หอการค้าเผยผลสำรวจชี้ ยืดเยื้อข้ามปี นักลงทุนย้ายฐานเพิ่ม7เท่า 'ศุภวุฒิ'ชี้ตั้งรัฐบาลไม่ได้ใน 6-12 เดือน ทุนญี่ปุ่นปรับแผน
"ภัทร" เตือนการเมืองยืดเยื้อข้ามปี กระทบลงทุนต่างชาติ ระบุนักลงทุนญี่ปุ่นเริ่มทบทวนแผนการลงทุนใหม่ หากตั้งรัฐบาลไม่ได้ใน 6-12 เดือน ด้าน 'ศุภวุฒิ' เผยการเมืองฉุดเศรษฐกิจหลายด้าน เตรียมปรับลดจีดีพีในปีนี้ คาดโตต่ำกว่า 2.8% ขณะหอการค้าสำรวจนักลงทุน ชี้หากการเมืองยืดเยื้อถึงปี 2558 ย้ายฐานลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้านเพิ่ม 7 เท่า คาดอีก 5 ปี ลงทุนโดยตรงเวียดนามแซงหน้าไทย
จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและไทยยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ประเด็นการย้ายฐานของนักลงทุนต่างชาติเริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น นักวิเคราะห์ประเมินหากการเมืองยืดเยื้อถึงปีนี้ นักลงทุนจะย้ายฐานไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ออกมาเรียกร้องฝ่ายการเมือง แต่หากนับเวลาตั้งแต่มีการชุมนุมทางการเมืองซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 4 เดือนและยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หลังจากรัฐบาลยุบสภาเมื่อปลายปีที่แล้ว
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะปัจจุบันที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นความไม่แน่นอนและเป็นเรื่องการเมืองที่ยังดูไม่ออกว่าจะคลี่คลายได้อย่างไร
ถ้าดูดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเจาะลงไปทุกแรงขับเคลื่อนก็จะเห็นว่าชะลอลงไปหมด โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐในช่วงรัฐบาลรักษาการที่พึ่งพาไม่ได้ การลงทุนเอกชนก็ชะลอ หากทุกอย่างจบได้ในระยะสั้นคงกระทบไม่มาก แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อออกไปอีก ก็ยอมรับว่านักลงทุนอาจย้ายไปลงทุนประเทศอื่น ขณะที่การบริโภคในประเทศท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังไม่มีความมั่นใจในการบริโภค
"ในระยะสั้นคงยังไม่เห็นการย้ายฐานลงทุน แต่ถ้าการเมืองข้ามไปถึงปี 2558 ยังไม่จบ ก็มีโอกาสที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะย้ายฐานได้"
นอกจากนี้ หลังจากวิกฤติปี 2540 เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขยายตัวดีมากนัก โดยเฉลี่ยเติบโตปีละ 4-5% เทียบกับประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นโตเฉลี่ย 7-8% แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง หลากหลายและพื้นฐานการเงินดี เพียงแต่ไทยไม่อยู่ในภาวะที่จะนำพื้นฐานเหล่านี้มาใช้เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศได้หรือไม่
เตือนญี่ปุ่นปรับแผนลงทุน
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย บมจ. ภัทร กล่าวว่า หากไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายใน 6-12 เดือน นักลงทุนญี่ปุ่นอาจพิจารณาย้ายการลงทุนไปจากไทย เพราะปัญหาการเมืองในประเทศที่ยืดเยื้อเกินกว่า 3 เดือนนั้นถือว่าเกินกว่าความคาดหมาย ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะนั้น
นายศุภวุฒิ เชื่อว่าจากนี้ไปคงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้สำเร็จ เพราะไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล หรือเป็นรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งตามมาตรา 7 ก็จะมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน ทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อจนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2558 ได้
"เท่าที่ทราบเบื้องต้น นักลงทุนญี่ปุ่นพูดถึงแผนการลงทุนในไทยว่าจะชะลอไว้ก่อน เพื่อรอความหวังว่าภายใน 3 เดือนไทยจะสามารถมีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ เมื่อนั้นญี่ปุ่นก็จะเดินหน้าตามแผนลงทุนต่อไป แต่ตอนนี้ได้ยินนักลงทุนญี่ปุ่นคุยกันว่า ถ้าภายใน 6-12 เดือนหากไทยยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ คงต้องทบทวนแผนการลงทุนในไทยใหม่"
