คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 35
ผมบอกตามตรง ผมไม่อยากจะสอน จขกท. เลย
ถ้ามีความคิดเอง โตและเรียนรู้ชีวิต ก็จะแยกได้ว่าอันไหนคือมายา อันไหนคือเรื่องจริง ขอให้สิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นนี้สะท้อนกับคนดูหนังทุกคนเถอะ
ผมเข้าใจตรรกะ จขกท. นะ แต่มันสุดโต่งไปมั้ย? คนรักหนัง เสพหนังจริงๆ แยกแยะออก ยิ่งคนดูมาตั้งแต่ยุค 70 80 90 ยิ่งจบเลย ไม่มีคิดมาก เพราะหนังฮอลลีวูดเขาสร้างมาตรฐานของเขามาตั้งแต่ตอนนั้น เราก็ตกเป็นสาวกเขาจริงๆ แต่มันเกี่ยวกันไหมในเรื่องการใช้ชีวิต ไม่เลย ตอนเด็กๆ ดูอาจจะอยากเป็นฮีโร่ อยากเป็นไรเดอร์ ซึ่งก็ไม่ต่างจากฝั่งญี่ปุ่น ถ้าเรามองในแง่ดี สิ่งนี้ก็คือสิ่งจรรโลงใจให้คนทำดี ไม่ใช่หรือ? สิ่งที่หนังหรือการ์ตูนสอนก็คือให้เป็นฮีโร่ ช่วยเหลือคน เพราะมีหน้ากากคนอื่นจะได้ไม่เดือดร้อน โดยเฉพาะคนใกล้ตัว ซึ่งมันก็จริง บางทีความจริงอยู่ยาก การปิดบังอยู่ง่าย มันก็แค่นั้น ดูหนังคิดให้เป็น มันไม่มีปัญหาแน่นอน
ผมไม่เคยรักอเมริกา เพราะอายุปูนนี้ ก็รู้ๆ อยู่ชาติเขามีลับลมคมในขนาดไหน เอาเปรียบชาติอื่นขนาดไหน เขาเป็นชาติมหาอำนาจ มันต้องผลประโยชน์อยู่แล้ว บางทีทำทุเรศและค้านสายตาด้วย ซึ่งดาราหรือคนทำหนังยุคนี้เขาก็คงไม่เอาประเด็นมาใส่หัวหรอก นอกจากว่าจะทำอย่างไรให้หนังเขาขายได้ ให้ได้รับคำวิจารณ์หรือผลตอบรับที่ดี แต่ถ้าถามว่ามีอคติกับหนังไหม ไม่มี เพราะมันคนละส่วน มันคือธุรกิจ เขาสร้างหนังของเขา ก็ต้องขายคนของเขาเป็นหลัก มันชัดเจน แต่ตลาดมันใหญ่แล้วคนชอบเพราะด้วยเทคนิคเขามันพัฒนาไปไกล ความเป็นเทคโนโลยี มันโดนใจคนดู เขาพัฒนาส่วนนี้เพื่อขายเพื่อธุรกิจ แล้วต้องยอมรับ เขาทำมันได้ดีกว่าชาติอื่นๆ ถ้าจะมองในแบบ จขกท. ไม่คิดหรือว่า คนอ่อนโยน จิตใจดีแบบแคปหรือแบ็ทแมนถ้ามาอยู่ในเมืองไทยจะไม่ช่วยเหลือเรา ก็แน่ล่ะ ถ้าเครื่องบินใครคนใดคนหนึ่งตกมาบ้านเราแล้วเราขอให้ช่วย ยังไงคนแบบ 2 คนนี้หรือ 2 ตัวละครนี้ก็ต้องช่วย อย่างน้อยไปเจออาชญากรกำลังรีดไถคน 2 ตัวละครนี้ต้องต้องเผือกอย่างแน่นอน นี่แหละคือประเด็นหลักที่เขาต้องการสื่อ การ์ตูนพวกนี้เกิดก่อนผมอีก อาจจะมีบ้างที่อิงชาตินิยม แต่ถ้าเราไม่ใช่อเมริกัน เราไม่รู้หรอก เราไม่อิน (ถ้าจะอินกับบทมันก็อยู่แค่ในจอสี่เหลี่ยม) มันไกลตัว