ถึงเพื่อนสมชิกที่สนใจ
ผมมีเรื่องเล่าอันตรายที่เกือบเกิดกับตัวเองและกับบุตรชายวัย 5 ขวบ มาเล่าแชร์ให้เพื่อนๆ สมาชิกได้รับทราบครับ
เรื่องของผมฟังดูอาจไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ผมขอเรียนตามตรงว่ามันก็เป็นเพียงเพราะว่าผมและลูกโชคดีเท่านั้นเอง
ผมและลูกเกือบโดนรถแท็กซี่สนามบิน ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชถอยทับ นี่ถ้าผมไม่ดึงตัวลูกชายออกหมุนตัวไปบังแทน และตะโกนให้รถหยุด 2 ครั้ง ลูกผมอาจโดนรถถอยทับไปแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเช้าวันนี้ 4 เมษายน 57 เวลาประมาณ 7:50น. ผมและลูกชายวัย 5 ขวบเดินทางไปสนามบินนครศรีฯ เพื่อไปส่งภรรยาไปกรุงเทพ เมื่อส่งภรรยาเสร็จ ผมก็พาไอ้เจ้าลูกชายวัย 5 ขวบเดินจูงมือกันเตรียมเดินข้ามทางม้าลายของโถงถนน เพื่อจะกลับไปขึ้นรถที่จอดไว้ที่ลานจอดรถสนามบิน (ปกติโถงถนนหน้าอาคารผู้โดยสาร(คล้ายหน้าสุวรรณภูมิ) มักจะกำหนดให้เป็นพื้นที่ขับรถใช้ความเร็วต่ำ เพราะมักจะมีผู้โดยสารและญาตขึ้นลงรถ ขนกระเป๋าขึ้น-ลง มีทางม้าลายคนข้าม ซึ่งรถจะต้องชลอความเร็วหรือหยุดให้คนข้ามไปเลย)
แต่เหตุการณ์แรกที่ผมเจอคือขณะผมเริ่มข้ามถนนกับลูกชาย ก็มีรถแท็กซี่สนามบิน ขับมาด้วยความเร็วสูงและไม่มีการชลอความเร็ว (ปกติคนเวลาขับรถเห็นคนจูงเด็กข้ามถนน ควรจะเบาความเร็วลง) จนผมต้องดึงไอ้เจ้าลูกชาย 5ขวบ กลับเข้าข้างทางเพื่อตั้งหลักข้ามถนนใหม่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจอะไรมากมาย จะแปลกใจอยู่บ้างก็ตรงที่บริเวณนั้น มีรปภ.ที่ควบคุมจราจรอยู่ถึง 2 คน แต่รปภ.ก็ไม่ได้มีท่าทีห้ามปราม ตำหนิ หรือแสดงออกว่ารถที่ขับเร็วนั้นผิดอะไร ซึ่งในความคิดผมตอนนั้นก็เริ่มเซ็งๆในความคิดแล้วว่า (อะไรมันจะไม่ดีทั้งคนขับคนควบคุมเลยเหรอ?) เมื่อรถคันนั้นขับผ่านผมและลูกไป และได้ไปจอดสนิด อยู่ที่หน้ากลุ่มคนขับแท็กซี่ที่นั่งรวมตัวอันอยู่ทางด้านตรงข้ามของถนน และลดกระจกเพื่อพูดคุยกัน ผมกับลูกชายจึงทำการข้ามถนนอีกครั้ง
และเหตุการณ์ที่ 2 ก็เกิดขึ้น พอผมและลูกข้ามไปได้ 2เลนถนน(ถนนมี 3เลนเดินรถทางเดียว) กำลังจะข้ามเลนที่3 ซึ่งตรงกับแนวท้ายรถแท็กซี่ อยู่ๆรถแท็กซี่คันดังกล่าวก็เข้าเกียร์ถอยหลัง ถอยพุ่งตรงมายังผมและลูกชายที่จูงมือผมข้ามถนนอยู่ คราวนี้ผมตกใจมาก ปากก็พูด เฮ้ยๆ!!! เพื่อให้รถแท็กซี่มองกระจกหลัง แต่เชื่อมั้ยครับ! รถที่ถอยไม่ได้หยุด กลับถอยตรงมาจนผมต้องดึงตัวลูกชายกลับออกมาอยู่เลนที่2 แล้วหมุนตัวเองไปบังและกอดลูกไว้ พร้อมทั้งคราวนี้ตะโกนดังสุดเสียง!!! "จะชนคนๆ" รถคันนั้นถึงได้หยุดถอย นี่ถ้ามีรถวิ่งมาจากเลน 2 ที่ผมข้ามผ่านไปแล้ว ผมกับลูกวัย 5 ขวบคงจะถูกรถที่ตามมาชนแน่ครับ(ไม่โทษรถที่ตามมาด้วยนะ เพราะผมกระโดดถอยหลังกลับมาเอง) เรื่องนี้ทำให้ผมไม่พอใจคนขับแท็กซี่มากเพราะผมและลูกเกือบต้องตาย และที่ไม่พอใจยิ่งเข้าไปอีกคือ ไม่มีคำขอโทษใดๆ จากปากคนขับเลย ซึ่งผมว่าเรื่องนี้ผมทำใจรับไม่ได้จริงๆ รปภ.