เล็งปรับเป้าจีดีพีคาดโตต่ำ 2.8%
นายศุภวุฒิ ย้ำว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2557 ลงจากเดิมที่คาดไว้โต 2.8% เพราะยอมรับว่าโอกาสจีดีพีในช่วงครึ่งหลังของปีที่คาดจะโตได้ 5% คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ส่วนจีดีพีครึ่งปีแรกที่คาดจะโตได้ 0.6% ก็กำลังพิจารณาดูอยู่ว่าจะเป็นไปตามที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่ก็คาดว่าจะได้ตัวเลขจีดีพีใหม่ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะเดินทางไปโรดโชว์เศรษฐกิจไทยในต่างประเทศสัปดาห์หน้า
"ภายใน 1-2 วันนี้ เราจะได้ตัวเลขจีดีพีใหม่ ที่ได้ทบทวนใหม่แน่นอน ซึ่งการเมืองคือปัจจัยเดียวที่ทำให้ต้องปรับเป้าหมายจีดีพีปีนี้ใหม่ทั้งหมด เพราะการเมืองส่งผลกระทบไปทุกเรื่อง ทั้งท่องเที่ยว การใช้จ่าย กำลังซื้อ การลงทุน ความมั่นใจ ซึ่งก็คงต้องสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับหลายสำนักที่ปรับลดประมาณการจีดีพีลง"
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า การปรับลดจีดีพีลงทุก 1% อาจสะท้อนว่ามูลค่าจีดีพีลดลง 1.2 แสนล้านบาท จากมูลค่าจีดีพีรวมในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านล้านบาท ขณะนี้ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงๆ เมื่อมองภาพรวมแล้วถือว่าไม่มี เท่าที่เห็นในตอนนี้คือแค่ภาคการส่งออกเท่านั้นเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
คาดว่าภาคการส่งออกในปีนี้น่าจะเติบโตได้ประมาณ 4-5% ส่วนภาคธุรกิจท่องเที่ยว ก็น่าจะดีขึ้นบ้าง แต่คงไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ดังนั้นหากสรุปเศรษฐกิจไทยในตอนนี้คงพึ่งภาคส่งออกได้เพียงอย่างเดียว
ชี้อีกหนึ่งปีอาจถูกหั่นเครดิต
ส่วนกรณีที่สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้งส์ อาจมี OUT LOOK หรือมีการปรับมุมมอง ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยลง หากไม่สามารถมีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศได้ภายในครึ่งปีหลังถือเป็นเรื่องทั่วไป ซึ่งโดยปกติสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเหล่านี้จะติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง
"ถ้าไม่ดีขึ้น อาจได้เห็นประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงภายใน 1 ปีข้างหน้า"
หอการค้าชี้กระทบเอฟดีไอ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจ “ประเมินการขยายฐานธุรกิจของไทยไปอาเซียน ปี 2014 ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง” จากการสำรวจผู้ประกอบการรวม 300 ราย พบว่า หากไม่มีปัญหาการเมืองมูลค่าการลงทุนโดยตรงของไทยในตลาดอาเซียน จะมีมูลค่ารวม 7.7 หมื่นล้านบาท แต่ในกรณีที่มีปัญหาการเมืองปัจจุบันมูลค่าการลงทุนที่จะออกไปลงทุนในอาเซียนแทนการขยายลงทุนในไทย จะมูลค่าสูงถึง 1.23 แสนล้านบาท ชี้ให้เห็นว่าปัญหาการเมืองทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกนอกประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าสถานการณ์ปกติถึง 4.66 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อถึงสิ้นปี 2557 จะทำให้ผู้ประกอบการต้องขยายฐานธุรกิจออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และหากการเมืองยืดเยื้อไปจนถึงปี 2558 จะมาฐานธุรกิจออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า โดยประเทศเป้าหมายสำคัญคือ อินโดนีเซีย รองลงมา พม่า และ เวียดนาม ขณะที่ธุรกิจที่จะออกไปลงทุนสูงสุด สัดส่วน 29.6% คือ อาหารและเครื่องดื่ม รองลงมา ค้าปลีกค้าส่ง และ คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
“การออกไปลงทุนต่างประเทศเป็นสิ่งที่ดี แต่การมีอัตราเร่งที่สูงผิดปกติ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะจะเกิดผลกระทบจากอัตราจ้างงาน กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว หากเศรษฐกิจปรับตัวไม่ทันก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะสัญญาณดังกล่าวกำลังชี้ให้เห็นว่าไทยจะเข้าสู่ประเทศที่ไม่มีความน่าสนใจในการลงทุน ซึ่งจะสะท้อนไปถึงนักลงทุนต่างประเทศ” นายอัทธ์ กล่าว
สำหรับสาเหตุอื่นที่ต้องมีการออกไปลงทุนต่างประเทศ ได้แก่ ต้องการหาแหล่งการผลิตที่มั่นคงทางการเมืองและมีความพร้อมทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศไทย ต้องการหาแหล่งวัตถุดิบ และแรงงานที่มีต้นทุนต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจที่ยังไม่มีแผนลงทุนต่างประเทศเพราะแรงงานไทยมีทักษะ และฝีมือดีกว่าเพื่อนบ้านและเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ไม่มีเม็ดเงินที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศ
คาดปี 2563 เอฟดีไอเวียดนามแซงไทย
นายอัทธ์ กล่าวถึงการวิเคราะห์ “หลังปี 2015 ไทยจะเสียส่วนแบ่งตลาดอาเซียนให้เวียดนามหรือไม่” ว่า ในปี 2563 เวียดนาม จะมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงกว่าไทย ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ โดยเวียดนามจะมีเม็ดเงินรวม 2.47 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยมีเม็ดเงินรวม 2.41 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ ปี 2557 นี้ เอฟดีไอของเวียดนาม มีมูลค่า 1.24 แสนล้านดอลลาร์ ไทยมีมูลค่า 1.58 แสนล้านดอลลาร์ หรือไทยมีมากกว่า 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนปี 2558 เวียดนาม จะมี เอฟดีไอ มูลค่า 1.39 แสนล้านดอลลาร์ ไทยมี 1.71 แสนล้านดอลลาร์ หรือไทยมีมากกว่า 3.13 แสนล้านดอลลาร์
ก่อนปี 2558 ไทยมีจำนวนสินค้าที่เสียเปรียบเวียดนามในการส่งออกไปตลาดอาเซียน 12 รายการ จาก 96 รายการ หรือคิดเป็น 13% ขณะที่หลังปี 2558 ไทยมีจำนวนสินค้าที่เสียเปรียบเวียดนามในการส่งออกไปตลาดอาเซียนเพิ่มเป็น 23 รายการ หรือคิดเป็น 24% เช่น กลุ่มเส้นใยสิ่งทอจากป่าน ปอ เส้นใยมะพร้าว มีมูลค่ารวม 3.63 พันล้านบาท นอกจากนี้ หลังปี 2558 มีกลุ่มสินค้าที่ไทยมีโอกาสแพ้เวียดนาม มี 6 รายการ สัดส่วน 6% เช่น กลุ่มสินค้าเครื่องแต่งกาย อาหารทะเลแช่แข็ง มีมูลค่า รวม 8.22 พันล้านบาท
“สาเหตุที่ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้เวียดนาม ประกอบด้วย ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าเวียดนาม 2 เท่า ไทยไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง นโยบายเศรษฐกิจและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐขาดความต่อเนื่อง ราคาสินค้าของไทยสูงกว่าเวียดนาม ขณะที่ด้านการลงทุน หลังปี 2563 เวียดนามจะเป็นประเทศที่มี FDI สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ซึ่งเป็นอันดับที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงปีนี้ที่เวียดนามรั้งอยู่อันดับที่ 5 ” นายอัทธ์ กล่าว
ส่วนอุตสาหกรรมที่เวียดนามจะดึง เอฟดีไอ ไปจากไทย ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจด้านสาธารณูปโภค ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจบำบัดน้ำเสีย ธุรกิจโรงพยาบาล
จับมือสรรพสามิตปรับภาษีชงรัฐบาลใหม่
นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการกฎหมายภาษีอากร สภาหอการค้าไทย กล่าวว่า มีความจำเป็นที่ไทยต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตตามหลักภาษีที่ดี เนื่องจากปัจจุบันระบบภาษีของไทยมีปัญหาใหญ่ 3 เรื่อง ได้แก่ การเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดย 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2557 จัดเก็บได้เพียง 11% หรือประมาณ 2.1 พันล้านบาท โครงสร้างการจัดเก็บมีความซับซ้อนยุ่งยาก และระบบการจัดเก็บภาษีของไทยไม่รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น
สภาหอการค้าไทย จึงร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดทำ "โครงการศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิต" ซึ่งคาดว่าจะได้แนวทางในการปรับปรุงมาตรการด้านภาษีเพื่อเสนอรัฐบาลชุดใหม่ได้ภายใน 5 เดือน ให้กำหนดเป็นวาระเร่งด่วน ต่อไป
ปล. ไม่ต้องใครหรอกครับ ทั้งฝ่ายบริหาร ทั้งฝ่ายคัดค้าน รวมถึงฝ่ายประท้วง มันก็พอๆกันนั่นแหล่ะ เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูก ไม่มีใครชนะหรอกครับ มีแต่คนแพ้โดยเฉพาะชาติ
การเมืองวุ่นข้ามปี 'แห่ย้ายฐานลงทุน'
หอการค้าเผยผลสำรวจชี้ ยืดเยื้อข้ามปี นักลงทุนย้ายฐานเพิ่ม7เท่า 'ศุภวุฒิ'ชี้ตั้งรัฐบาลไม่ได้ใน 6-12 เดือน ทุนญี่ปุ่นปรับแผน
"ภัทร" เตือนการเมืองยืดเยื้อข้ามปี กระทบลงทุนต่างชาติ ระบุนักลงทุนญี่ปุ่นเริ่มทบทวนแผนการลงทุนใหม่ หากตั้งรัฐบาลไม่ได้ใน 6-12 เดือน ด้าน 'ศุภวุฒิ' เผยการเมืองฉุดเศรษฐกิจหลายด้าน เตรียมปรับลดจีดีพีในปีนี้ คาดโตต่ำกว่า 2.8% ขณะหอการค้าสำรวจนักลงทุน ชี้หากการเมืองยืดเยื้อถึงปี 2558 ย้ายฐานลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้านเพิ่ม 7 เท่า คาดอีก 5 ปี ลงทุนโดยตรงเวียดนามแซงหน้าไทย
จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและไทยยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ประเด็นการย้ายฐานของนักลงทุนต่างชาติเริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น นักวิเคราะห์ประเมินหากการเมืองยืดเยื้อถึงปีนี้ นักลงทุนจะย้ายฐานไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ออกมาเรียกร้องฝ่ายการเมือง แต่หากนับเวลาตั้งแต่มีการชุมนุมทางการเมืองซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 4 เดือนและยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หลังจากรัฐบาลยุบสภาเมื่อปลายปีที่แล้ว
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะปัจจุบันที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นความไม่แน่นอนและเป็นเรื่องการเมืองที่ยังดูไม่ออกว่าจะคลี่คลายได้อย่างไร
ถ้าดูดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเจาะลงไปทุกแรงขับเคลื่อนก็จะเห็นว่าชะลอลงไปหมด โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐในช่วงรัฐบาลรักษาการที่พึ่งพาไม่ได้ การลงทุนเอกชนก็ชะลอ หากทุกอย่างจบได้ในระยะสั้นคงกระทบไม่มาก แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อออกไปอีก ก็ยอมรับว่านักลงทุนอาจย้ายไปลงทุนประเทศอื่น ขณะที่การบริโภคในประเทศท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังไม่มีความมั่นใจในการบริโภค
"ในระยะสั้นคงยังไม่เห็นการย้ายฐานลงทุน แต่ถ้าการเมืองข้ามไปถึงปี 2558 ยังไม่จบ ก็มีโอกาสที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะย้ายฐานได้"
นอกจากนี้ หลังจากวิกฤติปี 2540 เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขยายตัวดีมากนัก โดยเฉลี่ยเติบโตปีละ 4-5% เทียบกับประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นโตเฉลี่ย 7-8% แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง หลากหลายและพื้นฐานการเงินดี เพียงแต่ไทยไม่อยู่ในภาวะที่จะนำพื้นฐานเหล่านี้มาใช้เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศได้หรือไม่
เตือนญี่ปุ่นปรับแผนลงทุน
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย บมจ. ภัทร กล่าวว่า หากไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายใน 6-12 เดือน นักลงทุนญี่ปุ่นอาจพิจารณาย้ายการลงทุนไปจากไทย เพราะปัญหาการเมืองในประเทศที่ยืดเยื้อเกินกว่า 3 เดือนนั้นถือว่าเกินกว่าความคาดหมาย ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะนั้น
นายศุภวุฒิ เชื่อว่าจากนี้ไปคงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้สำเร็จ เพราะไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล หรือเป็นรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งตามมาตรา 7 ก็จะมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน ทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อจนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2558 ได้
"เท่าที่ทราบเบื้องต้น นักลงทุนญี่ปุ่นพูดถึงแผนการลงทุนในไทยว่าจะชะลอไว้ก่อน เพื่อรอความหวังว่าภายใน 3 เดือนไทยจะสามารถมีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ เมื่อนั้นญี่ปุ่นก็จะเดินหน้าตามแผนลงทุนต่อไป แต่ตอนนี้ได้ยินนักลงทุนญี่ปุ่นคุยกันว่า ถ้าภายใน 6-12 เดือนหากไทยยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ คงต้องทบทวนแผนการลงทุนในไทยใหม่"
เล็งปรับเป้าจีดีพีคาดโตต่ำ 2.8%
นายศุภวุฒิ ย้ำว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2557 ลงจากเดิมที่คาดไว้โต 2.8% เพราะยอมรับว่าโอกาสจีดีพีในช่วงครึ่งหลังของปีที่คาดจะโตได้ 5% คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ส่วนจีดีพีครึ่งปีแรกที่คาดจะโตได้ 0.6% ก็กำลังพิจารณาดูอยู่ว่าจะเป็นไปตามที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่ก็คาดว่าจะได้ตัวเลขจีดีพีใหม่ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะเดินทางไปโรดโชว์เศรษฐกิจไทยในต่างประเทศสัปดาห์หน้า
"ภายใน 1-2 วันนี้ เราจะได้ตัวเลขจีดีพีใหม่ ที่ได้ทบทวนใหม่แน่นอน ซึ่งการเมืองคือปัจจัยเดียวที่ทำให้ต้องปรับเป้าหมายจีดีพีปีนี้ใหม่ทั้งหมด เพราะการเมืองส่งผลกระทบไปทุกเรื่อง ทั้งท่องเที่ยว การใช้จ่าย กำลังซื้อ การลงทุน ความมั่นใจ ซึ่งก็คงต้องสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับหลายสำนักที่ปรับลดประมาณการจีดีพีลง"
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า การปรับลดจีดีพีลงทุก 1% อาจสะท้อนว่ามูลค่าจีดีพีลดลง 1.2 แสนล้านบาท จากมูลค่าจีดีพีรวมในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านล้านบาท ขณะนี้ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงๆ เมื่อมองภาพรวมแล้วถือว่าไม่มี เท่าที่เห็นในตอนนี้คือแค่ภาคการส่งออกเท่านั้นเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
คาดว่าภาคการส่งออกในปีนี้น่าจะเติบโตได้ประมาณ 4-5% ส่วนภาคธุรกิจท่องเที่ยว ก็น่าจะดีขึ้นบ้าง แต่คงไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ดังนั้นหากสรุปเศรษฐกิจไทยในตอนนี้คงพึ่งภาคส่งออกได้เพียงอย่างเดียว
ชี้อีกหนึ่งปีอาจถูกหั่นเครดิต
ส่วนกรณีที่สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้งส์ อาจมี OUT LOOK หรือมีการปรับมุมมอง ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยลง หากไม่สามารถมีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศได้ภายในครึ่งปีหลังถือเป็นเรื่องทั่วไป ซึ่งโดยปกติสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเหล่านี้จะติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง
"ถ้าไม่ดีขึ้น อาจได้เห็นประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงภายใน 1 ปีข้างหน้า"
หอการค้าชี้กระทบเอฟดีไอ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจ “ประเมินการขยายฐานธุรกิจของไทยไปอาเซียน ปี 2014 ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง” จากการสำรวจผู้ประกอบการรวม 300 ราย พบว่า หากไม่มีปัญหาการเมืองมูลค่าการลงทุนโดยตรงของไทยในตลาดอาเซียน จะมีมูลค่ารวม 7.7 หมื่นล้านบาท แต่ในกรณีที่มีปัญหาการเมืองปัจจุบันมูลค่าการลงทุนที่จะออกไปลงทุนในอาเซียนแทนการขยายลงทุนในไทย จะมูลค่าสูงถึง 1.23 แสนล้านบาท ชี้ให้เห็นว่าปัญหาการเมืองทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกนอกประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าสถานการณ์ปกติถึง 4.66 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อถึงสิ้นปี 2557 จะทำให้ผู้ประกอบการต้องขยายฐานธุรกิจออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และหากการเมืองยืดเยื้อไปจนถึงปี 2558 จะมาฐานธุรกิจออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า โดยประเทศเป้าหมายสำคัญคือ อินโดนีเซีย รองลงมา พม่า และ เวียดนาม ขณะที่ธุรกิจที่จะออกไปลงทุนสูงสุด สัดส่วน 29.6% คือ อาหารและเครื่องดื่ม รองลงมา ค้าปลีกค้าส่ง และ คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
