สวัสดีครับ ที่ตั้งประเด็นแบบนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่อยากจะบอกว่า
"ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพไหน คุณก็เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของประเทศชาติได้"
วันนี้ผมจึงขออนุญาตเยินยอ "คุณลุงคนขับรถแท็กซี่ชาวญี่ปุ่น" หรือ "タクシードライバー ทาคุชี่ โดะไรบ้าา"
อย่างเป็นทางการครับ สุโก่ยเดสเนะ!
สาเหตุก็คือ ผมคิดว่าลุงคนขับรถแท็กซี่(ป้าก็มีนะครับ) เค้าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศญี่ปุ่นจริงๆ
ที่บริการผู้โดยสารด้วยใจไม่ว่าจะเป็นคนญี่ปุ่นหรือคนต่างชาติ มี "Service Mind อันไร้เทียมทาน"
จนผมถึงกับประทับใจมิรู้ลืมมาถึงทุกวันนี้
ยังไงหรอ??
1. เรามาดูที่เครื่องแต่งกายของลุงคนขับแทกซี่กันก่อน
แท็กซี่ของญี่ปุ่นก็จะคล้ายๆเมืองไทยตรงที่ว่า มีทั้งแท็กซี่ส่วนบุคคล และแท็กซี่บริษัท(ของเมืองไทยก็สหกรณ์นี่แหละ)
แท็กซี่เมืองไทยนั้น คนไทยเราค่อนข้างคุ้นสายตากับเครื่องแต่งกายสีฟ้า แต่ก็มีเป็นบางครั้งที่คนขับรถแท็กซี่
(โดยเฉพาะรถแท็กซี่ส่วนบุคคล) ที่แต่งกายสบายตามใจฉัน!!
เครื่องแต่งกายนั้น ผมว่าเป็นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดเลยของพนักงานขับรถแท็กซี่ เพราะว่า จะเกี่ยวข้องกับ
ความสบายใจในการโดยสารรถแท็กซี่ของผู้โดยสารโดยตรง!! ถ้าเราขึ้นแท็กซี่ เราก็อยากเจอคนขับรถแท็กซี่ที่แต่งตัวเรียบร้อย
เราจะได้โดยสารได้อย่างสบายใจไปเปราะหนึ่ง เนอะ!!
ทุกวันนี้ก็รู้ๆกันอยู่ว่า เมื่อคนประกอบอาชีพแท็กซี่เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนที่จะมีพี่คนขับรถแท็กซี่ที่ดีๆ
แต่ในกลุ่มนั้น ก็จะมีคนไม่ดีปะปนอยู่บ้าง ตามที่ได้เห็นตามข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อยู่เป็นบางครั้งว่า
คนขับรถแท็กซี่ลวงสาวไปข่มขืนบ้าง ชิงทรัพย์บ้าง ... รู้มั้ยครับคนญี่ปุ่นหลายๆคนไม่กล้านั่งแท็กซี่ก็เพราะสาเหตุเหล่านี้ล่ะครับ
ฟังมาจากความคิดเห็นของคนญี่ปุ่นหลายๆคน น่าเศร้าจัง...
ลองคิดดูถ้าขึ้นแท็กซี่แล้วเจอคนขับรถแท็กซี่ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ คุณจะรู้สึกอย่างไร??
มันก็ต้องมีหวั่นๆบ้างแหละ อย่างน้อยแต่งตัวดีๆหน่อยเรียบร้อยหน่อย จะได้ชื้นใจขึ้นมานิดนึง

สำหรับแท็กซี่ญี่ปุ่นนั้น เท่าที่เคยนั่งมา คุณลุงแท็กซี่ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อยมากๆ เรียบร้อยจนผมแปลกใจว่าเค้าปลูกฝังกันมายังไง
ที่สำคัญ คุณลุงแท็กซี่ใส่ถุงมือสีขาวด้วยครับ !! (คล้ายๆกับคนขับรถระดับ VIP limousine ส่งผู้โดยสารไปโรงแรมตามสนามบิน)
อะไรจะเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นนี้
นั่งแท็กซี่ แล้วสบายใจ๊ สบายใจ ตั้งแต่ก้าวขึ้นรถแล้วครับ

เรื่องแบบนี้อยากให้เลียนแบบครับ !!
