจำเอาแค่นั้น ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองเรียนจบหนังสือใหญ่แล้ว
แต่ที่แท้แล้ว ไปเรียนเอาคำพูดท่านเฉยๆ ที่จริงนั้น กิเลส 3 อย่างที่กล่าวมามันมีอยู่แล้วในใจ จนอัดแน่นเต็มอยู่แล้ว แต่มิได้ตรวจดู
ที่ว่าเรียนจบนั้น มันไม่จบง่ายนักหรอก ถ้าหากว่า โลภะ โทสะ โมหะ มันมีอยู่ในใจของสัตว์ทั้งหลายแล้ว มันใหญ่จริงๆ
ไม่มีทางข้ามภพข้ามชาติไปได้เลย เขาจะทำความชั่วความผิดได้หลายอย่างไม่หวาดกลัว ไม่สะดุ้งต่อบาปกรรม
ทำให้คนเป็นเปรตเป็นผีไปได้
ถ้าหากว่าเราละสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว มันก็ใหญ่จริงๆ อย่างพระบรมศาสดาของเรา และพระพุทธสาวกทั้งหลาย
เป็นผู้ปลดปลื้องภาระออกจากจิตใจได้แล้วนั่น ก็ใหญ่จริงๆ คนมี โลภะ โทสะ โมหะ นั้นใหญ่ไปในทางที่ไม่ดี
ถ้าหากไล่สิ่งที่เป็นสนิมเหล่านั้นออกจากใจได้แล้ว ก็ใหญ่ไปในทางที่ดี
อาตมาจึงได้บอกว่ามันเป็นของจริงแท้ แต่มันไม่จริงที่พวกเราไม่ได้ทำตามที่ท่านสอน คือไม่ได้พิจารณาให้มันรู้แจ้งชัด
---------------------------
อาตมาว่า ข้อวัตรปฏิบัตินี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สอนไว้พร้อมแล้วทุกอย่าง
ที่เราพากันศึกษาเล่าเรียนรู้อยู่ ทั้งนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก แต่เราขาดการปฏิบัติตามความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียมานั้น
มิใช่ว่าจะขาดตำราขาดยุคขาดสมัย ตำรับตำรายังอยู่ คัมภีร์ยังมีอยู่ พูดอยู่ สอนอยู่ เคี้ยวอยู่แต่ไม่ยอมกลืน
เพราะขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง
ต่อมาการนับถือศาสนาเลยกลายเป็นประเพณีไป บวชก็บวชพอเป็นประเพณี ทำบุญก็ทำบุญพอเป็นประเพณี
ทุกอย่างจะเหลือเป็นประเพณีไปแล้ว มันจึงเสื่อมลงๆ
พูดอีกอย่าง ข้อปฏิบัติศีลธรรมทั้งหลายเปรียบเหมือนเกลือ สัตว์โลกทั้งหลายเปรียบเหมือนก้อนเนื้อ
ถ้าหากว่าเกลือมันเสื่อมคุณภาพ หรือมีน้อยเมื่อไรแล้ว เนื้อก็จะเน่าเท่านั้น
มีน้อยก็เน่าน้อย มีมากก็เน่ามาก โลกเรานี้ ถ้าหากขาดจากศีลธรรมแล้ว ไม่ไหวไปไม่รอด จะหมุนเข้าไปใกล้ความพินาศ
เหมือนกับก้อนเนื้อที่มันต้องเน่า เพราะขาดเกลือ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ การแสดงความเคารพคารวะทั้งหลายนั้น ก็จะหมดไป สิ้นไป
ถ้าปราศจากศีลธรรมแล้ว ลูกกับพ่อแม่ก็ไร้ความหมาย ครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ก็ไม่มีความหมายภรรยาสามีก็ไร้ความหมายเช่นกัน
มันจะกลับกลายเป็นสภาพอย่างอื่นไป อันนี้มิใช่เรื่องอื่น เป็นเพราะมนุษย์ขาดจากการปฏิบัติตามศีลธรรมนั่นเอง
-------------------
การบำเพ็ญบุญวันนี้ก็เหมือนกัน ให้ทำความเข้าใจคำว่าบุญ
บางทีเข้าใจผิด เห็นคนมาร่วมมากๆ ก็เข้าใจว่าเป็นบุญ เห็นคนมาน้อยก็เข้าใจว่าไม่เป็นบุญ
ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น บุญมิได้เกี่ยวกับความน้อยความมากของจำนวนคนหรือของ
ถ้าหากทำถูกต้องตามคำสอนตามความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นบุญทั้งนั้น
เหมือนกับเราไปดูลิงนั่นแหละ ไปดูน้อยคนก็เห็นลิง ไปดูมากคนก็เห็นลิง ไม่มีใครไปดูเลยมันก็เป็นลิงของมันอยู่
มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ฉะนั้น เรื่องบุญก็เช่นกันไม่ได้อยู่กับจำนวนน้อยหรือมาก คนมากสร้างความผิดก็มีอยู่ สร้างความถูกต้องก็มีอยู่
มันไม่แน่นอน ที่แน่นอนก็ตรงที่เป็นความจริง เป็นความถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
คนสมัยนี้ ชอบพูดว่า คนนั้นไม่ทันสมัย คนนี้ไม่ทันสมัย ไม่ทราบว่าเป็นสมัยอะไรของเขา สมัยสบายหรือสมัยวุ่นวาย
บางคนชอบพูดว่า พระป่าชอบใช้สีแก่นไม้ขนุน เพราะสมัยก่อนไม่มีสีย้อม เวลาฉันก็ฉันในบาตรเพราะไม่ถ้วยมีชามใช้
แต่เดี๋ยวนี้ ทันสมัยแล้ว ของใช้มีเยอะแยะ ไม่ต้องฉันในบาตรก็ได้ ฟังเขาพูดเถอะ พูดไปตามความคิด
ไม่ได้พินิจพิจารณาให้ถ่องแท้
เพราะเป็นเช่นนี้เอง ระเบียบ กฎเกณฑ์ วินัย ที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้ จึงเลอะเลือน
ถูกกลบเกลื่อนบิดเบียอนไปจากเดิม เพราะเราตีความหมายเอาตามใจชอบ
เมื่อเราเข้าวัดตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ยังมีบุคคลบางคนล้อเลียนว่า “เป็นคนแก่ เจ้าธัมมะธัมโม” ก็เลยละอายไม่อยากไปอีก
จะไปอายมันทำไม เข้าวัดมาปฏิบัติธรรมมันผิดอะไร มันผิดตรงไหน พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องความละอายความกลัวไว้
แต่ท่านมิได้สอนให้อายอย่างนี้ ท่านสอนให้ละอายต่อความชั่วความผิดอันจะนำชีวิตไปสู่ความเดือดร้อนเสียหาย
ให้กลัวผลของความชั่วความผิดที่จะตามมาให้โทษ ทุกข์ เวรภัย แก่ตนเอง ท่านให้ละอาย ให้กลัวอย่างนี้
การกระทำความดีมีประโยชน์ การเข้าวัด การปฏิบัติธรรม มันเป็นความดีไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ
ดีใจสบายใจ จึงจะถูก เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะสนใจ
ชวนอ่าน - พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ชา สุภัทโท แสดงเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2513
สามารถอ่านเนื้อหาเต็มได้จาก
http://www.baanjomyut.com/pratripidok/cha/10.html
----------------
( บางส่วน )
อาตมามาคำนึงถึงตั้งแต่ครั้งไปเรียนหนังสือ ไปเรียนคัมภีร์มูลเดิม (มูลกัจจายนะ) เรียกว่าไปเรียน “หนังสือใหญ่”
มีความสงสัยอยู่ ที่คนเฒ่าคนแก่ เขาพูดกันว่าไปเรียนหนังสือใหญ่จบ หนังสือใหญ่มันคืออะไรหนอ เราคิดอยากไปเรียนกับเขา
หนังสือใหญ่นี่มันจะใหญ่ขนาดไหน แต่เห็นคนไปเรียนมาแล้วก็ไม่เห็นใครปฏิบัติธรรม อวดอ้างตัวเองว่าเรียนหนังสือใหญ่จบ