เรามองแค่พวกเขาเป็นคนดีที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง โดยเฉพาะบรูซกับแคปเนี่ยชัดเจนที่สุดจาก 2 ค่ายแล้ว เรื่องประเด็นชาตินิยมหลังๆ เขาก็ไม่เน้นด้วยซ้ำ เน้นเอฟเฟกต์กับบทมากกว่า มันต่างจากฉบับการ์ตูนที่ขายให้คนหลงไหลในชาติเพื่อให้ไปรบจริงๆ ซึ่งมันเก่าไปแล้ว แต่ถามว่าการ์ตูนจะมีอิทธิพลกับคนที่ไปรบ เอาชีวิตไปเสี่ยงไหม แม้แต่ในชาติเขาเอง ตอบเลยว่ามี แต่น้อยมาก คนยังไงก็กลัวตาย ไหนจะครอบครัว คนรัก นอกจากคนแกร่งตัดสินใจแล้วว่าจะเอาแบบนี้ ซึ่งตรรกะนี้คนไทยสมัยก่อนก็มี ถามว่ามีหนังให้ดูมั้ย หนังไทยก็มี มีในประวัติศาสตร์จริงๆ ด้วยซ้ำ
เข้าใจ จขกท. ว่าเรายอมรับง่ายไป แต่ถามว่ายอมรับอะไร วัฒนธรรมเขาหรือเทคนิคการสร้างหนัง สรุป สิ่งที่เรายอมรับและคนไปดูหนังก็คือบทและเทคนิคการสร้าง จขกท. เคยถามใจคนจริงๆ เหมือนผมหรือไม่ว่า ชอบดูหนังฝรั่งเพราะอะไร? ก็เพราะมันถึงกว่า มันสนุกกว่า หนังไทยนานๆ จะมีสักเรื่องแทรกมา แต่ถ้าดูหนังฝรั่งแล้วผมต้องกินจังค์ฟู้ด ต้องพูดแบบฝรั่ง ต้องใช้ชีวิตแบบฝรั่งมั้ย? ตอบเลยว่าไม่ ผมเป็นคนไทย ชอบส้มตำปลาร้า ไก่ย่าง ลาบก้อย แกงพะแนง ต้มจับฉ่าย ไม่ใช่พระเอกหนังกินอะไรต้องกินตาม มันเป็นทั้งเรื่องการใช้ชีวิต การเงิน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือเป็นไปได้ผมก็ไม่ทำ เพราะพื้นฐานชีวิตมันต่างกัน เราโตมาในแบบของเรา วิถีชีวิตเรามันเป็นในแบบของเรา แหม...ผมก็อยากจะสวมหน้ากากแล้วไปบู๊เหมือนคิกแอสนะ ถ้าผมทำจริง ผมอยู่ไหน ก็อยู่เมืองไทยไง แต่ถ้าทำจริง ผมคงตายตั้งแต่วันแรกแล้ว นี่แหละคือมองในมุมที่หนังเขาบอก ก็หนังมันเป็นอเมริกันสร้าง อยู่ๆ จะให้มาบู๊ในเมืองไทย? งง ก็แค่นั้นแหละครับ คิดเป็นหนัง คิดเอาข้อดี คิดเขาความสนุก ก็จะดูหนังอย่างสนุก ไม่ใช่ว่าหนังไทย หนังฝรั่ง ถ้าดูให้สนุกมันก็คือความสุขของเรา มันเอามาใช้ในชีวิตจริงๆ ได้น้อยมาก คนบ้าอะไรจะโดดข้ามช่องตึกได้ คิดแค่นี้มันก็คือหนัง คือความบันเทิง คือความสุขของคนที่ได้ไปเสพ ไปผ่อนคลายจากการทำงาน ความเครียด แล้วถ้าตั้งคำถามแบบ จขกท. เทคโนโลยีที่เราใช้อยู่เนี่ย ต้นกำเนิดมันก็มาจากฝรั่งซะเกือบ 100% ไม่ใช่หรือ? มันก็มีทั้งผลดีและผลเสีย อยู่ที่เราจะเลือกใช้แบบไหน เหมือนโทรศัพท์สักเครื่อง เราซื้อเพื่อใช้งานมันก็คือประโยชน์ ก็แค่นั้นแหละ อยู่ที่เราจับประเด็นหรือต้องการประโยชน์จากมันขนาดไหน?
