มีทุน2ล้าน มีทางจะทำกำไรจากหุ้นเฉลี่ยเดือนละ1แสนทุกๆเดือน ได้ไหมครับ?

กระทู้คำถาม
ผมอายุ26 จบม.6  เคยอ่านหนังสือพ่อรวยครบชุด+หนังสือหุ้นของดร.นิเวศน์ นิดหน่อย
เริ่มเล่นหุ้นตอนวันจันทร์ที่ผ่านมา ตอนนี้ลงทุน8หมื่นอยู่
พอดีกำลังจะได้เงินจากการขายที่ดิน พ่อแม่มีที่ดิน47ไร่ ตอนนี้แบ่งขายมาแค่7ไร่ก่อนได้เงิน7ล้าน
คุยกับพ่อแม่ไว้ ว่าอยากลงทุนในหุ้น (แรกๆอยากเก็งกำไร แต่ดูไปคงจะหมดตัวมากกว่า คงต้องเปลี่ยนแนวซื้อยาว ถือยาว)
พ่อแม่จึงให้ทุนสัก2ล้าน
ถ้ามีทุน2ล้าน จะทำกำไรเดือนละ1แสน เลี้ยงพ่อแม่ ลูกเมีย ได้ไหมครับ
แล้วผมควรจะต้องไปอบรมหลักสูตรไหนเพิ่มเติม หรือเรียนอะไรเพิ่มไหมครับ
หรือมีหนังสือเกี่ยวกับหุ้น การเริ่มเล่นหุ้น ที่อ่านเข้าใจง่าย นำมาใช้ได้จริง เล่มไหนบ้างที่ผมควรไปหาซื้อมาอ่าน
   อนาคตอยากกลับไปเรียนต่อ ป.ตรี อาจจะบ/ช ไม่ก็เศรษฐศาสตร์ การลงทุน และก็เล่นหุ้นเป็นรายได้หลักโดยไม่ทำงานอื่นๆ
มันจะเป็นไปได้ไหมครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ สำหรับคำแนะนำดีๆ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 40
ผมได้อ่านกระทู้นี้แล้ว และไปอ่านกระทู้ที่คุณเสียเงินจาก SUTHA แล้ว จึงรีบมาเตือนคุณเลย เผื่อการเตือนครั้งนี้จะเป็นการทำบุญกุศลให้จิตใจของผมสงบลงบ้าง ช่วงนี้จิตใจผมก็ว้าวุ่นแตกพล่านเต็มที

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนเลยว่า ผมเป็นนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นมือใหม่แบบคุณเลย และขอเล่าเรื่องตัวเองก่อนจะตักเตือนคุณในฐานะมือใหม่ด้วยกัน คุณจะได้เข้าใจอะไรบางอย่าง

ผมเริ่มลงทุนเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 57 นี่แหละ สาเหตุที่ลงทุนมาจากการที่ผมรอทำงาน ผมอายุ 30 กว่าแล้ว เปลี่ยนสายงานแล้วยังหางานทำไม่ได้ วันหนึ่งบังเอิญไปอ่านบทความเกี่ยวกับการลงทุนในเว็บไซต์ของ บลจ แห่งหนึ่ง ก็เลยตาสว่าง มองว่าคนที่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ชอบอ่านหนังสือ ชอบเล่นเน็ต อย่างผมน่าจะเหมาะกับการลงทุน ก็เลยตัดสินใจลงทุน  แต่ตอนแรกกลัวมาก ไม่กล้าลงทุนกับหุ้น จึงเอาเงินเก็บแสนสามไปซื้อกองทุนรวม ผมลงมือศึกษาอย่างหนักหน่วง หลับน้อยมากราว 2 ชั่วโมง เข้าไปดูข้อมูลตาม บลจ ต่างๆ ใช้เวลา 4 วัน ก็ตัดสินใจซื้อกองทุนรวมที่คิดว่าได้เงินปันผลดี และค่าบริการถูก ที่ธนาคารแห่งหนึ่งใกล้บ้าน