ที่ยืนอยู่ ก็ดูเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ผมจึงต่อว่าคนขับรถแท็กซี่ไปว่า “คุณถอยรถไม่ดูคนข้ามถนนอยู่ด้านหลังเลยแบบนี้ ใช้ไม่ได้ ผมและเด็กเกือบโดนรถคุณชน” หลังจากผมพูดจบ สิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาคือ คนขับมองหน้าผมด้วยความไม่พอใจ และกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่รวมกันก็มองผมอย่างไม่พอใจ ทั้งๆที่ผมที่ยืนจูงลูกชายวัย 5 ขวบที่เกือบโดนรถถอยทับตายไม่ได้ทำผิดอะไร เป็นคนโดนกระทำด้วยซ้ำ! ผมจึงต้องกลั้นใจไม่ทำอะไรต่อ เพราะห่วงลูกยังเล็ก ถ้ามีเรื่องกัน ลูกผมอาจโดนลูกหลงไปด้วย ผมจึงพาลูกกลับไปขึ้นรถ ใจก็คิดไม่อยากให้คนอื่นโดนแบบผม เพราะคงไม่โชคดีแบบนี้ทุกคน จึงขับรถวนกลับมาแจ้ง รปภ.ที่ยืนอยู่อีกครั้ง หวังก็แค่อยากให้เค้าไปตำหนิคนขับ หรือกลุ่มคนขับที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ความจริงที่ผมได้ยินจากปาก รปภ.คือ "ให้ผมไปร้องเรียนเรื่องนี้เอาเอง" ผมผิดหวังมาก สังคมเรากลายเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง เพื่อนๆ บางคนอาจอ่านดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าอยู่ในเหตุการณ์แบบผม รู้สึกถึงอารมณ์ที่ลูกซึ่งเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ 5 ขวบเกือบถูกรถทับ มันเป็นความรู้สึกที่แย่จริงๆ ทั้งตกใจ ทั้งโกรธ และหมดหวัง ผมจึงขับรถตรงไปยังท้ายรถคันที่ก่อเหตุ และถ่ายรูปรถ+ทะเบียนรถ เพื่อกลับมาเขียนหนังสือร้องเรียน ถึงอธิบดีกรมการบินพลเรือน ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้แสดงความรับผิดชอบ ปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลง สภาพอันตรายของการใช้สนามบินแห่งนี้ ให้ตระหนักถึงการป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ท้ายเรื่องราวนี้ ผมได้แนบภาพถ่ายรถคันที่ก่อเหตุ และจดหมายที่ผมเขียนไปร้องเรียนเพื่อใช้เป็นข้อยืนยันเรื่องราวที่ผมมาเล่าแบ่งปันเพื่อนสมาชิกครับ ขอบคุณครับ
ปล. ด้วยความสัตย์จริงว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหา หรือล้างแค้นผู้ใด ต้องการเพียงอยากให้สังคมไทยมีจิตสำนึกที่ดีมากกว่าที่เป็นอยู่ รู้สึกผิดเมื่อทำสิ่งไม่ดี และกล้าหาญที่จะยอมรับและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขครับ
ผมเคยฟังเรื่องเด็กจีนถูกรถทับแล้วไม่มีคนสนใจทำอะไร ผมไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นค่านิยมแบบนั้นเกิดกับสังคมไทยครับ
