โดย ธีระ ภู่ตระกูล CFP® นายก สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
สถิติมักจะแสดงว่า โดยเฉลี่ย ร้อยละ 80 ของนักลงทุนจะขาดทุนในระยะยาว เนื่องจากพวกเขาจะเป็นศัตรูที่ดุร้ายที่สุดของตัวเอง แต่พวกเขามักจะไม่ยอมรับหรือไม่รู้ถึงความเชื่อนี้ ด้านล่างจะเป็นบาปมหันต์เจ็ดข้อที่จะทำให้นักลงทุนผิดหวัง
โลกีย์ (Lust) ห้ามใจเมื่อมีใครชักจุงไปสู่การลงทุนระยะสั้น ในโลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ความต้องการที่ได้ผลตอบแทนอย่างรวดเร็วจึงมีมากเช่นกัน ความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกำไรเป็นสิ่งชักจุงให้นักลงทุนเสี่ยงในการเดาช่วงเวลา (market timing) ของการลงทุน – ซึ่งโดยมากจะเดาผิดและได้ผลลัพท์ที่แย่มาก – หรือไม่ก็เข้าไปในลงทุนในสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจ โดยมักจะเข้าไปช้ากว่าคนอื่น ช้าไปกว่าช่วงทำกำไร ในเวลาเดียวกัน ความหิวโหยที่จะต้องทำกำไร จะผลักดันให้นักลงทุนสั่งขายหุ้นหรือหน่วยลงทุนก่อนที่หุ้นหรือหน่วยลงทุนเหล่านั้นจะมีมูลค่าที่ดี การที่นักลงทุนโลภน้อยลง พยายามมองตลาดในระยะยาว เป็นปี ไม่ใช่มองเป็นสัปดาห์ จะทำให้นักลงทุนดังกล่าวได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว
ความตะกละ(Gluttony)ข้อมูลน้อยมักจะทำให้เราได้ผลตอบแทนมากกว่าในโลกที่มีข้อมูลล้นหลาม ทำให้คนเรามักจะเปิดรับข้อมูลมากเกินไป แต่การวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจำนวนมาก ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์แบบง่ายๆ แต่ยังรักษาวินัย สามารถนำไปสู่ผลลัพท์ที่มีประสิทธิผลมากกว่า ตัวอย่างคือ เมื่อพยายามจะเปรียบเทียบหลักทรัพย์ต่างๆ วิธีวิเคราะห์ที่ง่ายที่สุดคือการประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและการเจริญเติบโตของหลักทรัพย์ดังกล่าว การมีวินัยที่จะคัดกรองข้อมูลหรือคลื่นรบกวนอื่นๆ จากตลาด จะทำให้นักลงทุนสามารถหักห้ามใจที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการประเมินของพวกเขาทุกครั้งที่มีสิ่งชักจุงใหม่ๆ เข้ามา หลายคนเสียเงินเป็นจำนวนมากเมื่อฟองสบู่ของตลาด dot.com แตก เนื่องจากนักลงทุนเหล่านั้น เลือกที่จะลงทุนตามคนอื่น แทนที่จะมีวินัยในการประเมินหน่วยลงทุนดังกล่าวจากข้อมูลและบัญชีของบริษัทนั้นๆ
โลภ (Greed) หากทุกคนลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าว สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ คืออย่าไปลงทุนตามพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น ตราสารทุน ตราสารหนี้ หรืออสิงหาริมทรัพย์ การแห่ลงทุนมักจะเป็นสัญญาเตือนที่ดีที่สุดสำหรับ นักลงทุน ช่วงเวลาที่ประเภทหลักทรัพย์ดังกล่าวกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับช่วงที่นักลงทุนมักจะแห่ลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าว โดยไม่คำนึงถึงราคา ควรจะเป็นช่วงเวลาที่คุณหลีกเลี่ยงมากที่สุด (หรือเป็นช่วงเวลาที่ควรตัดสินใจขายอย่างเงียบๆ) ในทางกลับกัน ในช่วงเวลาที่ตลาดดูตกต่ำมาก จะเป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับนักลงทุนที่ฉลาด และขยันเลือก ที่จะตัดสินใจซื้อ และสามารถอธิบายเหตุผลได้ว่าทำไมถึงซื้อ ไม่ว่าคุณจะลงทุนที่ไหนก็ตาม ลงทุนด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
ขี้เกียจ (Sloth) ไม่มีทางลัดในการลงทุน การลงทุนเป็นสิ่งที่ง่ายมาก แต่การเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังลงทุนเป็นคนละเรื่องกันเลย คุณควรจะเลือกลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจเท่านั้น ในบางมุมมอง ความขี้เกียจอาจจะเป็นบาปที่มีข้อดีบ้าง หากคุณเลือกธุรกิจที่จะลงทุนอย่างถูกต้อง บางครั้งปล่อยให้ธุรกิจดังกล่าวขยายตัวต่อไป โดยไม่ต้องจับตามองตลอดหรือซื้อขายอย่างไร้เหตุผล อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด คำสอนของนิทานเรื่องนี้คือ อย่าขี้เกียจในการทำวิเคราะห์สถานะของธุรกิจหรือหุ้นดังกล่าว แต่ควรจะปล่อยวางเมื่อคุณได้ตัดสินใจในระยะยาวที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
โมโห (Wrath) การกระจายการลงทุนให้เหมาะสม เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณสบายใจ แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน
ความไม่แน่นอนของตลาดเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก การเลือกที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง แต่เป็นหลักทรัพย์ที่มีความเกี่ยวพันธ์กันน้อย ย่อมเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องการลงทุนของคุณ
อิจฉาริษยา (Envy) ในการจัดทำพอร์ทการลงทุน อาจเป็นสิ่งที่ดีหากคุณไม่มองดัชนีของตลาด แต่อาจเลือกที่จะลงทุนในธุรกิจหรือหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากที่สุดเมื่อเทียบกับระดับของความเสี่ยง หลักการดังกล่าว ทำให้คุณมีเสรีในการเลือกลงทุนในสิ่งที่คุณชอบมากที่สุด – โดยไม่มีความจำเป็นที่ต้องถือหุ้นดังกล่าวเนื่องจากดัชนีของหุ้นดังกล่าว
หยิ่งยโส (Pride) ความมั่นใจที่สูงเกินมักจะมาก่อนการตกต่ำเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมีความมั่นใจในตัวเองที่สูงเกินไป นิตยสารทางวิชาการด้านจิตวิทยาฉบับหนึ่ง เผยว่า ร้อยละ 93 ของผู้ขับขี่ชาวอเมริกันมักจะมองตัวเองว่า เป็นผู้ขับขี่ที่ดีกว่าคนอื่น ธรรมชาติของการที่จะมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป มักจะเป็นปัจจัยที่เลวร้ายที่สุดสำหรับนักลงทุน เนื่องจากจะนำไปสู่การตัดสินใจโดยมีข้อมูลไม่เพียงพอหรือเหมาะสม มีความมั่นใจในความแม่นยำของคำทำนายมากเกินไป และเชื่อมั่นตัวเองว่าจะไม่ตกหลุมเดียวกับนักลงทุนอื่นๆ ไม่ว่าคุณมองว่าคุณมีความมั่นใจมากน้อยเพียงใด คุณควรจะใช้เวลามองตัวเองถึงความเป็นไปได้ที่ความคิด และการตัดสินใจของคุณอาจผิดพลาดได้ แทนที่จะใช้เวลาพยายามค้นหาข้อมูลมาสนับสนุนว่าการตัดสินใจของคุณถูกต้องแล้ว การกระทำเช่นนี้ จะนำคุณไปสู่ผลตอบแทนที่ดีขึ้น
บาปมหัส7ประการของนักลงทุน
สถิติมักจะแสดงว่า โดยเฉลี่ย ร้อยละ 80 ของนักลงทุนจะขาดทุนในระยะยาว เนื่องจากพวกเขาจะเป็นศัตรูที่ดุร้ายที่สุดของตัวเอง แต่พวกเขามักจะไม่ยอมรับหรือไม่รู้ถึงความเชื่อนี้ ด้านล่างจะเป็นบาปมหันต์เจ็ดข้อที่จะทำให้นักลงทุนผิดหวัง
โลกีย์ (Lust) ห้ามใจเมื่อมีใครชักจุงไปสู่การลงทุนระยะสั้น ในโลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ความต้องการที่ได้ผลตอบแทนอย่างรวดเร็วจึงมีมากเช่นกัน ความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกำไรเป็นสิ่งชักจุงให้นักลงทุนเสี่ยงในการเดาช่วงเวลา (market timing) ของการลงทุน – ซึ่งโดยมากจะเดาผิดและได้ผลลัพท์ที่แย่มาก – หรือไม่ก็เข้าไปในลงทุนในสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจ โดยมักจะเข้าไปช้ากว่าคนอื่น ช้าไปกว่าช่วงทำกำไร ในเวลาเดียวกัน ความหิวโหยที่จะต้องทำกำไร จะผลักดันให้นักลงทุนสั่งขายหุ้นหรือหน่วยลงทุนก่อนที่หุ้นหรือหน่วยลงทุนเหล่านั้นจะมีมูลค่าที่ดี การที่นักลงทุนโลภน้อยลง พยายามมองตลาดในระยะยาว เป็นปี ไม่ใช่มองเป็นสัปดาห์ จะทำให้นักลงทุนดังกล่าวได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว
ความตะกละ(Gluttony)ข้อมูลน้อยมักจะทำให้เราได้ผลตอบแทนมากกว่าในโลกที่มีข้อมูลล้นหลาม ทำให้คนเรามักจะเปิดรับข้อมูลมากเกินไป แต่การวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจำนวนมาก ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์แบบง่ายๆ แต่ยังรักษาวินัย สามารถนำไปสู่ผลลัพท์ที่มีประสิทธิผลมากกว่า ตัวอย่างคือ เมื่อพยายามจะเปรียบเทียบหลักทรัพย์ต่างๆ วิธีวิเคราะห์ที่ง่ายที่สุดคือการประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและการเจริญเติบโตของหลักทรัพย์ดังกล่าว การมีวินัยที่จะคัดกรองข้อมูลหรือคลื่นรบกวนอื่นๆ จากตลาด จะทำให้นักลงทุนสามารถหักห้ามใจที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการประเมินของพวกเขาทุกครั้งที่มีสิ่งชักจุงใหม่ๆ เข้ามา หลายคนเสียเงินเป็นจำนวนมากเมื่อฟองสบู่ของตลาด dot.com แตก เนื่องจากนักลงทุนเหล่านั้น เลือกที่จะลงทุนตามคนอื่น แทนที่จะมีวินัยในการประเมินหน่วยลงทุนดังกล่าวจากข้อมูลและบัญชีของบริษัทนั้นๆ
โลภ (Greed) หากทุกคนลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าว สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ คืออย่าไปลงทุนตามพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น ตราสารทุน ตราสารหนี้ หรืออสิงหาริมทรัพย์ การแห่ลงทุนมักจะเป็นสัญญาเตือนที่ดีที่สุดสำหรับ นักลงทุน ช่วงเวลาที่ประเภทหลักทรัพย์ดังกล่าวกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับช่วงที่นักลงทุนมักจะแห่ลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าว โดยไม่คำนึงถึงราคา ควรจะเป็นช่วงเวลาที่คุณหลีกเลี่ยงมากที่สุด (หรือเป็นช่วงเวลาที่ควรตัดสินใจขายอย่างเงียบๆ) ในทางกลับกัน ในช่วงเวลาที่ตลาดดูตกต่ำมาก จะเป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับนักลงทุนที่ฉลาด และขยันเลือก ที่จะตัดสินใจซื้อ และสามารถอธิบายเหตุผลได้ว่าทำไมถึงซื้อ ไม่ว่าคุณจะลงทุนที่ไหนก็ตาม ลงทุนด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
ขี้เกียจ (Sloth) ไม่มีทางลัดในการลงทุน การลงทุนเป็นสิ่งที่ง่ายมาก แต่การเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังลงทุนเป็นคนละเรื่องกันเลย คุณควรจะเลือกลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจเท่านั้น ในบางมุมมอง ความขี้เกียจอาจจะเป็นบาปที่มีข้อดีบ้าง หากคุณเลือกธุรกิจที่จะลงทุนอย่างถูกต้อง บางครั้งปล่อยให้ธุรกิจดังกล่าวขยายตัวต่อไป โดยไม่ต้องจับตามองตลอดหรือซื้อขายอย่างไร้เหตุผล อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด คำสอนของนิทานเรื่องนี้คือ อย่าขี้เกียจในการทำวิเคราะห์สถานะของธุรกิจหรือหุ้นดังกล่าว แต่ควรจะปล่อยวางเมื่อคุณได้ตัดสินใจในระยะยาวที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
โมโห (Wrath) การกระจายการลงทุนให้เหมาะสม เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณสบายใจ แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน
ความไม่แน่นอนของตลาดเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก การเลือกที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง แต่เป็นหลักทรัพย์ที่มีความเกี่ยวพันธ์กันน้อย ย่อมเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องการลงทุนของคุณ
อิจฉาริษยา (Envy) ในการจัดทำพอร์ทการลงทุน อาจเป็นสิ่งที่ดีหากคุณไม่มองดัชนีของตลาด แต่อาจเลือกที่จะลงทุนในธุรกิจหรือหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากที่สุดเมื่อเทียบกับระดับของความเสี่ยง หลักการดังกล่าว ทำให้คุณมีเสรีในการเลือกลงทุนในสิ่งที่คุณชอบมากที่สุด – โดยไม่มีความจำเป็นที่ต้องถือหุ้นดังกล่าวเนื่องจากดัชนีของหุ้นดังกล่าว
หยิ่งยโส (Pride) ความมั่นใจที่สูงเกินมักจะมาก่อนการตกต่ำเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมีความมั่นใจในตัวเองที่สูงเกินไป นิตยสารทางวิชาการด้านจิตวิทยาฉบับหนึ่ง เผยว่า ร้อยละ 93 ของผู้ขับขี่ชาวอเมริกันมักจะมองตัวเองว่า เป็นผู้ขับขี่ที่ดีกว่าคนอื่น ธรรมชาติของการที่จะมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป มักจะเป็นปัจจัยที่เลวร้ายที่สุดสำหรับนักลงทุน เนื่องจากจะนำไปสู่การตัดสินใจโดยมีข้อมูลไม่เพียงพอหรือเหมาะสม มีความมั่นใจในความแม่นยำของคำทำนายมากเกินไป และเชื่อมั่นตัวเองว่าจะไม่ตกหลุมเดียวกับนักลงทุนอื่นๆ ไม่ว่าคุณมองว่าคุณมีความมั่นใจมากน้อยเพียงใด คุณควรจะใช้เวลามองตัวเองถึงความเป็นไปได้ที่ความคิด และการตัดสินใจของคุณอาจผิดพลาดได้ แทนที่จะใช้เวลาพยายามค้นหาข้อมูลมาสนับสนุนว่าการตัดสินใจของคุณถูกต้องแล้ว การกระทำเช่นนี้ จะนำคุณไปสู่ผลตอบแทนที่ดีขึ้น