ดีใจนะที่ จขกท. คิดแบบนี้ มันก็ปลุกจิตสำนึกได้ดี แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้าน โลกเราหมุนไป เราก็ต้องหมุนตาม แต่เรื่องแบบนี้คงไม่ต้องยกคำพูดนี้มาเปรียบเปรยก็ได้มั้งถ้าคิดได้พอ ด้วยความเป็นเรา วัฒนธรรมผ่านแผ่นฟิล์มนี้อาจจะมีอิทธิพลในเรื่องความคิดบ้าง (ความคิดพัฒนาในเรื่องเทคนิคการทำหนัง หรือใครจะอินขนาดแต่งตัวเป็นแคปหรือพี่ซุปไปใช้ชีวิตจริงๆ ก็แล้วแต่ ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน) แต่มันก็เปลี่ยนเราไม่ได้หรอกครับ วิถีชีวิตเรายังเหมือนเดิม เรายังเป็นคนไทย เรายังอยู่แบบประเทศกำลังพัฒนา (จริงมั้ยเนี่ย?) มันก็แค่สื่อความบันเทิง ไม่ได้เปลี่ยนให้เราอยากเกณฑ์ทหารไปรบเพื่อเขา หรือกินจังค์ฟู้ดเพื่อให้เขารวยขึ้นๆ ซึ่งค่านิยมแบบนั้นแทบจะไม่ได้มาจากหนังเลย นอกจากวัยรุ่นที่พอใจจับจ่ายสิ้นเปลืองแบบนั้น มันจะไปห้ามก็ไม่ได้นอกจากบอกผลดีผลเสีย ความสุขของคนดูหนังก็คือ หนึ่งสัปดาห์มีหนังที่ถูกใจและอยากดูสักเรื่องสองเรื่อง หรือใครมีทุนทรัพย์อยากดูมากกว่านั้น ก็นั่นแหละตรรกะของคนรักหนังครับ
อยากให้ จขกท. คิดใหม่ แล้วดูหนังให้สนุกเถอะครับ อย่าคิดมากเลย เราก็ยังเป็นเราวันยังค่ำ
ถ้ามีความคิดเอง โตและเรียนรู้ชีวิต ก็จะแยกได้ว่าอันไหนคือมายา อันไหนคือเรื่องจริง ขอให้สิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นนี้สะท้อนกับคนดูหนังทุกคนเถอะ
ผมเข้าใจตรรกะ จขกท. นะ แต่มันสุดโต่งไปมั้ย? คนรักหนัง เสพหนังจริงๆ แยกแยะออก ยิ่งคนดูมาตั้งแต่ยุค 70 80 90 ยิ่งจบเลย ไม่มีคิดมาก เพราะหนังฮอลลีวูดเขาสร้างมาตรฐานของเขามาตั้งแต่ตอนนั้น เราก็ตกเป็นสาวกเขาจริงๆ แต่มันเกี่ยวกันไหมในเรื่องการใช้ชีวิต ไม่เลย ตอนเด็กๆ ดูอาจจะอยากเป็นฮีโร่ อยากเป็นไรเดอร์ ซึ่งก็ไม่ต่างจากฝั่งญี่ปุ่น ถ้าเรามองในแง่ดี สิ่งนี้ก็คือสิ่งจรรโลงใจให้คนทำดี ไม่ใช่หรือ? สิ่งที่หนังหรือการ์ตูนสอนก็คือให้เป็นฮีโร่ ช่วยเหลือคน เพราะมีหน้ากากคนอื่นจะได้ไม่เดือดร้อน โดยเฉพาะคนใกล้ตัว ซึ่งมันก็จริง บางทีความจริงอยู่ยาก การปิดบังอยู่ง่าย มันก็แค่นั้น ดูหนังคิดให้เป็น มันไม่มีปัญหาแน่นอน
ผมไม่เคยรักอเมริกา เพราะอายุปูนนี้ ก็รู้ๆ อยู่ชาติเขามีลับลมคมในขนาดไหน เอาเปรียบชาติอื่นขนาดไหน เขาเป็นชาติมหาอำนาจ มันต้องผลประโยชน์อยู่แล้ว บางทีทำทุเรศและค้านสายตาด้วย ซึ่งดาราหรือคนทำหนังยุคนี้เขาก็คงไม่เอาประเด็นมาใส่หัวหรอก นอกจากว่าจะทำอย่างไรให้หนังเขาขายได้ ให้ได้รับคำวิจารณ์หรือผลตอบรับที่ดี แต่ถ้าถามว่ามีอคติกับหนังไหม ไม่มี เพราะมันคนละส่วน มันคือธุรกิจ เขาสร้างหนังของเขา ก็ต้องขายคนของเขาเป็นหลัก มันชัดเจน แต่ตลาดมันใหญ่แล้วคนชอบเพราะด้วยเทคนิคเขามันพัฒนาไปไกล ความเป็นเทคโนโลยี มันโดนใจคนดู เขาพัฒนาส่วนนี้เพื่อขายเพื่อธุรกิจ แล้วต้องยอมรับ เขาทำมันได้ดีกว่าชาติอื่นๆ ถ้าจะมองในแบบ จขกท. ไม่คิดหรือว่า คนอ่อนโยน จิตใจดีแบบแคปหรือแบ็ทแมนถ้ามาอยู่ในเมืองไทยจะไม่ช่วยเหลือเรา ก็แน่ล่ะ ถ้าเครื่องบินใครคนใดคนหนึ่งตกมาบ้านเราแล้วเราขอให้ช่วย ยังไงคนแบบ 2 คนนี้หรือ 2 ตัวละครนี้ก็ต้องช่วย อย่างน้อยไปเจออาชญากรกำลังรีดไถคน 2 ตัวละครนี้ต้องต้องเผือกอย่างแน่นอน นี่แหละคือประเด็นหลักที่เขาต้องการสื่อ การ์ตูนพวกนี้เกิดก่อนผมอีก อาจจะมีบ้างที่อิงชาตินิยม แต่ถ้าเราไม่ใช่อเมริกัน เราไม่รู้หรอก เราไม่อิน (ถ้าจะอินกับบทมันก็อยู่แค่ในจอสี่เหลี่ยม) มันไกลตัว เรามองแค่พวกเขาเป็นคนดีที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง โดยเฉพาะบรูซกับแคปเนี่ยชัดเจนที่สุดจาก 2 ค่ายแล้ว เรื่องประเด็นชาตินิยมหลังๆ เขาก็ไม่เน้นด้วยซ้ำ เน้นเอฟเฟกต์กับบทมากกว่า มันต่างจากฉบับการ์ตูนที่ขายให้คนหลงไหลในชาติเพื่อให้ไปรบจริงๆ ซึ่งมันเก่าไปแล้ว แต่ถามว่าการ์ตูนจะมีอิทธิพลกับคนที่ไปรบ เอาชีวิตไปเสี่ยงไหม แม้แต่ในชาติเขาเอง ตอบเลยว่ามี แต่น้อยมาก คนยังไงก็กลัวตาย ไหนจะครอบครัว คนรัก นอกจากคนแกร่งตัดสินใจแล้วว่าจะเอาแบบนี้ ซึ่งตรรกะนี้คนไทยสมัยก่อนก็มี ถามว่ามีหนังให้ดูมั้ย หนังไทยก็มี มีในประวัติศาสตร์จริงๆ ด้วยซ้ำ
เข้าใจ จขกท. ว่าเรายอมรับง่ายไป แต่ถามว่ายอมรับอะไร วัฒนธรรมเขาหรือเทคนิคการสร้างหนัง สรุป สิ่งที่เรายอมรับและคนไปดูหนังก็คือบทและเทคนิคการสร้าง จขกท. เคยถามใจคนจริงๆ เหมือนผมหรือไม่ว่า ชอบดูหนังฝรั่งเพราะอะไร? ก็เพราะมันถึงกว่า มันสนุกกว่า หนังไทยนานๆ จะมีสักเรื่องแทรกมา แต่ถ้าดูหนังฝรั่งแล้วผมต้องกินจังค์ฟู้ด ต้องพูดแบบฝรั่ง ต้องใช้ชีวิตแบบฝรั่งมั้ย? ตอบเลยว่าไม่ ผมเป็นคนไทย ชอบส้มตำปลาร้า ไก่ย่าง ลาบก้อย แกงพะแนง ต้มจับฉ่าย ไม่ใช่พระเอกหนังกินอะไรต้องกินตาม มันเป็นทั้งเรื่องการใช้ชีวิต การเงิน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือเป็นไปได้ผมก็ไม่ทำ เพราะพื้นฐานชีวิตมันต่างกัน เราโตมาในแบบของเรา วิถีชีวิตเรามันเป็นในแบบของเรา แหม...ผมก็อยากจะสวมหน้ากากแล้วไปบู๊เหมือนคิกแอสนะ ถ้าผมทำจริง ผมอยู่ไหน ก็อยู่เมืองไทยไง แต่ถ้าทำจริง ผมคงตายตั้งแต่วันแรกแล้ว นี่แหละคือมองในมุมที่หนังเขาบอก ก็หนังมันเป็นอเมริกันสร้าง อยู่ๆ จะให้มาบู๊ในเมืองไทย? งง ก็แค่นั้นแหละครับ คิดเป็นหนัง คิดเอาข้อดี คิดเขาความสนุก ก็จะดูหนังอย่างสนุก ไม่ใช่ว่าหนังไทย หนังฝรั่ง ถ้าดูให้สนุกมันก็คือความสุขของเรา มันเอามาใช้ในชีวิตจริงๆ ได้น้อยมาก คนบ้าอะไรจะโดดข้ามช่องตึกได้ คิดแค่นี้มันก็คือหนัง คือความบันเทิง คือความสุขของคนที่ได้ไปเสพ ไปผ่อนคลายจากการทำงาน ความเครียด แล้วถ้าตั้งคำถามแบบ จขกท. เทคโนโลยีที่เราใช้อยู่เนี่ย ต้นกำเนิดมันก็มาจากฝรั่งซะเกือบ 100% ไม่ใช่หรือ? มันก็มีทั้งผลดีและผลเสีย อยู่ที่เราจะเลือกใช้แบบไหน เหมือนโทรศัพท์สักเครื่อง เราซื้อเพื่อใช้งานมันก็คือประโยชน์ ก็แค่นั้นแหละ อยู่ที่เราจับประเด็นหรือต้องการประโยชน์จากมันขนาดไหน?
ดีใจนะที่ จขกท. คิดแบบนี้ มันก็ปลุกจิตสำนึกได้ดี แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้าน โลกเราหมุนไป เราก็ต้องหมุนตาม แต่เรื่องแบบนี้คงไม่ต้องยกคำพูดนี้มาเปรียบเปรยก็ได้มั้งถ้าคิดได้พอ ด้วยความเป็นเรา วัฒนธรรมผ่านแผ่นฟิล์มนี้อาจจะมีอิทธิพลในเรื่องความคิดบ้าง (ความคิดพัฒนาในเรื่องเทคนิคการทำหนัง หรือใครจะอินขนาดแต่งตัวเป็นแคปหรือพี่ซุปไปใช้ชีวิตจริงๆ ก็แล้วแต่ ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน) แต่มันก็เปลี่ยนเราไม่ได้หรอกครับ วิถีชีวิตเรายังเหมือนเดิม เรายังเป็นคนไทย เรายังอยู่แบบประเทศกำลังพัฒนา (จริงมั้ยเนี่ย?) มันก็แค่สื่อความบันเทิง ไม่ได้เปลี่ยนให้เราอยากเกณฑ์ทหารไปรบเพื่อเขา หรือกินจังค์ฟู้ดเพื่อให้เขารวยขึ้นๆ ซึ่งค่านิยมแบบนั้นแทบจะไม่ได้มาจากหนังเลย นอกจากวัยรุ่นที่พอใจจับจ่ายสิ้นเปลืองแบบนั้น มันจะไปห้ามก็ไม่ได้นอกจากบอกผลดีผลเสีย ความสุขของคนดูหนังก็คือ หนึ่งสัปดาห์มีหนังที่ถูกใจและอยากดูสักเรื่องสองเรื่อง หรือใครมีทุนทรัพย์อยากดูมากกว่านั้น ก็นั่นแหละตรรกะของคนรักหนังครับ
อยากให้ จขกท. คิดใหม่ แล้วดูหนังให้สนุกเถอะครับ อย่าคิดมากเลย เราก็ยังเป็นเราวันยังค่ำ
สุดยอดความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
Captain America เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของคนอเมริกัน แล้วทำไมคนไทยต้องไปดูไปเชียร์ฮีโร่ประเทศเขาด้วย?
ซุปเปอร์ฮีโร่ของอเมริกา โดยอเมริกา เพื่ออเมริกา ถ้าอเมริกามีสงครามกับไทย กับตันอเมริกาคงจะช่วยประเทศอเมริกามาถล่มไทยด้วยซ้ำ ทำไมต้องไปเชียร์ฮีโร่ของประเทศเขาด้วยครับ เราเป็นเมืองขึ้นสหรัฐตั้งแต่เมื่อไร?