2.การบริการ
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากของอาชีพนี้ เพราะว่าต้องเจอลูกค้ามากหน้าหลายตา
วันก่อนแอบหงุดหงิดพี่คนขับรถแท็กซี่เมืองไทยคันหนึ่ง ผมนั่งรถแท็กซี่จากบ้านเพื่อจะไปขึ้น BTS ที่วงเวียนใหญ่
ตอนแรกก็อารมณ์ดีๆแหละครับ แต่พอรถติดเท่านั้นแหละ คนขับแท็กซี่ ทำเสียงและสีหน้าไม่พอใจมาก
รวมถึงทุบพวงมาลัยเสียงดังมากอยู่หลายที... เอ่อ เป็นผู้โดยสารแท้ๆ เหมือนกลายเป็นคนผิดที่พาเค้ามาทางที่รถติด...
วันนั้นเลยอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าเลย.. (แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งนะครับ ผมไม่ได้เหมาหมด)
ในส่วนของลุงขับรถแท็กซี่ญี่ปุ่น ชนะใจผู้โดยสารอย่างผมไปโดยปริยายครับ
มีฝรั่งอีกหลายคน ที่มาญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสได้ใช้แท็กซี่ญี่ปุ่น กลับไปเขียนบทความชื่นชมแท็กซี่ญี่ปุ่นว่าเป็นแท็กซี่ระดับมืออาชีพ
ตั้งแต่ประตูอัตโนมัติด้านซ้ายหลัง ที่เปิดเพื่อต้อนรับผู้โดยสารทุกครั้ง ไม่เคยปฏิเสธผู้โดยสาร (อันนี้สำคัญมาก)
หลังจากนั้นก็สอบถามจุดหมายปลายทางที่อยากไปอย่างสุภาพอ่อนโยน และการขับรถที่ได้มาตรฐาน ไม่มีการซิ่ง
และขับรถฉวัดเฉวียนให้เป็นที่กังวลใจเลย แล้วก็ถึงจุดหมายปลายทางอย่างสวัสดิภาพ มีการออกใบเสร็จให้พร้อม

เปิดประตูต้อนรับผู้โดยสาร
แท็กซี่บางแห่ง มีการบริการผ้าเย็นไว้ให้เช็ดหน้าเช็ดตา หลังผู้โดยสารขึ้นมาบนรถด้วย
แท็กซี่บางคัน มีบริการตู้ร้องคาราโอเกะ สำหรับลูกค้าที่ชอบร้องเพลงด้วย (อันนี้ไอเดียเจ๋ง)
บางบริษัทถึงกับติดตั้งที่นวดไว้บนรถเพื่อให้ลูกค้าได้ผ่อนคลายระหว่างเดินทาง
นี่คือตัวอย่างของ Service Mind ที่คนญี่ปุ่นพยายามสรรหา เพื่อให้ผู้โดยสารได้อิ่มเอมในเวลาการเดินทางในรถแท็กซี่ของพวกเค้า
ถึงแม้บริการเหล่านี้ยังไม่แพร่หลายไปทั่วประเทศ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะพัฒนาวงการแท็กซี่ให้ดีขึ้นๆไป
เป็นแบบอย่างที่ดีมากเลยครับ !! ยกนิ้วให้
อย่างที่ผมเล่ามาข้างต้น จริงๆแล้วต้องยอมรับกันตามตรงว่า ผมไม่มีประสบการณ์นั่งแท็กซี่ในประเทศอื่นๆ
นอกจากประเทศบ้านเกิดอย่างไทยเรา และประเทศที่ผมถือเป็นบ้านหลังที่สองของผมคือญี่ปุ่น
มา Business Trip ที่ประเทศไทยทีไร วิธีการเดินทางของผมในประเทศไทย เรียงตามลำดับการใช้บริการบ่อย ก็จะเป็นเช่นนี้