เล่าให้ฟัง! "อันตราย! จากการใช้บริการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช"
ผมมีเรื่องเล่าอันตรายที่เกือบเกิดกับตัวเองและกับบุตรชายวัย 5 ขวบ มาเล่าแชร์ให้เพื่อนๆ สมาชิกได้รับทราบครับ
เรื่องของผมฟังดูอาจไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ผมขอเรียนตามตรงว่ามันก็เป็นเพียงเพราะว่าผมและลูกโชคดีเท่านั้นเอง
ผมและลูกเกือบโดนรถแท็กซี่สนามบิน ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชถอยทับ นี่ถ้าผมไม่ดึงตัวลูกชายออกหมุนตัวไปบังแทน และตะโกนให้รถหยุด 2 ครั้ง ลูกผมอาจโดนรถถอยทับไปแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเช้าวันนี้ 4 เมษายน 57 เวลาประมาณ 7:50น. ผมและลูกชายวัย 5 ขวบเดินทางไปสนามบินนครศรีฯ เพื่อไปส่งภรรยาไปกรุงเทพ เมื่อส่งภรรยาเสร็จ ผมก็พาไอ้เจ้าลูกชายวัย 5 ขวบเดินจูงมือกันเตรียมเดินข้ามทางม้าลายของโถงถนน เพื่อจะกลับไปขึ้นรถที่จอดไว้ที่ลานจอดรถสนามบิน (ปกติโถงถนนหน้าอาคารผู้โดยสาร(คล้ายหน้าสุวรรณภูมิ) มักจะกำหนดให้เป็นพื้นที่ขับรถใช้ความเร็วต่ำ เพราะมักจะมีผู้โดยสารและญาตขึ้นลงรถ ขนกระเป๋าขึ้น-ลง มีทางม้าลายคนข้าม ซึ่งรถจะต้องชลอความเร็วหรือหยุดให้คนข้ามไปเลย)
แต่เหตุการณ์แรกที่ผมเจอคือขณะผมเริ่มข้ามถนนกับลูกชาย ก็มีรถแท็กซี่สนามบิน ขับมาด้วยความเร็วสูงและไม่มีการชลอความเร็ว (ปกติคนเวลาขับรถเห็นคนจูงเด็กข้ามถนน ควรจะเบาความเร็วลง) จนผมต้องดึงไอ้เจ้าลูกชาย 5ขวบ กลับเข้าข้างทางเพื่อตั้งหลักข้ามถนนใหม่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจอะไรมากมาย จะแปลกใจอยู่บ้างก็ตรงที่บริเวณนั้น มีรปภ.ที่ควบคุมจราจรอยู่ถึง 2 คน แต่รปภ.ก็ไม่ได้มีท่าทีห้ามปราม ตำหนิ หรือแสดงออกว่ารถที่ขับเร็วนั้นผิดอะไร ซึ่งในความคิดผมตอนนั้นก็เริ่มเซ็งๆในความคิดแล้วว่า (อะไรมันจะไม่ดีทั้งคนขับคนควบคุมเลยเหรอ?) เมื่อรถคันนั้นขับผ่านผมและลูกไป และได้ไปจอดสนิด อยู่ที่หน้ากลุ่มคนขับแท็กซี่ที่นั่งรวมตัวอันอยู่ทางด้านตรงข้ามของถนน และลดกระจกเพื่อพูดคุยกัน ผมกับลูกชายจึงทำการข้ามถนนอีกครั้ง
และเหตุการณ์ที่ 2 ก็เกิดขึ้น พอผมและลูกข้ามไปได้ 2เลนถนน(ถนนมี 3เลนเดินรถทางเดียว) กำลังจะข้ามเลนที่3 ซึ่งตรงกับแนวท้ายรถแท็กซี่ อยู่ๆรถแท็กซี่คันดังกล่าวก็เข้าเกียร์ถอยหลัง ถอยพุ่งตรงมายังผมและลูกชายที่จูงมือผมข้ามถนนอยู่ คราวนี้ผมตกใจมาก ปากก็พูด เฮ้ยๆ!!! เพื่อให้รถแท็กซี่มองกระจกหลัง แต่เชื่อมั้ยครับ! รถที่ถอยไม่ได้หยุด กลับถอยตรงมาจนผมต้องดึงตัวลูกชายกลับออกมาอยู่เลนที่2 แล้วหมุนตัวเองไปบังและกอดลูกไว้ พร้อมทั้งคราวนี้ตะโกนดังสุดเสียง!!! "จะชนคนๆ" รถคันนั้นถึงได้หยุดถอย นี่ถ้ามีรถวิ่งมาจากเลน 2 ที่ผมข้ามผ่านไปแล้ว ผมกับลูกวัย 5 ขวบคงจะถูกรถที่ตามมาชนแน่ครับ(ไม่โทษรถที่ตามมาด้วยนะ เพราะผมกระโดดถอยหลังกลับมาเอง) เรื่องนี้ทำให้ผมไม่พอใจคนขับแท็กซี่มากเพราะผมและลูกเกือบต้องตาย และที่ไม่พอใจยิ่งเข้าไปอีกคือ ไม่มีคำขอโทษใดๆ จากปากคนขับเลย ซึ่งผมว่าเรื่องนี้ผมทำใจรับไม่ได้จริงๆ รปภ.