ผมเป็น HR อยู่บริษัทนึงนะครับ ตอนนี้แทบจะทุกตำแหน่งผมต้องต้องสรรหาเฉพาะคนที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ อาจจะไม่ได้ถูกแกรมม่า 100% แต่ขอพอให้สื่อสารเข้าใจ ทั้งที่ลงประกาศงานไปเน้นยำภาษาอังกฤษ แต่ผู้สมัครหลายคนก็ส่งใบสมัครเข้ามาทั้งที่ภาษาอังกฤษสื่อสารได้น้อยมากหรือแทบไม่ได้เลย นี่ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำไมหลายคนบอกว่าส่งใบสมัครไปแต่ไม่มีเรียกสัมภาษณ์
สำหรับประสบการณ์ส่วนตัว ผมก็เป็นเด็กต่างจังหวัด ภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ใช้และให้ความสำคัญเลย สอบได้เกรด 1 ตลอด พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้ถูกจับลงหลักสูตรภาษาอังกฤษพื้นฐาน ขั้น 1 เลย ทั้งที่เพื่อนร่วมคณะหลายคนได้เรียนขั้นอื่นที่สูงกว่าหรือได้รับการยกเว้นการเรียน
วันนึงมีเพื่อนร่วมคณะชาวต่างชาติมาช่วยผมทำงานส่ง ผมเลยเขียนอีเมล์ไปว่า thank you for your massage ไม่ใช่เพราะพิมพ์ผิดแต่เพราะผมไม่รู้ว่ามันสะกดยังไง เค้าก็เลยหัวเราะใหญ่
และช่วงสุดท้ายของปี ผมได้ไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดเป็นเวลา 3 เดือน ผมก็พกดิกชันนารี เล่มนึง เปิดดูคำศัพท์ และจดคำที่เราคิดว่าได้ใช้บ่อยๆลงสมุดโน๊ต และก็ท่องทั้งเล่ม พร้อมๆ กับหัดอ่านหนังสือภาษษอังกฤษของเด็กว่าเค้าผูกประโยคยังไง หัดพูดบ่อยๆ
จนกระทั่งเรียนจบหางานไม่ได้ ด้วยความบังเอิญหรือความโชคดีมีบริษัทนึงรับคนไทยไปฝึกงานเพื่อจะเปิดสาขาคล้ายๆ bodyshop ที่บ้านเราในออสเตรเลีย ผมก็ถูกคัดเลือกไปทั้งที่ภาษาอังกฤษผมกระท่อนกระแท่นมาก
หนึ่งปีที่นั่น ผมได้เรียนรู้มากขึ้น ทั้งด้วยตัวเอง เช่น ตัดรูปจากโบรชัวร์ supermarket เหมือนท็อปส์หรือโลตัสบ้านเรา ว่าผักในรูปนี้เค้าเรียกว่าอะไร พอเราเห็นบ่อยๆก็จำได้ ดูทีวีภาษาอังกฤษฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็พยายามจำคำสนทนา และเรียนจากการทำงานที่เราต้องสื่อสารจริง
หนึ่งปีผ่านไปผมก็กลับมาที่ประเทศไทย ไม่ได้ทำงานที่นั่นต่อเนื่องจากสาเหตุบางประการในการเปิดสาขาในเมืองไทย ผมก็เริ่มหางานที่ต้องใช้ภาษาสื่อสารให้มากขึ้นในรูปแบบธุรกิจต่างๆ
จนถึงทุกวันนี้ 15 ปีผ่านไป ปัจจุบันผมทำงานกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งผมกลายเป็นหนึ่งใน 4 เสาหลักของบริษัท เมื่อมองย้อนกลับไป ผมคงเริ่มจากศูนย์จริงๆ แต่ถ้าเรามีความมุ่งมั่นและพยายามที่จะเรียนรู้ เปิดใจอย่าไปกลัวกับความไม่รู้หรือความผิดพลาด แต่นำมันกลับมาแก้ไข นั่นจะทำให้เราก้าวผ่านมันไปได้ครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคน
[CR] ขอแชร์สำหรับผู้ที่ขาดกำลังใจเรียนภาษาอังกฤษ
สำหรับประสบการณ์ส่วนตัว ผมก็เป็นเด็กต่างจังหวัด ภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ใช้และให้ความสำคัญเลย สอบได้เกรด 1 ตลอด พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้ถูกจับลงหลักสูตรภาษาอังกฤษพื้นฐาน ขั้น 1 เลย ทั้งที่เพื่อนร่วมคณะหลายคนได้เรียนขั้นอื่นที่สูงกว่าหรือได้รับการยกเว้นการเรียน
วันนึงมีเพื่อนร่วมคณะชาวต่างชาติมาช่วยผมทำงานส่ง ผมเลยเขียนอีเมล์ไปว่า thank you for your massage ไม่ใช่เพราะพิมพ์ผิดแต่เพราะผมไม่รู้ว่ามันสะกดยังไง เค้าก็เลยหัวเราะใหญ่
และช่วงสุดท้ายของปี ผมได้ไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดเป็นเวลา 3 เดือน ผมก็พกดิกชันนารี เล่มนึง เปิดดูคำศัพท์ และจดคำที่เราคิดว่าได้ใช้บ่อยๆลงสมุดโน๊ต และก็ท่องทั้งเล่ม พร้อมๆ กับหัดอ่านหนังสือภาษษอังกฤษของเด็กว่าเค้าผูกประโยคยังไง หัดพูดบ่อยๆ
จนกระทั่งเรียนจบหางานไม่ได้ ด้วยความบังเอิญหรือความโชคดีมีบริษัทนึงรับคนไทยไปฝึกงานเพื่อจะเปิดสาขาคล้ายๆ bodyshop ที่บ้านเราในออสเตรเลีย ผมก็ถูกคัดเลือกไปทั้งที่ภาษาอังกฤษผมกระท่อนกระแท่นมาก
หนึ่งปีที่นั่น ผมได้เรียนรู้มากขึ้น ทั้งด้วยตัวเอง เช่น ตัดรูปจากโบรชัวร์ supermarket เหมือนท็อปส์หรือโลตัสบ้านเรา ว่าผักในรูปนี้เค้าเรียกว่าอะไร พอเราเห็นบ่อยๆก็จำได้ ดูทีวีภาษาอังกฤษฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็พยายามจำคำสนทนา และเรียนจากการทำงานที่เราต้องสื่อสารจริง
หนึ่งปีผ่านไปผมก็กลับมาที่ประเทศไทย ไม่ได้ทำงานที่นั่นต่อเนื่องจากสาเหตุบางประการในการเปิดสาขาในเมืองไทย ผมก็เริ่มหางานที่ต้องใช้ภาษาสื่อสารให้มากขึ้นในรูปแบบธุรกิจต่างๆ
จนถึงทุกวันนี้ 15 ปีผ่านไป ปัจจุบันผมทำงานกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งผมกลายเป็นหนึ่งใน 4 เสาหลักของบริษัท เมื่อมองย้อนกลับไป ผมคงเริ่มจากศูนย์จริงๆ แต่ถ้าเรามีความมุ่งมั่นและพยายามที่จะเรียนรู้ เปิดใจอย่าไปกลัวกับความไม่รู้หรือความผิดพลาด แต่นำมันกลับมาแก้ไข นั่นจะทำให้เราก้าวผ่านมันไปได้ครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคน