พอดีได้ไปอ่านในกระทู้เก่าด้านล่าง จึงประสงค์แสดงความเห็น เรื่องการปล่อยวาง กับการกำหนดภาวนา นั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยประสบการณ์ของผมเองที่ผ่านมา
ในความหมายของผม
การปล่อยวาง ก็จะเป็นเรื่องเกินกำลัง เรื่องเกินฐานะ เรื่องที่ไม่เหมาะสม และที่สุดในเรื่องที่ยึดมั่นถือมั่นไว้ ที่เป็นเรื่องทางใจนั้นเอง
การกำหนดภาวนา เป็นสิ่งที่ต้องกระทำไม่หยุด กระทำอยู่เนื่องๆ ยกขึ้นมีสติกำหนดภาวนาอยู่เนื่องๆ แม้ที่สุดเหมือนสิ้นชีวิตก็กำหนดภาวนาอยู่อย่างนั้น เป็นปัจจุบันอย่างนั้น
เรื่องกำหนดภาวนาเพื่อเจริญสติ หรือพละทั้ง 5 (สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร) นั้นผมกำหนดภาวนาตั้งแต่เริ่ม ค่อยระเอียดขึ้นมากขึ้นยิ่งขึ้น แทบจะทุกขณะ ตลอดเวลาถึง 5 เดือนจนถึงอย่างยิ่งทิ้งทั้งชีวิตไปได้ เพราะตกอยู่ในฐานะที่เป็นทุกข์ แล้วเห็นทุกข์อย่างยิ่งนั้นเอง หลังจากนั้นผมก็ยังกำหนดภาวนาอยู่เนื่องๆ ไม่ทอดธุระ แม้จะมีครอบครัว คือมีภรรยา ลูกๆ ต้องเป็นผู้นำครอบครัว หาเลี้ยงครอบครัว นำทางผลักด้นทั้งภรรยาและลูก ด้วยกลวิธีที่เป็นไปได้ตามปัญญาแห่งตน เพื่อให้ช่วยเหลือตนเองได้อย่างดี จนเจริญขึ้นมาได้ แม้จะเริ่มช้ากว่าเพือนๆ 10 ปีที่เดียว ผมก็ไม่เคยทอดธุระจากการกำหนดภาวนาเลย เป็นเวลา สิบๆ คือมากกว่า 20 ปี เลย.
เรื่องด้านบนนั้นเป็นการชี้ให้เห็นว่า เรื่องการกำหนดภาวนานั้น ผมไม่เคยปล่อยวางไม่เคยทอดธุระเลย เข้มบ้างหย่อนบ้าง เป็นช่วงๆ ไป เป็นเวลาประมาณ 30 ปีที่เดียว แม้จะอยู่ในเพศฆราวาสมีครอบครัวและลูก.
มาดูเรื่องการปล่อยวาง ผมปล่อยวางอย่างไร? ต่างกับกำหนดภาวนากรรมฐานอย่างไร? ผมจะเล่าเป็นเรื่องๆ ดังนี้.
เรื่องที่ 1. ผมประสงค์จะบวชอีกครั้งหลังจากที่ผมปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งจนทิ้งชีวิตไปจริงๆ แต่ประสบการณ์บวชครั้งแรกที่โดนขีดกันและโดนกดดันเรื่องเป็นลูกคนอพยพผิดกฏหนายอย่างหนัก เหมือนเป็นรอยแผลเป็นที่ยังขยาดอยู่ จึงคิดว่าตนจะยังไม่บวชในฐานะแบบเดิมที่ผ่านมาอีก จึงยังยั่งการบวชของตนเองอยู่ คือรอๆ ไปเรื่อยๆ นั้นเอง จนกว่าได้สัญชาติไทย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด เมื่อต้องอยู่ทางโลก 2-3 ปีต่อมาจึงมีครอบครัว ทั้งที่จิตใจนั้นยังอยากจะบวชอยู่ลึกๆ ก็ตาม ต้องพลักดันให้แฟนเรียนจบปริญญาตรี และแฟนนั้นมีจิตใจโน้มไปทางที่อยากเป็นแม่บ้านอย่างเดียว แต่ฐานะครอบครัวนั้นยังไม่มีอะไร รายได้ผมก็ไม่มั่นคง ผมจึงต้องปล่อยวางทางใจก่อนเป็นลำดับแรกคือ หาคำภาวนาที่ทำให้ใจปล่อยวางไม่กดดันเกินไปคือ ภาวนาประโยคที่ว่า..