ที่ยืนอยู่ ก็ดูเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ผมจึงต่อว่าคนขับรถแท็กซี่ไปว่า “คุณถอยรถไม่ดูคนข้ามถนนอยู่ด้านหลังเลยแบบนี้ ใช้ไม่ได้ ผมและเด็กเกือบโดนรถคุณชน” หลังจากผมพูดจบ สิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาคือ คนขับมองหน้าผมด้วยความไม่พอใจ และกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่รวมกันก็มองผมอย่างไม่พอใจ ทั้งๆที่ผมที่ยืนจูงลูกชายวัย 5 ขวบที่เกือบโดนรถถอยทับตายไม่ได้ทำผิดอะไร เป็นคนโดนกระทำด้วยซ้ำ! ผมจึงต้องกลั้นใจไม่ทำอะไรต่อ เพราะห่วงลูกยังเล็ก ถ้ามีเรื่องกัน ลูกผมอาจโดนลูกหลงไปด้วย ผมจึงพาลูกกลับไปขึ้นรถ ใจก็คิดไม่อยากให้คนอื่นโดนแบบผม เพราะคงไม่โชคดีแบบนี้ทุกคน จึงขับรถวนกลับมาแจ้ง รปภ.ที่ยืนอยู่อีกครั้ง หวังก็แค่อยากให้เค้าไปตำหนิคนขับ หรือกลุ่มคนขับที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ความจริงที่ผมได้ยินจากปาก รปภ.คือ "ให้ผมไปร้องเรียนเรื่องนี้เอาเอง" ผมผิดหวังมาก สังคมเรากลายเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง เพื่อนๆ บางคนอาจอ่านดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าอยู่ในเหตุการณ์แบบผม รู้สึกถึงอารมณ์ที่ลูกซึ่งเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ 5 ขวบเกือบถูกรถทับ มันเป็นความรู้สึกที่แย่จริงๆ ทั้งตกใจ ทั้งโกรธ และหมดหวัง ผมจึงขับรถตรงไปยังท้ายรถคันที่ก่อเหตุ และถ่ายรูปรถ+ทะเบียนรถ เพื่อกลับมาเขียนหนังสือร้องเรียน ถึงอธิบดีกรมการบินพลเรือน ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้แสดงความรับผิดชอบ ปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลง สภาพอันตรายของการใช้สนามบินแห่งนี้ ให้ตระหนักถึงการป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ท้ายเรื่องราวนี้ ผมได้แนบภาพถ่ายรถคันที่ก่อเหตุ และจดหมายที่ผมเขียนไปร้องเรียนเพื่อใช้เป็นข้อยืนยันเรื่องราวที่ผมมาเล่าแบ่งปันเพื่อนสมาชิกครับ ขอบคุณครับ
ปล. ด้วยความสัตย์จริงว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหา หรือล้างแค้นผู้ใด ต้องการเพียงอยากให้สังคมไทยมีจิตสำนึกที่ดีมากกว่าที่เป็นอยู่ รู้สึกผิดเมื่อทำสิ่งไม่ดี และกล้าหาญที่จะยอมรับและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขครับ
ผมเคยฟังเรื่องเด็กจีนถูกรถทับแล้วไม่มีคนสนใจทำอะไร ผมไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นค่านิยมแบบนั้นเกิดกับสังคมไทยครับ