เมื่ออาตมามาคิดดูพิจารณาดูแล้ว จึงรู้ว่า ไอ้หนังสือใหญ่นี้มีไม่มาก
มีโลภะ - อยากได้ของเขา 1 โทสะ- คิดทำร้ายเขา 1 โมหะ - หลงไม่รู้จริง 1 เหล่านี้มันเป็นหนังสือใหญ่จริงๆ”
ถ้ามันมีโลภะ โทสะ โมหะแล้ว มันใหญ่ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ตาลืมอยู่ก็มองไม่เห็นหูดีอยู่ก็ไม่ได้ยิน
เสียงพูดกับญาติพี่น้องไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักคนใกล้คนไกล มันเป็นไปได้จริงๆ เพราะหนังสือพวกนี้ มันใหญ่จริงๆ
ไปท่องตามตำราไปพูดตามตำราไปท่องจำเอาแค่นั้น ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองเรียนจบหนังสือใหญ่แล้ว
แต่ที่แท้แล้ว ไปเรียนเอาคำพูดท่านเฉยๆ ที่จริงนั้น กิเลส 3 อย่างที่กล่าวมามันมีอยู่แล้วในใจ จนอัดแน่นเต็มอยู่แล้ว แต่มิได้ตรวจดู
ที่ว่าเรียนจบนั้น มันไม่จบง่ายนักหรอก ถ้าหากว่า โลภะ โทสะ โมหะ มันมีอยู่ในใจของสัตว์ทั้งหลายแล้ว มันใหญ่จริงๆ
ไม่มีทางข้ามภพข้ามชาติไปได้เลย เขาจะทำความชั่วความผิดได้หลายอย่างไม่หวาดกลัว ไม่สะดุ้งต่อบาปกรรม
ทำให้คนเป็นเปรตเป็นผีไปได้
ถ้าหากว่าเราละสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว มันก็ใหญ่จริงๆ อย่างพระบรมศาสดาของเรา และพระพุทธสาวกทั้งหลาย
เป็นผู้ปลดปลื้องภาระออกจากจิตใจได้แล้วนั่น ก็ใหญ่จริงๆ คนมี โลภะ โทสะ โมหะ นั้นใหญ่ไปในทางที่ไม่ดี
ถ้าหากไล่สิ่งที่เป็นสนิมเหล่านั้นออกจากใจได้แล้ว ก็ใหญ่ไปในทางที่ดี
อาตมาจึงได้บอกว่ามันเป็นของจริงแท้ แต่มันไม่จริงที่พวกเราไม่ได้ทำตามที่ท่านสอน คือไม่ได้พิจารณาให้มันรู้แจ้งชัด
---------------------------
อาตมาว่า ข้อวัตรปฏิบัตินี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สอนไว้พร้อมแล้วทุกอย่าง
ที่เราพากันศึกษาเล่าเรียนรู้อยู่ ทั้งนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก แต่เราขาดการปฏิบัติตามความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียมานั้น
มิใช่ว่าจะขาดตำราขาดยุคขาดสมัย ตำรับตำรายังอยู่ คัมภีร์ยังมีอยู่ พูดอยู่ สอนอยู่ เคี้ยวอยู่แต่ไม่ยอมกลืน
เพราะขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง
ต่อมาการนับถือศาสนาเลยกลายเป็นประเพณีไป บวชก็บวชพอเป็นประเพณี ทำบุญก็ทำบุญพอเป็นประเพณี
ทุกอย่างจะเหลือเป็นประเพณีไปแล้ว มันจึงเสื่อมลงๆ
พูดอีกอย่าง ข้อปฏิบัติศีลธรรมทั้งหลายเปรียบเหมือนเกลือ สัตว์โลกทั้งหลายเปรียบเหมือนก้อนเนื้อ
ถ้าหากว่าเกลือมันเสื่อมคุณภาพ หรือมีน้อยเมื่อไรแล้ว เนื้อก็จะเน่าเท่านั้น
มีน้อยก็เน่าน้อย มีมากก็เน่ามาก โลกเรานี้ ถ้าหากขาดจากศีลธรรมแล้ว ไม่ไหวไปไม่รอด จะหมุนเข้าไปใกล้ความพินาศ
เหมือนกับก้อนเนื้อที่มันต้องเน่า เพราะขาดเกลือ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ การแสดงความเคารพคารวะทั้งหลายนั้น ก็จะหมดไป สิ้นไป
ถ้าปราศจากศีลธรรมแล้ว ลูกกับพ่อแม่ก็ไร้ความหมาย ครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ก็ไม่มีความหมายภรรยาสามีก็ไร้ความหมายเช่นกัน
มันจะกลับกลายเป็นสภาพอย่างอื่นไป อันนี้มิใช่เรื่องอื่น เป็นเพราะมนุษย์ขาดจากการปฏิบัติตามศีลธรรมนั่นเอง
-------------------
การบำเพ็ญบุญวันนี้ก็เหมือนกัน ให้ทำความเข้าใจคำว่าบุญ
บางทีเข้าใจผิด เห็นคนมาร่วมมากๆ ก็เข้าใจว่าเป็นบุญ เห็นคนมาน้อยก็เข้าใจว่าไม่เป็นบุญ
ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น บุญมิได้เกี่ยวกับความน้อยความมากของจำนวนคนหรือของ
ถ้าหากทำถูกต้องตามคำสอนตามความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นบุญทั้งนั้น
เหมือนกับเราไปดูลิงนั่นแหละ ไปดูน้อยคนก็เห็นลิง ไปดูมากคนก็เห็นลิง ไม่มีใครไปดูเลยมันก็เป็นลิงของมันอยู่
มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ฉะนั้น เรื่องบุญก็เช่นกันไม่ได้อยู่กับจำนวนน้อยหรือมาก คนมากสร้างความผิดก็มีอยู่ สร้างความถูกต้องก็มีอยู่
มันไม่แน่นอน ที่แน่นอนก็ตรงที่เป็นความจริง เป็นความถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
คนสมัยนี้ ชอบพูดว่า คนนั้นไม่ทันสมัย คนนี้ไม่ทันสมัย ไม่ทราบว่าเป็นสมัยอะไรของเขา สมัยสบายหรือสมัยวุ่นวาย
บางคนชอบพูดว่า พระป่าชอบใช้สีแก่นไม้ขนุน เพราะสมัยก่อนไม่มีสีย้อม เวลาฉันก็ฉันในบาตรเพราะไม่ถ้วยมีชามใช้
แต่เดี๋ยวนี้ ทันสมัยแล้ว ของใช้มีเยอะแยะ ไม่ต้องฉันในบาตรก็ได้ ฟังเขาพูดเถอะ พูดไปตามความคิด
ไม่ได้พินิจพิจารณาให้ถ่องแท้
เพราะเป็นเช่นนี้เอง ระเบียบ กฎเกณฑ์ วินัย ที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้ จึงเลอะเลือน
ถูกกลบเกลื่อนบิดเบียอนไปจากเดิม เพราะเราตีความหมายเอาตามใจชอบ
เมื่อเราเข้าวัดตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ยังมีบุคคลบางคนล้อเลียนว่า “เป็นคนแก่ เจ้าธัมมะธัมโม” ก็เลยละอายไม่อยากไปอีก
จะไปอายมันทำไม เข้าวัดมาปฏิบัติธรรมมันผิดอะไร มันผิดตรงไหน พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องความละอายความกลัวไว้
แต่ท่านมิได้สอนให้อายอย่างนี้ ท่านสอนให้ละอายต่อความชั่วความผิดอันจะนำชีวิตไปสู่ความเดือดร้อนเสียหาย
ให้กลัวผลของความชั่วความผิดที่จะตามมาให้โทษ ทุกข์ เวรภัย แก่ตนเอง ท่านให้ละอาย ให้กลัวอย่างนี้
การกระทำความดีมีประโยชน์ การเข้าวัด การปฏิบัติธรรม มันเป็นความดีไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ
ดีใจสบายใจ จึงจะถูก เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะสนใจ