เอาล่ะ หลังจากออกจากโรงพยาบาลคราวก่อน ก็มีนัดที่ศิริราช ก็เลยบอกหมอว่า มี attack ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งหมอก็จะซักอาการ ว่าเป็นยังไง ให้ยาไปกี่วัน เพราะทางศิริราชจะต้องจดรายละเอียดต่างๆไว้ (เพราะคราวที่แล้ว admit ที่คามิลเลี่ยน) ทีนี้หมอก็เลยนัดอีกทีอีก 1 เดือน คราวนี้ปรับยากิน Azathioprine เจ้ายากดภูมิตัวนี้ จากเดิมวันละ 1 เม็ด เป็นวันละ 2 เม็ด เจ้ายากดภูมิตัวนี้ ไม่ใช่ยารักษา แต่เป็นยาที่ใช้เพื่อช่วยระงับอาการ attack เท่านั้น แล้วเจ้าตัวนี้ก็ยังมีผลกับเกล็ดเลือดขาวด้วย นี่เลยเป็นเหตุผลที่หมอจะให้เจาะเลือดทุกครั้งที่มีนัด เพื่อดูเกล็ดเลือดขาว ซึ่งถ้าต่ำเกินไป ก็จะต้องปรับยาตัวนี้กันใหม่
ถ้าอาการคงที่แล้ว หมอก็จะเปลี่ยนจากนัด 1 เดือน เป็นทุก 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน ซึ่งครั้งนี้เวลาผ่านไปกี่เดือน จำไม่ได้แฮะ จนอยู่ดีๆวันนึงรู้สึกแปลกๆอีกแระ ขาเริ่มหนักๆ แต่มือยังมีกำลังปกติ ก็เลยบอกหม่าม๊า สรุปก็รีบไปขอใบส่งตัว คราวนี้หนักหนาสาหัสกว่าทุกที อาการ attack ก็มาเร็วมาก ภายในเวลาแค่ 1-2 วัน จากวันที่รู้สึกขาหนักๆ ก็เริ่มยกขาไม่ขึ้น คือนั่งแล้วลุกไม่ขึ้น พอได้ใบส่งตัว ก็รีบไปศิริราช คราวนี้พอไปถึง ต้องให้เจ้าหน้าที่มาอุ้มลงจากรถ แล้วนั่ง wheelchair แระ เพราะเริ่มยืนไม่อยู่แล้วเนี่ยสิ (เฮ่อ....จะหนักไปมั๊ยเนี่ย)
พอเจอหมอ หมอก็ให้ admit ทันทีเหมือนเดิม แต่คราวนี้หมอบอกกลับไป admit ที่คามิลเลี่ยนดีกว่านะ เพราะหมอไม่อยากให้อยู่ห้องรวม หมอกลัวจะติดเชื้อ หมอก็เขียนใบสั่งพร้อมรายละเอียดการให้ยา พอกลับไปถึงคามิลเลี่ยน คราวนี้เดินไม่ได้ ยืนก็ไม่อยู่แระ เจ้าหน้าที่ต้องมาอุ้มลงจากรถ นั่ง wheelchair แล้วก็เอาใบสั่ง admit ให้หมอ หมอก็จับเข้าห้องฉุกเฉินก่อน เจาะเลือด เปิดเส้นเพื่อให้ยา จัดการเรื่องห้อง พอได้ห้องก็ขึ้นห้องพักแล้วก็ให้ยาเลย ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 6 โมงเย็นแระ (เพราะกว่าจะออกจากศิริราชก็เกือบ 5 โมงเข้าไปแล้ว)
ขึ้นไปที่ห้อง ก็ให้ยาสเตียรอยด์เหมือนเดิม คราวนี้หมอสั่งให้ให้ 5 วัน (เพราะอาการหนักเอาการอยู่) ตอนอยู่ที่นี่หมอทาง Neuro ก็มาดูอาการทุกวัน แต่คราวนี้อาการหนักมากกกกกก เพราะที่บอกว่าขารู้สึกหนักๆ ทำให้ยกขาเองไม่ขึ้นเลย นอนอยู่บนเตียงคนไข้ พูดง่ายๆว่า ถ้าลุกแล้วลงจากเตียงเมื่อไหร่ ก็คือล้มลงไปกองกับพื้นนั่นแหละ เพราะคราวนี้แค่ยืน ก็ยืนไม่อยู่ นอนก็ยกขาไม่ขึ้น เหมือนท่อนไม้ท่อนนึงประมาณนั้นล่ะ ทุกวันพยาบาลก็จะเข้ามาถามอาการ แล้วให้ลองยกขาให้ดู ทั้ง 2 ข้างยกไม่ขึ้นเลย นั่งบนเตียงก็หงายหลัง พูดง่ายๆคือ ต้องมีที่พิงถึงจะนั่งได้
หลังจากให้ยาวันละขวด 5 วันก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ให้มากกว่านี้ไม่ได้แระ แต่ตอนนั้นก็ยังยกขาเองไม่ได้ ยังยืนไม่อยู่ นั่งก็หงายหลัง คือทรงตัวไม่อยู่เลย หมอเลยยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล คราวนี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยนอกจากทานข้าวเอง เพราะแขนยังมีกำลังอยู่ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ หม่าม๊ามาเฝ้าทุกวัน เช้ากลับไปบ้านทำนู่นนี่นั่น ตอนเย็นก็กลับมาเฝ้า เฮ่อ....ไม่อยากคิดเลยว่า หม่าม๊าจะเหนื่อยมากแค่ไหน คราวนี้อยู่โรงพยาบาล 2 อาทิตย์ ก็ยังไม่ดีขึ้น ทุกวันพยาบาลต้องเข้ามาเช็ดตัวให้ เพราะยังยืนไม่ได้ เฮ่อ......หนักหนาจริงๆเที่ยวนี้ อ้อ....ครั้งนี้นักกายภาพ มาทำกายภาพให้ที่ห้องพัก เพราะนั่งยังไม่อยู่เลย
พอครบ 2 อาทิตย์ ขายกขึ้นนิดหน่อย น่าจะยกขึ้นสัก 1 ฝ่ามือ แต่ก็ยังนั่งไม่อยู่อยู่ดี หมอก็ให้กลับบ้าน พร้อมยากิน (Methylprednisolone) ให้มากินอีก 2 อาทิตย์ วันที่ออกจากโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ต้องมาอุ้มลงจากเตียง นั่งบน wheelchair พอกลับมาอยู่บ้าน น้องชายก็ให้ขี่คอพาขึ้นมาบนห้อง ก็ต้องอยู่แต่ในห้องนอน เพราะยังยืนไม่อยู่ ทำอะไรไม่ได้ อาบน้ำเองก็ไม่ได้ หม่าม๊าก็เลยต้องทำให้ทุกอย่าง ทั้งเช็ดตัว ทำกับข้าว ยกมาให้กิน เราก็พยายามยืนให้ได้ โดยเริ่มจากการทำกายภาพตามที่นักกายภาพสอน ก็จะมีนอนยกขา ยกแขนท่าต่างๆ แล้วก็พยายามยืนเกาะโต๊ะก่อน แล้วค่อยๆเริ่มปล่อยมือ เริ่มพยายามลองนั่งแบบไม่พิง ทำแบบนี้ทุกวันเพื่อให้ฟื้นตัวให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เฮ่อ....คราวนี้ใช้เวลาฟื้นตัวนานมากกกกกก กว่าจะเริ่มกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ น่าจะใช้เวลาอยู่ 2-3 เดือนได้
(555 ในที่สุดก็ผ่านมาหมดแระ ทั้งเขียนหนังสือไม่ได้ ต้องเริ่มหัดเขียนใหม่ ทั้งนั่ง ยืนและเดินไม่ได้ ตาดำเขออก ตาดับไปข้างนึง เฮ่อ...แต่จะยังไงก็เถอะ เราก็จะสู้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม)
รอบนี้พอเริ่มที่จะกลับมาเดินได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร แค่นี้ยังไม่พอ ยังส่งผลกระทบให้ปวดซี่โครง ที่ปวดตลอดเวลา แบบใช้ยาทาหรือกินยา ก็ช่วยไม่ได้ ไหนจะอาการเดินเซเป็นงู โดยเฉพาะเวลาขาล้านี่ ก้าวจะไม่ออกเอา บางทีถ้าล้ามากๆ ยืดตัวยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
หลังจากออกจากโรงพยาบาล หมอที่ศิริราชมีนัดหลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์ เพื่อดูความคืบหน้าของอาการ แล้วก็เว้นเป็น 1 เดือนอยู่น่าจะ 2 ครั้ง พออาการเริ่มดีขึ้น ก็ค่อยเปลี่ยนเป็น 3 เดือน
ทุกวันนี้เลยต้องกินยาเยอะมากกกกก อ้อ.....เจ้า Aza ทำให้เกล็ดเลือดขาวต่ำเหลือแค่ 2200 ซึ่งปกติต้องไม่ต่ำกว่า 4400 หมอก็เลยปรับยาเหลือวันละ 1.5 เม็ด แล้วก็ยาอื่นที่ช่วยบรรเทาเรื่องอาการปวด อาการชา อาการกระตุก ทำให้ทุกวันนี้ต้องทานยาตอนเช้าวันละ 7 เม็ด ตอนเย็น 5 เม็ด แล้วก็ทำกายภาพบำบัดช่วยเรื่องการทรงตัว ซึ่งนักกายภาพบอกว่าจะทำได้ตามกำลังที่เรามี ห้ามฝืนหรือทำมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ล้าและเกิดอาการ attack ได้
แต่ที่สำคัญคือ ช่วงที่เริ่มจะพอเดินได้ น่าจะ 2 ปีที่แล้ว อยู่ดีๆวันนึงหม่าม๊าก็ไม่ยอมลุกจากที่นอน ซึ่งปกติจะเป็นคนที่ตื่นเช้ามากกกกก เราก็เข้าไปปลุก เค้าก็ไม่ยอมลุก ก็พยายามฉุดให้ลุก พยายามดึงเค้าลงมาข้างล่าง 2 คนแม่ลูก คนนึงก็กำลังขายังไม่ดี อีกคนก็ไม่ยอมลง ลงมาถึงข้างล่าง เค้าก็ลงนอนอีก แล้วก็ดูเพ้อๆเบลอๆ เอาล่ะสิ....ยังไงล่ะทีนี้ ก็เลยโทรหาอากู๋ให้มาช่วยพาไปโรงพยาบาล ตลอดทั้งวันหม่าม๊าดูเหมือนไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่ ให้เปลี่ยนเสื้อ ก็ไม่ยอม ต้องเปลี่ยนให้
พอไปโรงพยาบาลน้าไม่ให้เราไป ให้น้องชายไป หมอก็ให้หม่าม๊า admit เลย หมอบอกว่าติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นสมอง ต้องให้ยาฆ่าเชื้อนานหน่อย น่าจะเดือนนึง ตอนอยู่ที่คามิลเลี่ยน หม่าม๊ายังรู้ตัวดี ยังคุยได้ปกติ แล้วบังเอิญว่าหมอที่ดูเคสหม่าม๊าก็เป็นหมอเดียวกับที่ดูเคสให้เราด้วย วันที่ไปเยี่ยมหม่าม๊า ยังเจอคุณหมอ คุณหมอก็จำเราได้ ก็เลยอธิบายอาการของหม่าม๊าให้ฟัง ซึ่งระหว่างที่อยู่ที่คามิลเลี่ยน ใครไปเยี่ยมก็จำได้หมด พูดรู้เรื่อง จะมีก็แต่อาการไข้ขึ้นๆลงๆ ซึ่งเท่าที่เราคุยกับหมอ หมอบอกว่าไม่น่าเป็นห่วง เพียงแต่ต้องให้ยาประมาณเดือนนึงเท่านั้น (หมอคนนี้เป็นคนที่พูดตรงๆ ถ้าน่าเป็นห่วงก็จะบอกตรงๆ หรืออาการเป็นยังไง ก็จะพูดตรงๆเหมือนกัน เพราะเหตุนี้เลยไม่มีใครคาดคิดว่าหม่าม๊าจะจากไปโดยที่เราไม่ได้เจอท่านอีกเลย) วันที่ 5 ก็ย้ายไปโรงพยาบาลตำรวจ เพราะสิทธิของเค้าอยู่ที่นั่น แต่หมอที่คามิลเลี่ยนก็เขียนรายละเอียดการตรวจและการรักษาของคนไข้ให้ไปด้วย พอไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ปรากฏว่าพอวันที่ 2 หรือ 3 เนี่ยแหละ หมอก็บอกน้องว่าคนไข้มีน้ำในสมอง ต้องเจาะสมองเอาน้ำออก แล้วก็ให้อ๊อกซิเจนตั้งแต่วันนั้น แล้วน้องก็บอกว่า หม่าม๊าไม่รู้สึกตัวเลย จะแค่มองเฉยๆเวลาไปเยี่ยม ซึ่งตั้งแต่ย้ายไปที่นั่น ทางนั้นก็ไม่ให้เราไปเยี่ยม เพราะยังอยู่ห้องรวม พยาบาลบอกว่าไม่ได้ เพราะเรากินยากดภูมิต้านทานอยู่ เราก็จะถามอาการจากน้องทุกวัน ปรากฏว่าอาการของหม่าม๊าทรุดลงเรื่อยๆ จนวันที่ 4 เราก็โทรไปที่โรงพยาบาลตำรวจ คุยกับพยาบาล ถามอาการแล้วก็บอกว่าเราจะไปเยี่ยม แล้วก็จะขอคุยกับหมอด้วย พยาบาลบอกว่าถ้าจะมาเยี่ยมและคุยกับหมอ ต้องมาให้พร้อมกันนะ หมายถึงเรา น้องแล้วก็ญาติๆ ไม่ใช่มาทีละคน สองคนไม่ได้นะ (เราก็เอ๊ะ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ) แต่อารมณ์นั้นก็เออออไปตามนั้น อ้อ....ช่วงระหว่างที่หม่าม๊าอยู่โรงพยาบาล น้องชายก็เตรียมตัวบวชให้เค้า ก็ต้องไปหาพระที่วัดด้วย ไปโรงพยาบาลด้วย แต่ปรากฏว่าวันที่ 5 (วันรุ่งขึ้น) ตอนเช้าน้องก็จะไปคุยกับพระ เสร็จแล้วก็จะไปเยี่ยมหม่าม๊า น้องบอกว่าระหว่างทางไปวัด ที่โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าหม่าม๊าเสียชีวิต ซึ่งตามปกติทางโรงพยาบาลควรจะต้องโทรมาบอกตั้งแต่หม่าม๊าอาการไม่ดีแล้วหรือเปล่า จริงๆน่าจะโทรมาบอกตั้งแต่ก่อนปั๊มหัวใจด้วยซ้ำ เฮ่อ....ขอบอกว่าจนบัดนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าหม่าม๊าเสียชีวิตเพราะอะไร เพราะหมอไม่บอกอะไรเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ตามปกติหมอควรจะบอกหรือป่าว ว่าคุณแม่เสียเพราะอะไร ทำไม อย่างไร???
หลังจากที่หม่าม๊าเสีย เราก็ไปทำกายภาพ ซึ่งตอนนั้นพอเดินได้แล้ว แต่ก็เดินแบบเซๆอยู่บ้าง ก็เจอคุณหมอ หมอยังถามถึงหม่าม๊าว่าเป็นยังไงบ้าง ย้ายไปที่นู่น ก็เลยบอกคุณหมอว่าหม่าม๊าเสียแล้ว หมอทำหน้าแบบตกใจมากกกก แล้วก็ถามว่าทำไม ยังไง ที่นั่นเค้ารักษายังไง (เฮ่อ...จนบัดนี้ก็ยังคาใจอยู่ ก็ได้แต่ถือว่าท่านเหนื่อยมามากแล้ว ก็ให้ท่านได้พักผ่อนดีกว่าเนอะ)
เฮ่อ.....พอแระ มีแต่เรื่องเศร้าเนาะ พอดีกว่า เอาไว้ต่อตอนหน้าดีกว่าเนอะ ว่าแต่ครั้งนี้ก็เป็นการ attack ครั้งที่ 5 แล้วสิเนี่ย จะมีใครบ่อยแล้วก็จัดเต็มแบบนี้บ้างป่าวน๊าาาา อิอิ....เป็นครั้งสุดท้ายของตั้งแต่เป็นมาจนถึงตอนนี้อ่ะจ้า
เอาเถอะ ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป แต่คราวนี้จะพยายามไม่ให้มาเยือนอีกเลย หรือไม่ก็นานๆๆๆๆๆๆ ค่อยมาใหม่ก็ได้นะจ๊ะ (ถึงจะห้ามไม่ได้ก็เถอะนะ)
เจ้า NMO มาเยือนเป็นครั้งที่ 5 มาแบบจัดหนัก และจัดเต็มเลยนะเนี่ย
ถ้าอาการคงที่แล้ว หมอก็จะเปลี่ยนจากนัด 1 เดือน เป็นทุก 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน ซึ่งครั้งนี้เวลาผ่านไปกี่เดือน จำไม่ได้แฮะ จนอยู่ดีๆวันนึงรู้สึกแปลกๆอีกแระ ขาเริ่มหนักๆ แต่มือยังมีกำลังปกติ ก็เลยบอกหม่าม๊า สรุปก็รีบไปขอใบส่งตัว คราวนี้หนักหนาสาหัสกว่าทุกที อาการ attack ก็มาเร็วมาก ภายในเวลาแค่ 1-2 วัน จากวันที่รู้สึกขาหนักๆ ก็เริ่มยกขาไม่ขึ้น คือนั่งแล้วลุกไม่ขึ้น พอได้ใบส่งตัว ก็รีบไปศิริราช คราวนี้พอไปถึง ต้องให้เจ้าหน้าที่มาอุ้มลงจากรถ แล้วนั่ง wheelchair แระ เพราะเริ่มยืนไม่อยู่แล้วเนี่ยสิ (เฮ่อ....จะหนักไปมั๊ยเนี่ย)
พอเจอหมอ หมอก็ให้ admit ทันทีเหมือนเดิม แต่คราวนี้หมอบอกกลับไป admit ที่คามิลเลี่ยนดีกว่านะ เพราะหมอไม่อยากให้อยู่ห้องรวม หมอกลัวจะติดเชื้อ หมอก็เขียนใบสั่งพร้อมรายละเอียดการให้ยา พอกลับไปถึงคามิลเลี่ยน คราวนี้เดินไม่ได้ ยืนก็ไม่อยู่แระ เจ้าหน้าที่ต้องมาอุ้มลงจากรถ นั่ง wheelchair แล้วก็เอาใบสั่ง admit ให้หมอ หมอก็จับเข้าห้องฉุกเฉินก่อน เจาะเลือด เปิดเส้นเพื่อให้ยา จัดการเรื่องห้อง พอได้ห้องก็ขึ้นห้องพักแล้วก็ให้ยาเลย ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 6 โมงเย็นแระ (เพราะกว่าจะออกจากศิริราชก็เกือบ 5 โมงเข้าไปแล้ว)
ขึ้นไปที่ห้อง ก็ให้ยาสเตียรอยด์เหมือนเดิม คราวนี้หมอสั่งให้ให้ 5 วัน (เพราะอาการหนักเอาการอยู่) ตอนอยู่ที่นี่หมอทาง Neuro ก็มาดูอาการทุกวัน แต่คราวนี้อาการหนักมากกกกกก เพราะที่บอกว่าขารู้สึกหนักๆ ทำให้ยกขาเองไม่ขึ้นเลย นอนอยู่บนเตียงคนไข้ พูดง่ายๆว่า ถ้าลุกแล้วลงจากเตียงเมื่อไหร่ ก็คือล้มลงไปกองกับพื้นนั่นแหละ เพราะคราวนี้แค่ยืน ก็ยืนไม่อยู่ นอนก็ยกขาไม่ขึ้น เหมือนท่อนไม้ท่อนนึงประมาณนั้นล่ะ ทุกวันพยาบาลก็จะเข้ามาถามอาการ แล้วให้ลองยกขาให้ดู ทั้ง 2 ข้างยกไม่ขึ้นเลย นั่งบนเตียงก็หงายหลัง พูดง่ายๆคือ ต้องมีที่พิงถึงจะนั่งได้
