การอ่านจากตำราหรือการฟังจากคนอื่นแล้วจำได้ ยังไม่ใช่การเห็นแจ้ง
การเอาสิ่งที่จำได้มาคิดหาเหตุผลจนเข้าใจอย่างแจ้งชัด ก็ยังไม่ใช่การเห็นแจ้ง
จะต้องเอาสิ่งที่เข้าใจนั้นมาเพ่ง (ด้วยสมาธิ) ดูมันอย่างต่อเนื่องจนซาบซึ้งถึงความจริงของสิ่งนั้น จึงจะเป็นการเห็นแจ้งที่แท้จริง
อย่างเช่น เมื่อเรามีความรักในสิ่งใด ถ้าเราไม่มีสติ เราก็จะรู้สึกเฉพาะเวลาที่เรารัก คือจะรู้สึกว่าความรักนี้เที่ยง เราจึงรู้สึกว่าเราจะรัก เราจะพอใจ เราจะให้อภัย เราจะยอม เป็นต้น อย่างนี้ตลอดไปไม่แปรเปลี่ยน แต่พอนานเข้าความรักก็เปลี่ยนไป (ตามธรรมชาติ) เป็นไม่รัก (คือชัง หรือโกรธ เกลียด) เราก็จะรู้สึกเฉพาะเวลาที่เราไม่รัก คือจะรู้สึกว่าความไม่รักนี้เที่ยง ดังนั้นเราจึงเกิดความโกรธ เกลียด หรือไม่ยอม ไม่ให้อภัยเพราะรู้สึกว่าจะไม่มีวันกลับมารักได้อีก แต่ถ้าเรามีสติอยู่ตลอดเวลา เราก็จะรู้สึกได้ถึงทั้งเวลาที่เรารักและเวลาที่เราไม่รักอย่างต่อเนื่องกัน ก็จะทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (หรือซาบซึ้งด้วยจิตจริงๆ) ว่า ความรักนี้มันไม่เที่ยง มีการเกิดและดับ ความรักทำให้เกิดความทุกข์ เพราะความรักไม่ใช่สิ่งอมตะ แล้วจิตก็จะเบื่อหน่าย (ไม่มีทั้งความยินดีและยินร้าย) ในความรัก เมื่อเบื่อหน่ายก็จะหลุดพ้น (อยู่เหนืออำนาจความรัก) เมื่อหลุดพ้นก็จะนิพพาน (สงบเย็น - แม้เพียงชั่วคราวตราบเท่าที่จิตยังมีสติ สมาธิ และปัญญาเช่นนี้อยู่)
หรืออย่างเช่น ถ้าเรามีสติอยู่ตลอดทั้งวันได้ เราก็จะรู้สึกถึงความรู้สึกของจิตใจเราว่าแม้ในสภาพเดิม (เช่นคนเดิม หรือสภานที่เดิมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง) ช่วงเวลาหนึ่งมันมีความรู้สึกสุข แต่ไม่นานมันก็เปลี่ยนไปเป็นมีความรู้สึกไม่สุข-ไม่ทุกข์(จืดๆ)แทน และไม่นานมันก็เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกทุกข์แทน และมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามความไม่เที่ยงของจิต ซึ่งก็จะทำให้จิตของเราซาบซึ้ง (เห็นแจ้งหรือเห็นจริง) ถึงความไม่เที่ยงของความรู้สึกของจิต แล้วเกิดความเบื่อหน่าย (คือเบื่อหน่ายทั้งในความสุข, ในความไม่สุข-ไม่ทุกข์, และในความทุกข์) และไม่ยินดี-ยินร้ายในความรู้สึกทั้งหลายที่ไม่เที่ยงนี้ เพราะเห็นความไร้สาระ ความยึดถือเอาไว้ตามใจเราไม่ได้ และเห็นถึงการทำให้จิตเกิดความทุกข์ในความรู้สึกทั้งหลายของจิต เมื่อเบื่อหน่าย ก็นิพพาน (แม้เพียงชั่วคราวตราบเท่าที่จิตยังมีสติ สมาธิ และปัญญาเช่นนี้อยู่)
