การปฏิบัติแย่งจิตจากกิเลส
เกิดดับ และ วิปัสสนา
�����
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
-------------------
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์ พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล
ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้ว่า จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมนำให้เกิดบาปวิบัติ ยิ่งไปกว่าบาปวิบัติภัยอันตราย ที่โจรจะพึงกระทำให้แก่โจร
หรือว่าที่คนมีเวรจะกระทำให้แก่คนมีเวร ดั่งนี้ เพราะฉะนั้นการตั้งจิตไว้ผิดจึงมีโทษมาก ส่วนการตั้งจิตไว้ถูกย่อมให้คุณอนันต์ตรงกันข้าม
ฉะนั้น เมื่อได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้มีโอกาสศึกษาปฏิบัติพระพุทธศาสนา จึงสมควรที่จะรักษาจิตใจของตน อย่าให้ตั้งไว้ผิด
แต่ให้ตั้งไว้ถูกอยู่เป็นนิจ
อันจิตที่ตั้งไว้ผิดนั้นย่อมมีได้ตั้งแต่ผิดน้อยจนถึงผิดมาก การตั้งจิตไว้ผิดน้อยๆก็อาจจะมีอยู่แก่ผู้ที่ยังมีกิเลส ยังละกิเลสไม่ได้
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งยังปฏิบัติให้มีสติให้มีปัญญาที่จะรักษาตน รักษาจิตใจให้เพียงพอมิได้
ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอบรมสติพร้อมทั้งปัญญา ให้มีรักษาตนอยู่ให้เพียงพอ โดยตรงก็คือรักษาจิตนี้เองให้เพียงพอ
มิให้กิเลสนำไปในทางที่ผิดได้
อันผิดหรือถูกนั้นทุกคนผู้ที่ได้รับการอบรมมาโดยลำดับ จากมารดาบิดา จากครูอาจารย์ จนถึงจากพระพุทธเจ้า
ก็ย่อมจะมีความรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกกันอยู่พอสมควร เรียกว่าความรู้นั้นก็มีกันอยู่ แต่ว่าถ้าเป็นสักแต่ว่ารู้เพราะมิได้ปฏิบัติ ดั่งนี้
ความรู้นั้นก็ไม่ให้ประโยชน์อะไรมาก และบางทีความรู้นั้นทำให้บังเกิดทิฏฐิมานะ ไม่ยอมรับคำแนะนำตักเตือนที่ถูกที่ชอบ
เพราะมีความดื้อดึงถือรั้นว่าจะทำอย่างนี้แหละใครจะว่ายังไง เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์ ความรู้นั้นกลับเป็นความรู้ที่ทำลายตนเอง
ที่ท่านเปรียบเหมือนอย่างว่า ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น
เพราะฉะนั้น จึงสมควรที่จะไม่ประมาทความรู้ แต่ว่านำความรู้มาพินิจพิจารณา เอาความรู้ที่มารดาบิดาครูบาอาจารย์พระพุทธเจ้าสั่งสอนมาพิจารณา
แต่ไม่เอาความรู้ทางอื่นมาปกปิดไว้เหนือกว่า ไม่นิยมชมชอบความรู้ทางอื่นที่ตรงกันข้าม ดั่งเช่นมารดาบิดาครูอาจารย์พระพุทธเจ้าสั่งสอน
ให้ มีกตัญญูรู้พระคุณท่านผู้มีคุณ และมีกตเวทีตอบแทนพระคุณของท่าน และก็แสดงสั่งสอนว่าใครเป็นผู้ที่มีคุณบ้าง
เช่น บิดามารดาเป็นผู้ที่มีพระคุณเป็นต้น ก็เป็นความรู้ที่ทุกคนได้มาด้วยกัน
แต่ว่าก็ยังได้ความรู้ทางอื่นที่ตรงกันข้าม เช่นที่แนะนำให้ไม่ต้องมีกตัญญูต่อมารดาบิดาเป็นต้น หรือว่าแนะนำให้เห็นคุณเป็นโทษ
คือให้เห็นว่าสิ่งที่นับถือกันมาสั่งสอนกันมาว่าเป็นคุณ ที่คนนั้นๆกระทำนั้น อันที่จริงเป็นโทษไม่เป็นคุณ นี้เป็นเรื่องของคติธรรมดา
เมื่อเป็นดังนี้หากไปรับเข้าก็จะทำให้ไม่นับถือธรรมะคือข้อความกตัญญู ดั่งนี้เป็นต้น แต่ตัวอย่างที่ยกมานี้ยังเป็นข้อที่คนโดยมากยังรับสอน
ให้มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และรู้จักพระคุณตามเป็นจริง
การปฏิบัติแย่งจิตจากกิเลส - พระธรรมเทศนา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
เกิดดับ และ วิปัสสนา
�����
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
-------------------
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์ พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล
ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้ว่า จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมนำให้เกิดบาปวิบัติ ยิ่งไปกว่าบาปวิบัติภัยอันตราย ที่โจรจะพึงกระทำให้แก่โจร
หรือว่าที่คนมีเวรจะกระทำให้แก่คนมีเวร ดั่งนี้ เพราะฉะนั้นการตั้งจิตไว้ผิดจึงมีโทษมาก ส่วนการตั้งจิตไว้ถูกย่อมให้คุณอนันต์ตรงกันข้าม
ฉะนั้น เมื่อได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้มีโอกาสศึกษาปฏิบัติพระพุทธศาสนา จึงสมควรที่จะรักษาจิตใจของตน อย่าให้ตั้งไว้ผิด
แต่ให้ตั้งไว้ถูกอยู่เป็นนิจ
อันจิตที่ตั้งไว้ผิดนั้นย่อมมีได้ตั้งแต่ผิดน้อยจนถึงผิดมาก การตั้งจิตไว้ผิดน้อยๆก็อาจจะมีอยู่แก่ผู้ที่ยังมีกิเลส ยังละกิเลสไม่ได้
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งยังปฏิบัติให้มีสติให้มีปัญญาที่จะรักษาตน รักษาจิตใจให้เพียงพอมิได้
ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอบรมสติพร้อมทั้งปัญญา ให้มีรักษาตนอยู่ให้เพียงพอ โดยตรงก็คือรักษาจิตนี้เองให้เพียงพอ
มิให้กิเลสนำไปในทางที่ผิดได้
อันผิดหรือถูกนั้นทุกคนผู้ที่ได้รับการอบรมมาโดยลำดับ จากมารดาบิดา จากครูอาจารย์ จนถึงจากพระพุทธเจ้า
ก็ย่อมจะมีความรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกกันอยู่พอสมควร เรียกว่าความรู้นั้นก็มีกันอยู่ แต่ว่าถ้าเป็นสักแต่ว่ารู้เพราะมิได้ปฏิบัติ ดั่งนี้
ความรู้นั้นก็ไม่ให้ประโยชน์อะไรมาก และบางทีความรู้นั้นทำให้บังเกิดทิฏฐิมานะ ไม่ยอมรับคำแนะนำตักเตือนที่ถูกที่ชอบ
เพราะมีความดื้อดึงถือรั้นว่าจะทำอย่างนี้แหละใครจะว่ายังไง เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์ ความรู้นั้นกลับเป็นความรู้ที่ทำลายตนเอง
ที่ท่านเปรียบเหมือนอย่างว่า ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น
เพราะฉะนั้น จึงสมควรที่จะไม่ประมาทความรู้ แต่ว่านำความรู้มาพินิจพิจารณา เอาความรู้ที่มารดาบิดาครูบาอาจารย์พระพุทธเจ้าสั่งสอนมาพิจารณา
แต่ไม่เอาความรู้ทางอื่นมาปกปิดไว้เหนือกว่า ไม่นิยมชมชอบความรู้ทางอื่นที่ตรงกันข้าม ดั่งเช่นมารดาบิดาครูอาจารย์พระพุทธเจ้าสั่งสอน
ให้ มีกตัญญูรู้พระคุณท่านผู้มีคุณ และมีกตเวทีตอบแทนพระคุณของท่าน และก็แสดงสั่งสอนว่าใครเป็นผู้ที่มีคุณบ้าง
เช่น บิดามารดาเป็นผู้ที่มีพระคุณเป็นต้น ก็เป็นความรู้ที่ทุกคนได้มาด้วยกัน
แต่ว่าก็ยังได้ความรู้ทางอื่นที่ตรงกันข้าม เช่นที่แนะนำให้ไม่ต้องมีกตัญญูต่อมารดาบิดาเป็นต้น หรือว่าแนะนำให้เห็นคุณเป็นโทษ
คือให้เห็นว่าสิ่งที่นับถือกันมาสั่งสอนกันมาว่าเป็นคุณ ที่คนนั้นๆกระทำนั้น อันที่จริงเป็นโทษไม่เป็นคุณ นี้เป็นเรื่องของคติธรรมดา
เมื่อเป็นดังนี้หากไปรับเข้าก็จะทำให้ไม่นับถือธรรมะคือข้อความกตัญญู ดั่งนี้เป็นต้น แต่ตัวอย่างที่ยกมานี้ยังเป็นข้อที่คนโดยมากยังรับสอน
ให้มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และรู้จักพระคุณตามเป็นจริง