"เป็นเช่นนั้นเอง" หรือ "อหัง กัมมะ สะโก สัพเพสัตตา กัมมะสะกา"
ยกเสริมขึ้นภานาอยู่เนื่องๆ จนใจปล่อยวาง สงบ เมื่อเกิดความทุกข์ความกดดัน แต่ไม่เคยปล่อยวางเป้าหมายดำเนินไปตามฐานะ ไม่กดดันแต่ให้โอกาส จนแฟนเรียนจบได้ แต่ก่อนจบแฟนอยากมีลูก เราก็เห็นว่าไม่ควรมีลูก เพราะเห็นความลำบากอยู่เบื้องหน้า เมื่อแฟนไม่ย่อม ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เทอมสุดท้ายแล้วก็ท้องประมาณ 4 เดือน แต่แฟนก็เรียนจบพอดี ผมก็กำลังตกงานพอดี ต่อจากนั้นความทุกข์ความกดดันเกิดอีกมากมาย ต้องอาศัยการภาวนาเสริมอย่างนั้นพอประกองอยู่ได้แม้จะลำบากมากๆ
เรื่องที่ 2.
ใจที่อยากจะบวชที่โดนทับไว้ ก็เกิดฟู่ขึ้นมากมาย ในช่วงที่แฟนคลอดลูก อยากจะไปบวชเสียในวันนั้นที่เดียว บอกแฟน แฟนก็ทุกข์มากเมื่อเห็นอย่างนั้นก็ระงับห้ามใจ ก็ยกคำภาวนานั้นขึ้นมากำหนดภาวนาโดยตลอด จนสงบ
แต่ใจที่อยากหนีอยากบวชนั้นก็กระหน่ำมาอยู่เนื่องๆ ใครไม่เกิดสภาวะอย่างนี้ ไม่เป็นก็จะไม่รู้ คำภาวนาเสริมด้านบนนั้นเสมือนเอาไม่อยู่ เป็นอย่างนี้อยู่ยาวนานเป็นปี เมื่อได้งานแล้วดึงครอบครัวให้มาอยู่ร่วมกัน แฟนก็ได้งานทำ ลูกก็ขวบกว่าจะสองขวบ ก็ยังต้องอาศัยที่พักเขาอยู่ เพราะกำลังยังไม่พอที่จะเช้าที่พักอยู่เอง ใจที่อยากหนีอยากบวชเพื่อสร้างสมบารมีนั้น กระตุ้นเตือนอยู่เนื่องๆ จนสับสนทีเดียว จึงตัดสินใจใช้ การปฏิบัติกรรมฐานอย่างดียิ่ง เป็นตัววัดเป็นสิ่งพิสูจน์ ยกขึ้นภาวนาอยู่เนื่องๆ ตลอดเวลา แต่ลดสภาวะที่ให้ทันปัจจุบันในทันที ให้เพียงแต่เป็นปัจจุบัน ความแข็งกร้าวจึงลดลง เป็นเพียงเป็นปัจจุบันอยู่เนื่องๆ เป็นเวลาหลายวันต่อมา ก็ค่อยๆ สักแต่... ทิ้งจนหมดสิ้นเป็น อุปสมานุสติ(ท่านผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจก็ข้ามไปนะครับ) สมบูรณณ์ ความคิดความเห็นก็จะเปลียนไปหลังจากออก อุปสมานุสติหลังสุด ดังนี้
"เราคิดจะหนีภรรยาและลูกไปบวช ขณะที่พวกเขายังทุกข์อยู่ ยังช่วยตัวเองยังไม่ได้ เมื่อเราบวช เราเห็นเขาทุกข์อยู่มาก เราจะทนอยู่ได้หรือ? เราจะปฏิบัติธรรมได้ดีหรือเมื่อรู้ว่าภรรยาและลูกทุกข์เช่นนั้น? เราควรทำหน้าทีสามีและพ่อที่ดี ยกฐานะครอบครัวให้ดีขึ้น และปฏิบัติธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป เนื่องๆ ได้ไม่ใช่หรือ" (ประสบการณ์นี้สอนให้รู้ว่า ทำได้พัฒนาได้ แม้จะช้าไปบ้าง)
ต้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิต ก็ดีขึ้นไม่ตกต่ำลงอีกเลยจนถึงปัจจุบัน
ชีวิตที่ผ่านมายังมีอีกหลายเรื่องๆ ทีเดียวที่ปล่อยวางทางใจ โดยที่ไม่ละทิ้งและทอดธุระการกำหนดภาวนาอยู่เนื่องๆ เลย ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา.
หวังว่าคงพอทำให้เข้าใจได้บ้าง เรื่องการปล่อยวาง แต่ไม่ทอดทิ้งหรือทอดธุระ ในการกำหนดภาวนา เป็นเวลา 30 ปี จากประสบการณ์ตนเอง แม้จะเป็นฆราวาสมีครอบครัวมีลูก ก็ตาม.
การปล่อยวาง กับการภาวนาหรือกำหนดกรรมฐาน
ในความหมายของผม
การปล่อยวาง ก็จะเป็นเรื่องเกินกำลัง เรื่องเกินฐานะ เรื่องที่ไม่เหมาะสม และที่สุดในเรื่องที่ยึดมั่นถือมั่นไว้ ที่เป็นเรื่องทางใจนั้นเอง
การกำหนดภาวนา เป็นสิ่งที่ต้องกระทำไม่หยุด กระทำอยู่เนื่องๆ ยกขึ้นมีสติกำหนดภาวนาอยู่เนื่องๆ แม้ที่สุดเหมือนสิ้นชีวิตก็กำหนดภาวนาอยู่อย่างนั้น เป็นปัจจุบันอย่างนั้น
เรื่องกำหนดภาวนาเพื่อเจริญสติ หรือพละทั้ง 5 (สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร) นั้นผมกำหนดภาวนาตั้งแต่เริ่ม ค่อยระเอียดขึ้นมากขึ้นยิ่งขึ้น แทบจะทุกขณะ ตลอดเวลาถึง 5 เดือนจนถึงอย่างยิ่งทิ้งทั้งชีวิตไปได้ เพราะตกอยู่ในฐานะที่เป็นทุกข์ แล้วเห็นทุกข์อย่างยิ่งนั้นเอง หลังจากนั้นผมก็ยังกำหนดภาวนาอยู่เนื่องๆ ไม่ทอดธุระ แม้จะมีครอบครัว คือมีภรรยา ลูกๆ ต้องเป็นผู้นำครอบครัว หาเลี้ยงครอบครัว นำทางผลักด้นทั้งภรรยาและลูก ด้วยกลวิธีที่เป็นไปได้ตามปัญญาแห่งตน เพื่อให้ช่วยเหลือตนเองได้อย่างดี จนเจริญขึ้นมาได้ แม้จะเริ่มช้ากว่าเพือนๆ 10 ปีที่เดียว ผมก็ไม่เคยทอดธุระจากการกำหนดภาวนาเลย เป็นเวลา สิบๆ คือมากกว่า 20 ปี เลย.
เรื่องด้านบนนั้นเป็นการชี้ให้เห็นว่า เรื่องการกำหนดภาวนานั้น ผมไม่เคยปล่อยวางไม่เคยทอดธุระเลย เข้มบ้างหย่อนบ้าง เป็นช่วงๆ ไป เป็นเวลาประมาณ 30 ปีที่เดียว แม้จะอยู่ในเพศฆราวาสมีครอบครัวและลูก.
มาดูเรื่องการปล่อยวาง ผมปล่อยวางอย่างไร? ต่างกับกำหนดภาวนากรรมฐานอย่างไร? ผมจะเล่าเป็นเรื่องๆ ดังนี้.
เรื่องที่ 1. ผมประสงค์จะบวชอีกครั้งหลังจากที่ผมปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งจนทิ้งชีวิตไปจริงๆ แต่ประสบการณ์บวชครั้งแรกที่โดนขีดกันและโดนกดดันเรื่องเป็นลูกคนอพยพผิดกฏหนายอย่างหนัก เหมือนเป็นรอยแผลเป็นที่ยังขยาดอยู่ จึงคิดว่าตนจะยังไม่บวชในฐานะแบบเดิมที่ผ่านมาอีก จึงยังยั่งการบวชของตนเองอยู่ คือรอๆ ไปเรื่อยๆ นั้นเอง จนกว่าได้สัญชาติไทย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด เมื่อต้องอยู่ทางโลก 2-3 ปีต่อมาจึงมีครอบครัว ทั้งที่จิตใจนั้นยังอยากจะบวชอยู่ลึกๆ ก็ตาม ต้องพลักดันให้แฟนเรียนจบปริญญาตรี และแฟนนั้นมีจิตใจโน้มไปทางที่อยากเป็นแม่บ้านอย่างเดียว แต่ฐานะครอบครัวนั้นยังไม่มีอะไร รายได้ผมก็ไม่มั่นคง ผมจึงต้องปล่อยวางทางใจก่อนเป็นลำดับแรกคือ หาคำภาวนาที่ทำให้ใจปล่อยวางไม่กดดันเกินไปคือ ภาวนาประโยคที่ว่า..