หลังจากให้ยาวันละขวด 5 วันก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ให้มากกว่านี้ไม่ได้แระ แต่ตอนนั้นก็ยังยกขาเองไม่ได้ ยังยืนไม่อยู่ นั่งก็หงายหลัง คือทรงตัวไม่อยู่เลย หมอเลยยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล คราวนี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยนอกจากทานข้าวเอง เพราะแขนยังมีกำลังอยู่ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ หม่าม๊ามาเฝ้าทุกวัน เช้ากลับไปบ้านทำนู่นนี่นั่น ตอนเย็นก็กลับมาเฝ้า เฮ่อ....ไม่อยากคิดเลยว่า หม่าม๊าจะเหนื่อยมากแค่ไหน คราวนี้อยู่โรงพยาบาล 2 อาทิตย์ ก็ยังไม่ดีขึ้น ทุกวันพยาบาลต้องเข้ามาเช็ดตัวให้ เพราะยังยืนไม่ได้ เฮ่อ......หนักหนาจริงๆเที่ยวนี้ อ้อ....ครั้งนี้นักกายภาพ มาทำกายภาพให้ที่ห้องพัก เพราะนั่งยังไม่อยู่เลย
พอครบ 2 อาทิตย์ ขายกขึ้นนิดหน่อย น่าจะยกขึ้นสัก 1 ฝ่ามือ แต่ก็ยังนั่งไม่อยู่อยู่ดี หมอก็ให้กลับบ้าน พร้อมยากิน (Methylprednisolone) ให้มากินอีก 2 อาทิตย์ วันที่ออกจากโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ต้องมาอุ้มลงจากเตียง นั่งบน wheelchair พอกลับมาอยู่บ้าน น้องชายก็ให้ขี่คอพาขึ้นมาบนห้อง ก็ต้องอยู่แต่ในห้องนอน เพราะยังยืนไม่อยู่ ทำอะไรไม่ได้ อาบน้ำเองก็ไม่ได้ หม่าม๊าก็เลยต้องทำให้ทุกอย่าง ทั้งเช็ดตัว ทำกับข้าว ยกมาให้กิน เราก็พยายามยืนให้ได้ โดยเริ่มจากการทำกายภาพตามที่นักกายภาพสอน ก็จะมีนอนยกขา ยกแขนท่าต่างๆ แล้วก็พยายามยืนเกาะโต๊ะก่อน แล้วค่อยๆเริ่มปล่อยมือ เริ่มพยายามลองนั่งแบบไม่พิง ทำแบบนี้ทุกวันเพื่อให้ฟื้นตัวให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เฮ่อ....คราวนี้ใช้เวลาฟื้นตัวนานมากกกกกก กว่าจะเริ่มกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ น่าจะใช้เวลาอยู่ 2-3 เดือนได้
(555 ในที่สุดก็ผ่านมาหมดแระ ทั้งเขียนหนังสือไม่ได้ ต้องเริ่มหัดเขียนใหม่ ทั้งนั่ง ยืนและเดินไม่ได้ ตาดำเขออก ตาดับไปข้างนึง เฮ่อ...แต่จะยังไงก็เถอะ เราก็จะสู้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม)
รอบนี้พอเริ่มที่จะกลับมาเดินได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร แค่นี้ยังไม่พอ ยังส่งผลกระทบให้ปวดซี่โครง ที่ปวดตลอดเวลา แบบใช้ยาทาหรือกินยา ก็ช่วยไม่ได้ ไหนจะอาการเดินเซเป็นงู โดยเฉพาะเวลาขาล้านี่ ก้าวจะไม่ออกเอา บางทีถ้าล้ามากๆ ยืดตัวยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
หลังจากออกจากโรงพยาบาล หมอที่ศิริราชมีนัดหลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์ เพื่อดูความคืบหน้าของอาการ แล้วก็เว้นเป็น 1 เดือนอยู่น่าจะ 2 ครั้ง พออาการเริ่มดีขึ้น ก็ค่อยเปลี่ยนเป็น 3 เดือน
ทุกวันนี้เลยต้องกินยาเยอะมากกกกก อ้อ.....เจ้า Aza ทำให้เกล็ดเลือดขาวต่ำเหลือแค่ 2200 ซึ่งปกติต้องไม่ต่ำกว่า 4400 หมอก็เลยปรับยาเหลือวันละ 1.5 เม็ด แล้วก็ยาอื่นที่ช่วยบรรเทาเรื่องอาการปวด อาการชา อาการกระตุก ทำให้ทุกวันนี้ต้องทานยาตอนเช้าวันละ 7 เม็ด ตอนเย็น 5 เม็ด แล้วก็ทำกายภาพบำบัดช่วยเรื่องการทรงตัว ซึ่งนักกายภาพบอกว่าจะทำได้ตามกำลังที่เรามี ห้ามฝืนหรือทำมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ล้าและเกิดอาการ attack ได้
แต่ที่สำคัญคือ ช่วงที่เริ่มจะพอเดินได้ น่าจะ 2 ปีที่แล้ว อยู่ดีๆวันนึงหม่าม๊าก็ไม่ยอมลุกจากที่นอน ซึ่งปกติจะเป็นคนที่ตื่นเช้ามากกกกก เราก็เข้าไปปลุก เค้าก็ไม่ยอมลุก ก็พยายามฉุดให้ลุก พยายามดึงเค้าลงมาข้างล่าง 2 คนแม่ลูก คนนึงก็กำลังขายังไม่ดี อีกคนก็ไม่ยอมลง ลงมาถึงข้างล่าง เค้าก็ลงนอนอีก แล้วก็ดูเพ้อๆเบลอๆ เอาล่ะสิ....ยังไงล่ะทีนี้ ก็เลยโทรหาอากู๋ให้มาช่วยพาไปโรงพยาบาล ตลอดทั้งวันหม่าม๊าดูเหมือนไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่ ให้เปลี่ยนเสื้อ ก็ไม่ยอม ต้องเปลี่ยนให้
พอไปโรงพยาบาลน้าไม่ให้เราไป ให้น้องชายไป หมอก็ให้หม่าม๊า admit เลย หมอบอกว่าติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นสมอง ต้องให้ยาฆ่าเชื้อนานหน่อย น่าจะเดือนนึง ตอนอยู่ที่คามิลเลี่ยน หม่าม๊ายังรู้ตัวดี ยังคุยได้ปกติ แล้วบังเอิญว่าหมอที่ดูเคสหม่าม๊าก็เป็นหมอเดียวกับที่ดูเคสให้เราด้วย วันที่ไปเยี่ยมหม่าม๊า ยังเจอคุณหมอ คุณหมอก็จำเราได้ ก็เลยอธิบายอาการของหม่าม๊าให้ฟัง ซึ่งระหว่างที่อยู่ที่คามิลเลี่ยน ใครไปเยี่ยมก็จำได้หมด พูดรู้เรื่อง จะมีก็แต่อาการไข้ขึ้นๆลงๆ ซึ่งเท่าที่เราคุยกับหมอ หมอบอกว่าไม่น่าเป็นห่วง เพียงแต่ต้องให้ยาประมาณเดือนนึงเท่านั้น (หมอคนนี้เป็นคนที่พูดตรงๆ ถ้าน่าเป็นห่วงก็จะบอกตรงๆ หรืออาการเป็นยังไง ก็จะพูดตรงๆเหมือนกัน เพราะเหตุนี้เลยไม่มีใครคาดคิดว่าหม่าม๊าจะจากไปโดยที่เราไม่ได้เจอท่านอีกเลย) วันที่ 5 ก็ย้ายไปโรงพยาบาลตำรวจ เพราะสิทธิของเค้าอยู่ที่นั่น แต่หมอที่คามิลเลี่ยนก็เขียนรายละเอียดการตรวจและการรักษาของคนไข้ให้ไปด้วย พอไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ปรากฏว่าพอวันที่ 2 หรือ 3 เนี่ยแหละ หมอก็บอกน้องว่าคนไข้มีน้ำในสมอง ต้องเจาะสมองเอาน้ำออก แล้วก็ให้อ๊อกซิเจนตั้งแต่วันนั้น แล้วน้องก็บอกว่า หม่าม๊าไม่รู้สึกตัวเลย จะแค่มองเฉยๆเวลาไปเยี่ยม ซึ่งตั้งแต่ย้ายไปที่นั่น ทางนั้นก็ไม่ให้เราไปเยี่ยม เพราะยังอยู่ห้องรวม พยาบาลบอกว่าไม่ได้ เพราะเรากินยากดภูมิต้านทานอยู่ เราก็จะถามอาการจากน้องทุกวัน ปรากฏว่าอาการของหม่าม๊าทรุดลงเรื่อยๆ จนวันที่ 4 เราก็โทรไปที่โรงพยาบาลตำรวจ คุยกับพยาบาล ถามอาการแล้วก็บอกว่าเราจะไปเยี่ยม แล้วก็จะขอคุยกับหมอด้วย พยาบาลบอกว่าถ้าจะมาเยี่ยมและคุยกับหมอ ต้องมาให้พร้อมกันนะ หมายถึงเรา น้องแล้วก็ญาติๆ ไม่ใช่มาทีละคน สองคนไม่ได้นะ (เราก็เอ๊ะ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ) แต่อารมณ์นั้นก็เออออไปตามนั้น อ้อ....ช่วงระหว่างที่หม่าม๊าอยู่โรงพยาบาล น้องชายก็เตรียมตัวบวชให้เค้า ก็ต้องไปหาพระที่วัดด้วย ไปโรงพยาบาลด้วย แต่ปรากฏว่าวันที่ 5 (วันรุ่งขึ้น) ตอนเช้าน้องก็จะไปคุยกับพระ เสร็จแล้วก็จะไปเยี่ยมหม่าม๊า น้องบอกว่าระหว่างทางไปวัด ที่โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าหม่าม๊าเสียชีวิต ซึ่งตามปกติทางโรงพยาบาลควรจะต้องโทรมาบอกตั้งแต่หม่าม๊าอาการไม่ดีแล้วหรือเปล่า จริงๆน่าจะโทรมาบอกตั้งแต่ก่อนปั๊มหัวใจด้วยซ้ำ เฮ่อ....ขอบอกว่าจนบัดนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าหม่าม๊าเสียชีวิตเพราะอะไร เพราะหมอไม่บอกอะไรเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ตามปกติหมอควรจะบอกหรือป่าว ว่าคุณแม่เสียเพราะอะไร ทำไม อย่างไร???
หลังจากที่หม่าม๊าเสีย เราก็ไปทำกายภาพ ซึ่งตอนนั้นพอเดินได้แล้ว แต่ก็เดินแบบเซๆอยู่บ้าง ก็เจอคุณหมอ หมอยังถามถึงหม่าม๊าว่าเป็นยังไงบ้าง ย้ายไปที่นู่น ก็เลยบอกคุณหมอว่าหม่าม๊าเสียแล้ว หมอทำหน้าแบบตกใจมากกกก แล้วก็ถามว่าทำไม ยังไง ที่นั่นเค้ารักษายังไง (เฮ่อ...จนบัดนี้ก็ยังคาใจอยู่ ก็ได้แต่ถือว่าท่านเหนื่อยมามากแล้ว ก็ให้ท่านได้พักผ่อนดีกว่าเนอะ)
เฮ่อ.....พอแระ มีแต่เรื่องเศร้าเนาะ พอดีกว่า เอาไว้ต่อตอนหน้าดีกว่าเนอะ ว่าแต่ครั้งนี้ก็เป็นการ attack ครั้งที่ 5 แล้วสิเนี่ย จะมีใครบ่อยแล้วก็จัดเต็มแบบนี้บ้างป่าวน๊าาาา อิอิ....เป็นครั้งสุดท้ายของตั้งแต่เป็นมาจนถึงตอนนี้อ่ะจ้า
เอาเถอะ ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป แต่คราวนี้จะพยายามไม่ให้มาเยือนอีกเลย หรือไม่ก็นานๆๆๆๆๆๆ ค่อยมาใหม่ก็ได้นะจ๊ะ (ถึงจะห้ามไม่ได้ก็เถอะนะ)