1.ขับรถตัวเอง (ต้องอาศัยรถเราเองอยู่บ่อยๆ เพื่อขับไปหาลูกค้า)
2.นั่งแทกซี่ + BTS
ทุกครั้งที่ผมกลับมาไทยผมใช้บริการแท็กซี่บ่อยนะครับ อะไรๆก็ขึ้นแท็กซี่ แต่อย่าคิดว่าผมติดหรูนะครับ
เพราะเมื่อก่อนตอนผมอยู่ไทย ก่อนที่จะได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น ผมแทบไม่ขึ้นแท็กซี่เลย มีอะไรก็ขึ้นรถเมล์ครับ
ไม่ว่าจะเป็นรถฟรีภาษีประชาชน รถเมล์ทั่วไป รถเมล์ปรับอากาศ หรือรถเมล์ปรับอากาศพิเศษ
ได้ใช้บริการมาหมดแล้ว.. ยกเว้นรถเมล์เล็กสีเขียวหรือสีส้มนะ55 ไม่อยากลอง
พอโตมา กลับมาทำงานที่ประเทศไทยอีกครั้ง ได้แนวคิดใหม่ที่ว่า ..ไม่ต้องไปเสียดายเงินค่าโดยสารแท็กซี่หรอก
เพราะการเข้ามาทำงานแบบ Business Trip เวลาของเรามีจำกัดมาก แทนที่จะเสียเวลากับการที่ต้องนั่งรถเมล์และ
รถเมล์จะไปอ้อมตามเส้นทางการเดินทางของมัน เราควรจะประหยัดเวลาเหล่านั้นด้วยพาหนะการเดินทางที่เร็วกว่า
ไม่ว่าจะเป็นแทกซี่ หรือ BTS ..เพื่อจะได้มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น ..
แต่เอาจริงๆครับ ถามว่าค่าแท็กซี่ของประเทศไทยแพงมั้ย..??
ส่วนตัวผมว่าก็แพงเอาการนะ ถ้าเทียบกับเงินได้เฉลี่ยของคนไทย โดยเฉพาะถ้านั่งคนเดียวนี่แพ๊ง แพง
ตอนพวกผมเรียนรักษาดินแดง(รด.)ตอน ม.ปลาย เลยมีคอนเสป "คนนึงโบกรถแทกซี่ พอรถแทกซี่จอด เพื่อนๆที่ยืนแอบๆจำนวนทั้งสิ้น 7 คน
ก็กระโดดขึ้นรถคันเดียวกัน" พี่แท็กซี่คงช็อคเหมือนกันแหละ
แต่นะ..สมัยเด็กๆ ขึ้นแท็กซี่ทั้งที ต้องหาตัวหารมาเยอะๆ จะได้คุ้ม 555
แต่เมื่อเรามาดูสถิติที่เกี่ยวข้องจากรายการ Sekaibanduke รายการชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นในหัวข้อที่ว่า
"ประเทศไหนที่ค่าโดยสารแท็กซี่ถูกที่สุดในโลก"
โดยสถิตินี้สำรวจจากระยะทางที่แท็กซี่วิ่งได้ เมื่อใช้ค่าโดยสารจำนวน 1000 เยน (300 บาท) มาดูกันซิว่าด้วยราคานี้
ประเทศไหนจะวิ่งได้ไกลสุดๆ
แตน แตน แตน แตน แต่น แต๊น
อันดับ 1. ประเทศอินเดีย วิ่งได้ไกลสุดๆ
อันดับ 2. ประเทศไทย (แท็กซี่เราถูกอันดับสองของโลกเชียวนะ พึ่งรู้ !!)
อันดับ 3. ประเทศแม็กซิโก
ประเทศญี่ปุ่นนี่ถือว่าค่าโดยสารแพงมากครับ .. มากจริงๆเมื่อเทียบกับการคมนาคมวิธีอื่นๆ
แต่เมื่อรู้ว่าการบริการยอดเยี่ยมเช่นนี้ ก็ไม่ลังเลเลยครับ ที่จะใช้บริการบ้างเป็นบางครั้ง!
สรรเสริญกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ และอยากให้ประเทศไทยพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
ด้วยความเคารพ
Japan Salaryman
ซุปเปอร์ฮีโร่ ลุงคนขับแท็กซี่ชาวญี่ปุ่น!!
"ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพไหน คุณก็เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของประเทศชาติได้"
วันนี้ผมจึงขออนุญาตเยินยอ "คุณลุงคนขับรถแท็กซี่ชาวญี่ปุ่น" หรือ "タクシードライバー ทาคุชี่ โดะไรบ้าา"
อย่างเป็นทางการครับ สุโก่ยเดสเนะ!
สาเหตุก็คือ ผมคิดว่าลุงคนขับรถแท็กซี่(ป้าก็มีนะครับ) เค้าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศญี่ปุ่นจริงๆ
ที่บริการผู้โดยสารด้วยใจไม่ว่าจะเป็นคนญี่ปุ่นหรือคนต่างชาติ มี "Service Mind อันไร้เทียมทาน"
จนผมถึงกับประทับใจมิรู้ลืมมาถึงทุกวันนี้
ยังไงหรอ??
1. เรามาดูที่เครื่องแต่งกายของลุงคนขับแทกซี่กันก่อน
แท็กซี่ของญี่ปุ่นก็จะคล้ายๆเมืองไทยตรงที่ว่า มีทั้งแท็กซี่ส่วนบุคคล และแท็กซี่บริษัท(ของเมืองไทยก็สหกรณ์นี่แหละ)
แท็กซี่เมืองไทยนั้น คนไทยเราค่อนข้างคุ้นสายตากับเครื่องแต่งกายสีฟ้า แต่ก็มีเป็นบางครั้งที่คนขับรถแท็กซี่
(โดยเฉพาะรถแท็กซี่ส่วนบุคคล) ที่แต่งกายสบายตามใจฉัน!!
เครื่องแต่งกายนั้น ผมว่าเป็นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดเลยของพนักงานขับรถแท็กซี่ เพราะว่า จะเกี่ยวข้องกับ
ความสบายใจในการโดยสารรถแท็กซี่ของผู้โดยสารโดยตรง!! ถ้าเราขึ้นแท็กซี่ เราก็อยากเจอคนขับรถแท็กซี่ที่แต่งตัวเรียบร้อย
เราจะได้โดยสารได้อย่างสบายใจไปเปราะหนึ่ง เนอะ!!
ทุกวันนี้ก็รู้ๆกันอยู่ว่า เมื่อคนประกอบอาชีพแท็กซี่เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนที่จะมีพี่คนขับรถแท็กซี่ที่ดีๆ
แต่ในกลุ่มนั้น ก็จะมีคนไม่ดีปะปนอยู่บ้าง ตามที่ได้เห็นตามข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อยู่เป็นบางครั้งว่า
คนขับรถแท็กซี่ลวงสาวไปข่มขืนบ้าง ชิงทรัพย์บ้าง ... รู้มั้ยครับคนญี่ปุ่นหลายๆคนไม่กล้านั่งแท็กซี่ก็เพราะสาเหตุเหล่านี้ล่ะครับ
ฟังมาจากความคิดเห็นของคนญี่ปุ่นหลายๆคน น่าเศร้าจัง...
ลองคิดดูถ้าขึ้นแท็กซี่แล้วเจอคนขับรถแท็กซี่ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ คุณจะรู้สึกอย่างไร??