หลังจากนั้นก็กะว่าจะขยับมาลงทุนกับหุ้น ก็เลยไล่อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับหุ้นในเน็ต ผมไม่ซื้อหนังสือเล่ม แต่ไล่อ่านจากประสบการณ์ของคนเล่นหุ้นตัวจริงตามเว็บไซต์ต่างๆ โดยเฉพาะพันทิพย์นี่แหละเป็นครูของผมเลย นอกจากนั้นก็อ่านข้อมูลของทุกบริษัทในเว็บ SET หัดอ่านงบการเงิน หัดวิเคราะห์ด้วยตนเอง เข้าไปค้นหาข้อมูลของบริษัทต่างๆ ตามเว็บไซต์ ไม่อ่านเปล่านะ นั่งทำโน้ตย่อสรุปเกือบทุกบริษัทที่น่าลงทุน แยกประเภทเอาไว้ว่าบริษัทไหนพื้นฐานดีแบบ VI บริษัทไหนจะเทิร์นอะราวน์ได้(ตอนนี้อ่านถึงตัว P แล้ว) ทำอย่างนี้ประมาณ 3 สัปดาห์ วันหนึ่งแม่เห็นผมมุ่งมั่นตั้งใจมาก ก็เลยเอาเงินที่ฝากธนาคารออมสินที่แม่หามาเก็บไว้ (แม่ผมขายก๋วยเตี๋ยว) ให้ผม 1 แสนบาท แม่ผมทำงานเก็บเงินหลายสิบปี เชื่อไหมว่า ชีวิตที่หากินฤไปวันๆ และจ่ายหนี้เพื่อการดำรงชีพ แม่ผมมีเงินเก็บไม่น่าจะเกิน 3 แสนบาท เพราะเพิ่งผ่อนบ้านหมดด้วย)

ผมยกเงินที่แม่ให้ (ในบัญชี) ขึ้นจบศีรษะ ไหว้แม่ แล้วตั้งปณิธานว่า ผมจะไม่ยอมให้เงินของแม่หมดไปในตลาดหุ้นอย่างเด็ดขาด หลังจากนั้นผมก็ไปเปิดพอร์ตเล่นหุ้นออนไลน์ โดยติดต่อผ่านธนาคารใกล้บ้านอีกเช่นกัน แต่เป็นคนละธนาคารกับที่ซื้อกองทุนรวม
เนื่องจากผมศึกษาเรื่องหุ้นมาอย่างหนักตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พอโอนเงินเข้าพอร์ตได้ 9 หมื่นบาท (เก็บหนึ่งหมื่นไว้ก่อนเผื่อฉุกเฉิน) ผมก็ซื้อหุ้นทันทีสองตัว ด้วยเงินทั้งหมดเก้าหมื่น ตัวหนึ่ง 69,XXX อีกตัวสองหมื่นบาท ครั้งแรกผมใช้โปรแกรม Streamming Pro ไม่เป็นด้วยซ้ำ ต้องเปิดยูทูบดูวิธีการใช้ แต่การซื้อขายก็ผ่านไปด้วยดี ที่เหลือผมก็รอ

ด้วยความเครียดและต้องเสียเงินไม่ได้ ผมจึงต้องอ่านข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตอย่างหนักหน่วง แม้ซื้อหุ้นไปแล้ว แต่ผมก็ต้องตื่นมาเปิดดูกระดานหุ้นทุกวัน (หยุดเสา์ร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ) หลับก็ดึก หลายวันผมหลับเช้าเลย (อย่างวันนี้ผมก็ตื่นตีสาม หลับตอนเที่ยงคืนมั้ง) แต่ต้องตื่นราวเก้าโมงเช้าเพื่อนั่งเฝ้ากระดาน บางคืนก็เข้าไปดูดัชนีดาวน์โจนส์ซะเลย ราวตีสาม เผื่อกะทิศทางของ SET

การเฝ้าดูกระดานทุกวันทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่างที่มือใหม่หลายคนที่ซื้อแล้วไปทำงานไม่เห็น ผมเห็นแรงเหวี่ยงอันน่าอัศจรรย์ใจของหุ้น บางตัวเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง ราคาต่ำกว่าเดิมอีก ทั้งที่พื้นฐานกิจการงบการเิงินก็ดี บางตัวก็ค่อยๆ ขยับไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ไม่ค่อยตกลงมาถ้าเราซื้อไว้ต่ำสุดแล้ว ผมเรียกการขยับของหุ้นอย่างนี้ว่า advance   แต่แรกผมกะจะเป็น VI คือซื้อทิ้งยาวๆ แล้วรอปันผล แต่ผมก็เห็นจุดบกพร่องของวีไอสำหรับมือใหม่ เพราะผมศึกษาอ่านข้อมูลทั้งวันไง ดูยูทูปด้วย ผมจึงเจอความผิดปกติหลายอย่างในตลาดหุ้น บางคนเจ็บหนักเพราะรัก VI เพราะคิดว่าเล่นแบบ VI ดีที่สุด โดยไม่ดูพื้นฐานของตัวเอง ซื้อหุ้นราคาแพง หรือซื้อตามเซียน VI ทั้งหลาย ซึ่งผมเรียกการซื้อของมือใหม่ว่า ICU ไม่ใช่ VI  วันหนึ่งทนเห็นหุ้นตัวเองตกต่ำไม่ได้ก็ยอมขายขาดทุน ทำให้หงายหลังไป

ผมรับรู้ได้ว่า ตลาดหุ้น มีการได้เสียอยู่ 2 แบบ
1. คือ ผู้เล่นได้เสียกันเอง อย่าง จขกท งี้ ถ้าเข้ามาเล่นแบบเก็งกำไร คุณมือใหม่ ประสบการณ์น้อย คุณก็จะเสียให้ผู้เล่นมือเก๋า ตรงนี้คิดเป็นอัตรา 80% (ที่เสีย) ต่อ 20% (ที่ได้) ให้ลองไปไล่อ่านทฤษฏีผลประโยชน์ทั้งหมด โดยเฉพาะของคุณพิชัย จาวลา แล้วคุณจะเข้าใจ ถ้าตลาดหุ้นมันได้เงินง่าย ก็ไม่มีใครทำงาน ทุกคนก็รวยหมดแล้ว สำหรับผม ถ้าผมมีงานดีๆ ผมก็ไม่มานั่งเฝ้ากระดานทุกวันอย่างนี้ เป็นเพราะตัวผมทำงานก็ได้เงินไม่เยอะ หมื่นกว่าบาทต่อเดือนนี่ผมถูกใช้งานปางตาย มีอยู่วันหนึ่งผมทำงาน 21 ชั่วโมง เพื่อแลกกับเงินพิเศษ 4,500 บวกกับเงินเดือนอีกหนึ่งหมื่นบาท เปลี่ยนสายงานก็ยิ่งอาการหนักกว่าเดิม งานใหม่เกี่ยวกับคดีความ เริ่มใหม่ๆ เงินน้อย ต้องใช้เวลานาน ถูกด่าทุกรายการ ผมอายุมากแ้ล้ว ไม่ใช่เด็กจบใหม่ ตรงนี้ผมเสียเปรียบมาก จึงหันมาตายดาบหน้ากับการลงทุน
2. คือ ได้เงินจากบริษัท วิธีนี้ปลอดภัยมาก บริษัทจะจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุน คนที่เล่นแบบวีไอจึงได้เปรียบ ไม่ต้องถูกนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรด้วยกันฟันหัวแบะ ไม่ต้องเป็นแมงเม่า แต่ต้องศึกษาบริษัทที่จะลงทุนอย่างหนัก ต้องเข้าใจกิจการที่เราลงทุน และเงินทุนก็ต้องเยอะ ใครมีเงินน้อยแล้วซื้อหุ้นทิ้งไว้ รายได้ก็มักได้นิดเีดียว

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมขายหุ้นตัวหนึ่งทิ้ง ได้กำไร 1 สตางค์ จาก 2 หมื่นหุ้น รีบเข้าไปซื้ออีกตัวที่ราคาตกอย่างผิดปกติด้วยสัญชาตญาณ หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นไฟแนนซ์ งบการเงินไม่เท่าไ์ร แต่ผู้บริหารไฟแรงเป็นเซียนหุ้นด้วย ซื้อตอน 0.97 ซื้อแล้ว ชักหวาดๆ กลัวตกอีก พอขยับมาเป็น 0.98 ก็เลยขายไป เปลี่ยนไปซื้ออีกตัว ซึ่งตัวที่ซื้อใหม่นี้ทุกวันก็ยังขึ้นแบบ Advance อยู่ ผมก็เลยยังไม่ขาย แต่หลังจากขายไปแล้ว ไอ้หุ้นไฟแนซ์นี่สิดันขึ้นพรวดพราด ผมก็เสียดายนิดหน่อยนะ แต่แลกกับความปลอดภัย ก็เลยไม่คิดอะไรมาก

ส่วนหุ้นอีกตัวที่ผมซื้อตอน 69,XXX เชื่อไหมว่า ผมดูมันวิ่งขึ้นวิ่งลงไม่ต่ำกว่า 6 รอบ วิ่งขึ้นไปสูงทำกำไรราว 20 สตางค์ แล้วก็วิ่งลงมาผ่านจุดที่ผมซื้อราวสิบกว่าสตางค์ เป็นอย่างนี้ไม่ต่ำกว่า 6 รอบ ในระยะเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งผมก็ใจเย็น ตอนมันขึ้นสุดผมไม่ขาย ตอนมันลงสุดผมก็ติดดอยรอไป ผมรอจนได้ (XD) ปันผล 2,000 กว่าบาท แล้วคราวนี้ราวสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนที่ดัชนี SET จะขยับมาเกือบพันสี่ในวันนี้ หุ้นที่ผมซื้อมันทำรอบอีกคือขึ้นไปได้กำไรราว 30 สตางค์ ผมไม่ขายเพราะรอปันผล  พอหมด XD มันก็ทิ้งดิ่งเลย ผมก็ติดดอยรอไป
แต่วิกฤติเล็กๆ เป็นครูสอนผมอย่างดีเลย ผมมองว่า ถ้าดัชนีตกลงมาเหมือนตอนซัพไพร์ม หรือตอนต้มยำกุ้ง ผมตายแน่ๆ เพราะซื้อแพงกว่าที่ควรซื้อ และไม่ขายตอนที่ควรขาย มัวแต่รอปันผล ซึ่งบางทีบางหุ้นควรขายดีกว่า พอราคาต่ำก็กลับมาซื้อใหม่ก็ได้ ผมจึงจำวิกฤตเล็กๆ นี้ไว้จนวันตาย และจะนำเทคนิคของ VI มาใช้นั่นคือทำ MOS (Margin Of safety) คือเล็งซื้อในราคาที่ปลอดภัยที่สุด

ต่อมา ตอนนั้น ดัชนี SET ตกลงมาก ทั้งหุ้นทั้งกองทุนราคาตกฮวบฮาบ เพราะรัฐบาลยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ต่อมาพอการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และเริ่มมีสัญญาณเปลี่ยนรัฐบาล (ดัชนีก็เริ่มดีดตัวขึ้นจนวันนี้เกือบพันสี่) ผมตัดสินใจถอนเงินออกจากกองทุนรวมทันที เพราะกะดูแล้ว ยังไม่ปันผลง่ายๆ และราคาอาจตกลงอีกจนอาจไม่ได้อะไรเลย ผมถอนเงินแสนสองจากกองทุนรวมหนึ่งมา เหลืออีกกองทุนหนึ่งไว้แค่หมื่นห้าพันบาทที่ผมซื้อเพิ่มทีหลัง จากกองทุนรวมผมได้กำไรจากการขายคืนราว 6 พันกว่าบาท  และแล้ววันนี้ หุ้นที่ผมซื้อไว้ 69,xxx บาท ก็ดีดตัวขึ้น ผมหลุดจากดอย และเล็งขายทำกำไร 4 จุด ทำให้ผมได้เงินมาอีกพันกว่า ตอนนี้พอร์ตผมมีเงินแค่ 2 หมื่นกว่า ส่วนกองทุนเหลือหมื่นห้า แต่เงินที่อยู่ในไลน์ที่สามารถซื้อหุ้นได้ราวแสนเก้าหมื่น ลงทุนกับหุ้นมาราว 1 เดือน กับกองทุนรวมอีก 1 เดือน ผมทำกำไรได้ 9 พันกว่าบาท เฉียดหมื่นบาท ตอนนี้ผมปลอดภัยแล้วตราบใดที่ยังไม่ซื้ออีก

ผมมองการลงทุนของตัวเองที่ผ่านมาว่า อันตรายทุกฝีก้าว ลงทุนแค่ 2 เดือน (หุ้น 1 เดือน กองทุนรวม 2 เดือน) ผมได้เงินมาจาก 3 รูปแบบเลย คือ ได้จากธนาคารที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุน ได้จากบริษัทที่ปันผลให้ และได้จากผู้เล่นด้วยกันเองในการขายหุ้นได้ส่วนต่าง ตอนนี้ผมไม่ยอมซื้อราคาที่ไม่ MOS และหุ้นพื้นฐานไม่ดี หุ้นปั่น หุ้นเน่า หุ้นเจ้านิสัยไม่ดี หุ้นบริษัทธรรมาภิบาลต่ำ หุ้นที่บริษัทมุ่งขายหุ้นไม่ขายสินค้า ผมไม่เล่นเด็ดขาด ยกเว้นมีจังหวะที่ผมได้เปรียบเกินร้อย จึงจะกระโจนเข้าไป ซึ่งผมคงไม่ทำถ้าเสี่ยง

การศึกษาข้อมูลอย่างหนัก และพยายามฝึกตัวเองให้เป็นนักกลยุทธ์ คืออะไรดีผมก็ลงทุนตรงนั้น ทำให้ประสาทผมค่อนข้างไว ไม่ค่อยหลับนอน ต้องลุกมาอ่านข้อมูลตลอด (ไม่ค่อยดีเท่าไร) ไม่เชื่อคนอื่นเพราะกลัวโดนต้ม ตลาดหุ้นเป็น Money Game อย่างที่ผมบอกแล้ว คนเล่นหุ้นได้กำไรจากผู้เล่นด้วยกันเอง 80:20 คนที่เสียมักเป็นคนส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าใครเชียร์อะไร ผมจะนิ่งเฉย บางอย่างผมจะถือเป็นสิ่งตรงกันข้ามเลย

อยากให้ จขกท หาข้อมูลเยอะๆ อ่านงานของวอร์เรน บัฟเฟต จอร์จ โซรอส หลักดีมานด์ซัพไพล์ และทฤษฏีผลประโยชน์ และหลักการอื่นๆ ให้มากๆ จะได้ไม่เจ็บตัว

หลังจากเล่าเรื่องของผมให้ฟังแล้ว หวังว่า จขกท จะได้อะไรบ้าง ผมขอตอบคำถามนะครับ

1) ถ้ามีทุน2ล้าน จะทำกำไรเดือนละ1แสน เลี้ยงพ่อแม่ ลูกเมีย ได้ไหมครับ
ข้อนี้ขอตอบ แบบได้กับไม่ได้นะครับ มีเหตุผลบอก
ได้ครับ แต่คุณต้องเล่นให้ได้ 60% คือ 1 ล้านสองแสนบาท ก็จะตกเดือนละแสนพอดี การเล่นให้ได้กำไรถึง 1 ล้านบาท จากต้นทุน 2 ล้าน คุณต้องรอจังหวะทำกำไรครับ ถ้าเสียบ่อยๆ ก็ยากจะได้ถึง 60% คุณต้องศึกษาอย่างหนักครับ ต้องไม่หูเบา ต้องเข้าใจหุ้น รู้จังหวะหุ้น เข้าทำต้องได้กำไร จะเอาเงิน 1 ล้าน 2 แสนบาทต่อปี ต้นทุน 2 ล้านบาท ผมว่าน้อยไป เพราะการลงทุนมีสูตรว่า ต้นทุน x ระยะเวลา = กำไร และต้นทุน X กำไร x ระยะเวลา = กำไร ทบต้นทบดอกครับ จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่เจ็ดของโลกที่ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้  ส่วนถ้าลงทุนแบบรอปันผล ปีเดียวคงยังไม่เห็นเงินล้านหรอกครับ แต่ถ้าหลายๆ ปีก็ไม่แน่ ดูอย่าง ดร นิเวศน์ ซื้อหุ้นตั้งแต่ปี 40 ด้วยเงินสิบล้านบาท ปัจจุบัน เกินสองพันล้านแล้ว ถ้าคุณซื้อหุ้นแบบ ดร นิเวศน์ แต่ใช้เงิน 2 ล้านบาท ผ่านมา 17 ปี คุณจะได้ราว 4 ร้อยล้านบาท เท่ากับปีหนึ่งคุณได้ 23 ล้านกว่า เดือนหนึ่งคุณก็ได้เกินแสนบาทแล้ว แต่ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีนะครับ คือได้แต่ได้ย้อนหลังไง สำหรับสายปันผล

ไม่ได้ครับ รายได้เดือนละแสนหมายถึงปีหนึ่งคุณต้องเล่นหุ้นให้ได้ล้านสองแสนจากต้นทุนสองล้านบาท สำหรับมือใหม่แทบเป็นไปไม่ได้เลยครับ ยิ่งรีบคุณจะยิ่งเสีย แล้วต้นทุนก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ มีหลายคนกล่าวว่า มือใหม่เล่นหุ้นปีสองปีแรก ไม่เสียเงินก็ถือว่าเก่งแล้ว วอร์เรน บัเฟตกล่าวว่า "จงอย่าขาดทุน" ส่วนจอร์จ โซรอส กล่าวว่า "เอาชีวิตรอดก่อน กำไรค่อยมาทีหลัง ปีแรกๆ ถ้าคุณไม่ระวัง ก็ได้เสียเงินซื้อวิชาครับ ยิ่งเป็นคนใจร้อน เก็บเงินไม่ได้ ไม่ใช้เงินเย็น บริหารหน้าตักไม่เป็น ยิ่งยากมากครับ เอาชีวิตรอดในตลาดทุน (หุ้น) ให้ได้ก่อนครับ ค่อยหวังทำกำไรขนาดนี้

2) แล้วผมควรจะต้องไปอบรมหลักสูตรไหนเพิ่มเติม หรือเรียนอะไรเพิ่มไหมครับ หรือมีหนังสือเกี่ยวกับหุ้น การเริ่มเล่นหุ้น ที่อ่านเข้าใจง่าย นำมาใช้ได้จริง เล่มไหนบ้างที่ผมควรไปหาซื้อมาอ่าน  
ข้อนี้ คิดว่าท่านอื่นอาจแนะนำได้ดีกว่าผม สำหรับผม ผมมองการเล่นหุ้นหรือการลงทุนหุ้นเป็นการทำงาน เอาไว้ได้เงินจากการทำงานก่อนครับ ค่อยซื้อหนังสือมาอ่าน ตอนนี้เอาของจริงก่อน เว็บบอร์ดเวลานักลงทุนหรือนักเก็งกำไรทั้งหลายคุยกัน ไปไล่อ่านสิครับ ได้ความรู้เยอะแยะ ตามเว็บไซต์ต่างๆ ยิ่งเกี่ยวกับ VI ยิ่งมีเยอะ บทความที่เซียนทั้งหลายเขียนให้อ่าน นั่นแหละครับไปอ่าน ผมมองว่าการไปอบรมเป็นการเสียเงินครับ หลายท่านอาจไม่พอใจที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะอยากได้เงินผู้อบรม คนละ 5,000 บาท 200 คน ท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่