วิธีปฏิบัติเพื่อให้เห็นอนิจจังในชีวิตจริง
การเอาสิ่งที่จำได้มาคิดหาเหตุผลจนเข้าใจอย่างแจ้งชัด ก็ยังไม่ใช่การเห็นแจ้ง
จะต้องเอาสิ่งที่เข้าใจนั้นมาเพ่ง (ด้วยสมาธิ) ดูมันอย่างต่อเนื่องจนซาบซึ้งถึงความจริงของสิ่งนั้น จึงจะเป็นการเห็นแจ้งที่แท้จริง
อย่างเช่น เมื่อเรามีความรักในสิ่งใด ถ้าเราไม่มีสติ เราก็จะรู้สึกเฉพาะเวลาที่เรารัก คือจะรู้สึกว่าความรักนี้เที่ยง เราจึงรู้สึกว่าเราจะรัก เราจะพอใจ เราจะให้อภัย เราจะยอม เป็นต้น อย่างนี้ตลอดไปไม่แปรเปลี่ยน แต่พอนานเข้าความรักก็เปลี่ยนไป (ตามธรรมชาติ) เป็นไม่รัก (คือชัง หรือโกรธ เกลียด) เราก็จะรู้สึกเฉพาะเวลาที่เราไม่รัก คือจะรู้สึกว่าความไม่รักนี้เที่ยง ดังนั้นเราจึงเกิดความโกรธ เกลียด หรือไม่ยอม ไม่ให้อภัยเพราะรู้สึกว่าจะไม่มีวันกลับมารักได้อีก แต่ถ้าเรามีสติอยู่ตลอดเวลา เราก็จะรู้สึกได้ถึงทั้งเวลาที่เรารักและเวลาที่เราไม่รักอย่างต่อเนื่องกัน ก็จะทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (หรือซาบซึ้งด้วยจิตจริงๆ) ว่า ความรักนี้มันไม่เที่ยง มีการเกิดและดับ ความรักทำให้เกิดความทุกข์ เพราะความรักไม่ใช่สิ่งอมตะ แล้วจิตก็จะเบื่อหน่าย (ไม่มีทั้งความยินดีและยินร้าย) ในความรัก เมื่อเบื่อหน่ายก็จะหลุดพ้น (อยู่เหนืออำนาจความรัก) เมื่อหลุดพ้นก็จะนิพพาน (สงบเย็น - แม้เพียงชั่วคราวตราบเท่าที่จิตยังมีสติ สมาธิ และปัญญาเช่นนี้อยู่)
หรืออย่างเช่น ถ้าเรามีสติอยู่ตลอดทั้งวันได้ เราก็จะรู้สึกถึงความรู้สึกของจิตใจเราว่าแม้ในสภาพเดิม (เช่นคนเดิม หรือสภานที่เดิมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง) ช่วงเวลาหนึ่งมันมีความรู้สึกสุข แต่ไม่นานมันก็เปลี่ยนไปเป็นมีความรู้สึกไม่สุข-ไม่ทุกข์(จืดๆ)แทน และไม่นานมันก็เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกทุกข์แทน และมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามความไม่เที่ยงของจิต ซึ่งก็จะทำให้จิตของเราซาบซึ้ง (เห็นแจ้งหรือเห็นจริง) ถึงความไม่เที่ยงของความรู้สึกของจิต แล้วเกิดความเบื่อหน่าย (คือเบื่อหน่ายทั้งในความสุข, ในความไม่สุข-ไม่ทุกข์, และในความทุกข์) และไม่ยินดี-ยินร้ายในความรู้สึกทั้งหลายที่ไม่เที่ยงนี้ เพราะเห็นความไร้สาระ ความยึดถือเอาไว้ตามใจเราไม่ได้ และเห็นถึงการทำให้จิตเกิดความทุกข์ในความรู้สึกทั้งหลายของจิต เมื่อเบื่อหน่าย ก็นิพพาน (แม้เพียงชั่วคราวตราบเท่าที่จิตยังมีสติ สมาธิ และปัญญาเช่นนี้อยู่)