มันก็ต้องมีหวั่นๆบ้างแหละ อย่างน้อยแต่งตัวดีๆหน่อยเรียบร้อยหน่อย จะได้ชื้นใจขึ้นมานิดนึง
สำหรับแท็กซี่ญี่ปุ่นนั้น เท่าที่เคยนั่งมา คุณลุงแท็กซี่ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อยมากๆ เรียบร้อยจนผมแปลกใจว่าเค้าปลูกฝังกันมายังไง
ที่สำคัญ คุณลุงแท็กซี่ใส่ถุงมือสีขาวด้วยครับ !! (คล้ายๆกับคนขับรถระดับ VIP limousine ส่งผู้โดยสารไปโรงแรมตามสนามบิน)
อะไรจะเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นนี้
นั่งแท็กซี่ แล้วสบายใจ๊ สบายใจ ตั้งแต่ก้าวขึ้นรถแล้วครับ
2.การบริการ
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากของอาชีพนี้ เพราะว่าต้องเจอลูกค้ามากหน้าหลายตา
วันก่อนแอบหงุดหงิดพี่คนขับรถแท็กซี่เมืองไทยคันหนึ่ง ผมนั่งรถแท็กซี่จากบ้านเพื่อจะไปขึ้น BTS ที่วงเวียนใหญ่
ตอนแรกก็อารมณ์ดีๆแหละครับ แต่พอรถติดเท่านั้นแหละ คนขับแท็กซี่ ทำเสียงและสีหน้าไม่พอใจมาก
รวมถึงทุบพวงมาลัยเสียงดังมากอยู่หลายที... เอ่อ เป็นผู้โดยสารแท้ๆ เหมือนกลายเป็นคนผิดที่พาเค้ามาทางที่รถติด...
วันนั้นเลยอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าเลย.. (แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งนะครับ ผมไม่ได้เหมาหมด)
ในส่วนของลุงขับรถแท็กซี่ญี่ปุ่น ชนะใจผู้โดยสารอย่างผมไปโดยปริยายครับ
มีฝรั่งอีกหลายคน ที่มาญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสได้ใช้แท็กซี่ญี่ปุ่น กลับไปเขียนบทความชื่นชมแท็กซี่ญี่ปุ่นว่าเป็นแท็กซี่ระดับมืออาชีพ
ตั้งแต่ประตูอัตโนมัติด้านซ้ายหลัง ที่เปิดเพื่อต้อนรับผู้โดยสารทุกครั้ง ไม่เคยปฏิเสธผู้โดยสาร (อันนี้สำคัญมาก)
หลังจากนั้นก็สอบถามจุดหมายปลายทางที่อยากไปอย่างสุภาพอ่อนโยน และการขับรถที่ได้มาตรฐาน ไม่มีการซิ่ง
และขับรถฉวัดเฉวียนให้เป็นที่กังวลใจเลย แล้วก็ถึงจุดหมายปลายทางอย่างสวัสดิภาพ มีการออกใบเสร็จให้พร้อม
เปิดประตูต้อนรับผู้โดยสาร
แท็กซี่บางแห่ง มีการบริการผ้าเย็นไว้ให้เช็ดหน้าเช็ดตา หลังผู้โดยสารขึ้นมาบนรถด้วย
แท็กซี่บางคัน มีบริการตู้ร้องคาราโอเกะ สำหรับลูกค้าที่ชอบร้องเพลงด้วย (อันนี้ไอเดียเจ๋ง)
บางบริษัทถึงกับติดตั้งที่นวดไว้บนรถเพื่อให้ลูกค้าได้ผ่อนคลายระหว่างเดินทาง
นี่คือตัวอย่างของ Service Mind ที่คนญี่ปุ่นพยายามสรรหา เพื่อให้ผู้โดยสารได้อิ่มเอมในเวลาการเดินทางในรถแท็กซี่ของพวกเค้า
ถึงแม้บริการเหล่านี้ยังไม่แพร่หลายไปทั่วประเทศ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะพัฒนาวงการแท็กซี่ให้ดีขึ้นๆไป
เป็นแบบอย่างที่ดีมากเลยครับ !! ยกนิ้วให้
อย่างที่ผมเล่ามาข้างต้น จริงๆแล้วต้องยอมรับกันตามตรงว่า ผมไม่มีประสบการณ์นั่งแท็กซี่ในประเทศอื่นๆ
นอกจากประเทศบ้านเกิดอย่างไทยเรา และประเทศที่ผมถือเป็นบ้านหลังที่สองของผมคือญี่ปุ่น
มา Business Trip ที่ประเทศไทยทีไร วิธีการเดินทางของผมในประเทศไทย เรียงตามลำดับการใช้บริการบ่อย ก็จะเป็นเช่นนี้
1.ขับรถตัวเอง (ต้องอาศัยรถเราเองอยู่บ่อยๆ เพื่อขับไปหาลูกค้า)
2.นั่งแทกซี่ + BTS
ทุกครั้งที่ผมกลับมาไทยผมใช้บริการแท็กซี่บ่อยนะครับ อะไรๆก็ขึ้นแท็กซี่ แต่อย่าคิดว่าผมติดหรูนะครับ
เพราะเมื่อก่อนตอนผมอยู่ไทย ก่อนที่จะได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น ผมแทบไม่ขึ้นแท็กซี่เลย มีอะไรก็ขึ้นรถเมล์ครับ
ไม่ว่าจะเป็นรถฟรีภาษีประชาชน รถเมล์ทั่วไป รถเมล์ปรับอากาศ หรือรถเมล์ปรับอากาศพิเศษ
ได้ใช้บริการมาหมดแล้ว.. ยกเว้นรถเมล์เล็กสีเขียวหรือสีส้มนะ55 ไม่อยากลอง
พอโตมา กลับมาทำงานที่ประเทศไทยอีกครั้ง ได้แนวคิดใหม่ที่ว่า ..ไม่ต้องไปเสียดายเงินค่าโดยสารแท็กซี่หรอก
เพราะการเข้ามาทำงานแบบ Business Trip เวลาของเรามีจำกัดมาก แทนที่จะเสียเวลากับการที่ต้องนั่งรถเมล์และ
รถเมล์จะไปอ้อมตามเส้นทางการเดินทางของมัน เราควรจะประหยัดเวลาเหล่านั้นด้วยพาหนะการเดินทางที่เร็วกว่า
ไม่ว่าจะเป็นแทกซี่ หรือ BTS ..เพื่อจะได้มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น ..
แต่เอาจริงๆครับ ถามว่าค่าแท็กซี่ของประเทศไทยแพงมั้ย..??
ส่วนตัวผมว่าก็แพงเอาการนะ ถ้าเทียบกับเงินได้เฉลี่ยของคนไทย โดยเฉพาะถ้านั่งคนเดียวนี่แพ๊ง แพง
ตอนพวกผมเรียนรักษาดินแดง(รด.)ตอน ม.ปลาย เลยมีคอนเสป "คนนึงโบกรถแทกซี่ พอรถแทกซี่จอด เพื่อนๆที่ยืนแอบๆจำนวนทั้งสิ้น 7 คน
ก็กระโดดขึ้นรถคันเดียวกัน" พี่แท็กซี่คงช็อคเหมือนกันแหละ
แต่นะ..สมัยเด็กๆ ขึ้นแท็กซี่ทั้งที ต้องหาตัวหารมาเยอะๆ จะได้คุ้ม 555
แต่เมื่อเรามาดูสถิติที่เกี่ยวข้องจากรายการ Sekaibanduke รายการชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นในหัวข้อที่ว่า
"ประเทศไหนที่ค่าโดยสารแท็กซี่ถูกที่สุดในโลก"
โดยสถิตินี้สำรวจจากระยะทางที่แท็กซี่วิ่งได้ เมื่อใช้ค่าโดยสารจำนวน 1000 เยน (300 บาท) มาดูกันซิว่าด้วยราคานี้
ประเทศไหนจะวิ่งได้ไกลสุดๆ
แตน แตน แตน แตน แต่น แต๊น
อันดับ 1. ประเทศอินเดีย วิ่งได้ไกลสุดๆ
อันดับ 2. ประเทศไทย (แท็กซี่เราถูกอันดับสองของโลกเชียวนะ พึ่งรู้ !!)
อันดับ 3. ประเทศแม็กซิโก
ประเทศญี่ปุ่นนี่ถือว่าค่าโดยสารแพงมากครับ .. มากจริงๆเมื่อเทียบกับการคมนาคมวิธีอื่นๆ
แต่เมื่อรู้ว่าการบริการยอดเยี่ยมเช่นนี้ ก็ไม่ลังเลเลยครับ ที่จะใช้บริการบ้างเป็นบางครั้ง!
สรรเสริญกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ และอยากให้ประเทศไทยพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
ด้วยความเคารพ
Japan Salaryman