"เป็นเช่นนั้นเอง" หรือ "อหัง กัมมะ สะโก สัพเพสัตตา กัมมะสะกา"
ยกเสริมขึ้นภานาอยู่เนื่องๆ จนใจปล่อยวาง สงบ เมื่อเกิดความทุกข์ความกดดัน แต่ไม่เคยปล่อยวางเป้าหมายดำเนินไปตามฐานะ ไม่กดดันแต่ให้โอกาส จนแฟนเรียนจบได้ แต่ก่อนจบแฟนอยากมีลูก เราก็เห็นว่าไม่ควรมีลูก เพราะเห็นความลำบากอยู่เบื้องหน้า เมื่อแฟนไม่ย่อม ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เทอมสุดท้ายแล้วก็ท้องประมาณ 4 เดือน แต่แฟนก็เรียนจบพอดี ผมก็กำลังตกงานพอดี ต่อจากนั้นความทุกข์ความกดดันเกิดอีกมากมาย ต้องอาศัยการภาวนาเสริมอย่างนั้นพอประกองอยู่ได้แม้จะลำบากมากๆ
เรื่องที่ 2.
ใจที่อยากจะบวชที่โดนทับไว้ ก็เกิดฟู่ขึ้นมากมาย ในช่วงที่แฟนคลอดลูก อยากจะไปบวชเสียในวันนั้นที่เดียว บอกแฟน แฟนก็ทุกข์มากเมื่อเห็นอย่างนั้นก็ระงับห้ามใจ ก็ยกคำภาวนานั้นขึ้นมากำหนดภาวนาโดยตลอด จนสงบ
แต่ใจที่อยากหนีอยากบวชนั้นก็กระหน่ำมาอยู่เนื่องๆ ใครไม่เกิดสภาวะอย่างนี้ ไม่เป็นก็จะไม่รู้ คำภาวนาเสริมด้านบนนั้นเสมือนเอาไม่อยู่ เป็นอย่างนี้อยู่ยาวนานเป็นปี เมื่อได้งานแล้วดึงครอบครัวให้มาอยู่ร่วมกัน แฟนก็ได้งานทำ ลูกก็ขวบกว่าจะสองขวบ ก็ยังต้องอาศัยที่พักเขาอยู่ เพราะกำลังยังไม่พอที่จะเช้าที่พักอยู่เอง ใจที่อยากหนีอยากบวชเพื่อสร้างสมบารมีนั้น กระตุ้นเตือนอยู่เนื่องๆ จนสับสนทีเดียว จึงตัดสินใจใช้ การปฏิบัติกรรมฐานอย่างดียิ่ง เป็นตัววัดเป็นสิ่งพิสูจน์ ยกขึ้นภาวนาอยู่เนื่องๆ ตลอดเวลา แต่ลดสภาวะที่ให้ทันปัจจุบันในทันที ให้เพียงแต่เป็นปัจจุบัน ความแข็งกร้าวจึงลดลง เป็นเพียงเป็นปัจจุบันอยู่เนื่องๆ เป็นเวลาหลายวันต่อมา ก็ค่อยๆ สักแต่... ทิ้งจนหมดสิ้นเป็น อุปสมานุสติ(ท่านผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจก็ข้ามไปนะครับ) สมบูรณณ์ ความคิดความเห็นก็จะเปลียนไปหลังจากออก อุปสมานุสติหลังสุด ดังนี้
"เราคิดจะหนีภรรยาและลูกไปบวช ขณะที่พวกเขายังทุกข์อยู่ ยังช่วยตัวเองยังไม่ได้ เมื่อเราบวช เราเห็นเขาทุกข์อยู่มาก เราจะทนอยู่ได้หรือ? เราจะปฏิบัติธรรมได้ดีหรือเมื่อรู้ว่าภรรยาและลูกทุกข์เช่นนั้น? เราควรทำหน้าทีสามีและพ่อที่ดี ยกฐานะครอบครัวให้ดีขึ้น และปฏิบัติธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป เนื่องๆ ได้ไม่ใช่หรือ" (ประสบการณ์นี้สอนให้รู้ว่า ทำได้พัฒนาได้ แม้จะช้าไปบ้าง)
ต้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิต ก็ดีขึ้นไม่ตกต่ำลงอีกเลยจนถึงปัจจุบัน
ชีวิตที่ผ่านมายังมีอีกหลายเรื่องๆ ทีเดียวที่ปล่อยวางทางใจ โดยที่ไม่ละทิ้งและทอดธุระการกำหนดภาวนาอยู่เนื่องๆ เลย ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา.
หวังว่าคงพอทำให้เข้าใจได้บ้าง เรื่องการปล่อยวาง แต่ไม่ทอดทิ้งหรือทอดธุระ ในการกำหนดภาวนา เป็นเวลา 30 ปี จากประสบการณ์ตนเอง แม้จะเป็นฆราวาสมีครอบครัวมีลูก ก็ตาม.