“การออกไปลงทุนต่างประเทศเป็นสิ่งที่ดี แต่การมีอัตราเร่งที่สูงผิดปกติ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะจะเกิดผลกระทบจากอัตราจ้างงาน กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว หากเศรษฐกิจปรับตัวไม่ทันก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะสัญญาณดังกล่าวกำลังชี้ให้เห็นว่าไทยจะเข้าสู่ประเทศที่ไม่มีความน่าสนใจในการลงทุน ซึ่งจะสะท้อนไปถึงนักลงทุนต่างประเทศ” นายอัทธ์ กล่าว
สำหรับสาเหตุอื่นที่ต้องมีการออกไปลงทุนต่างประเทศ ได้แก่ ต้องการหาแหล่งการผลิตที่มั่นคงทางการเมืองและมีความพร้อมทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศไทย ต้องการหาแหล่งวัตถุดิบ และแรงงานที่มีต้นทุนต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจที่ยังไม่มีแผนลงทุนต่างประเทศเพราะแรงงานไทยมีทักษะ และฝีมือดีกว่าเพื่อนบ้านและเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ไม่มีเม็ดเงินที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศ
คาดปี 2563 เอฟดีไอเวียดนามแซงไทย
นายอัทธ์ กล่าวถึงการวิเคราะห์ “หลังปี 2015 ไทยจะเสียส่วนแบ่งตลาดอาเซียนให้เวียดนามหรือไม่” ว่า ในปี 2563 เวียดนาม จะมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงกว่าไทย ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ โดยเวียดนามจะมีเม็ดเงินรวม 2.47 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยมีเม็ดเงินรวม 2.41 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ ปี 2557 นี้ เอฟดีไอของเวียดนาม มีมูลค่า 1.24 แสนล้านดอลลาร์ ไทยมีมูลค่า 1.58 แสนล้านดอลลาร์ หรือไทยมีมากกว่า 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนปี 2558 เวียดนาม จะมี เอฟดีไอ มูลค่า 1.39 แสนล้านดอลลาร์ ไทยมี 1.71 แสนล้านดอลลาร์ หรือไทยมีมากกว่า 3.13 แสนล้านดอลลาร์
ก่อนปี 2558 ไทยมีจำนวนสินค้าที่เสียเปรียบเวียดนามในการส่งออกไปตลาดอาเซียน 12 รายการ จาก 96 รายการ หรือคิดเป็น 13% ขณะที่หลังปี 2558 ไทยมีจำนวนสินค้าที่เสียเปรียบเวียดนามในการส่งออกไปตลาดอาเซียนเพิ่มเป็น 23 รายการ หรือคิดเป็น 24% เช่น กลุ่มเส้นใยสิ่งทอจากป่าน ปอ เส้นใยมะพร้าว มีมูลค่ารวม 3.63 พันล้านบาท นอกจากนี้ หลังปี 2558 มีกลุ่มสินค้าที่ไทยมีโอกาสแพ้เวียดนาม มี 6 รายการ สัดส่วน 6% เช่น กลุ่มสินค้าเครื่องแต่งกาย อาหารทะเลแช่แข็ง มีมูลค่า รวม 8.22 พันล้านบาท
“สาเหตุที่ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้เวียดนาม ประกอบด้วย ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าเวียดนาม 2 เท่า ไทยไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง นโยบายเศรษฐกิจและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐขาดความต่อเนื่อง ราคาสินค้าของไทยสูงกว่าเวียดนาม ขณะที่ด้านการลงทุน หลังปี 2563 เวียดนามจะเป็นประเทศที่มี FDI สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ซึ่งเป็นอันดับที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงปีนี้ที่เวียดนามรั้งอยู่อันดับที่ 5 ” นายอัทธ์ กล่าว
ส่วนอุตสาหกรรมที่เวียดนามจะดึง เอฟดีไอ ไปจากไทย ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจด้านสาธารณูปโภค ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจบำบัดน้ำเสีย ธุรกิจโรงพยาบาล
จับมือสรรพสามิตปรับภาษีชงรัฐบาลใหม่
นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการกฎหมายภาษีอากร สภาหอการค้าไทย กล่าวว่า มีความจำเป็นที่ไทยต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตตามหลักภาษีที่ดี เนื่องจากปัจจุบันระบบภาษีของไทยมีปัญหาใหญ่ 3 เรื่อง ได้แก่ การเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดย 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2557 จัดเก็บได้เพียง 11% หรือประมาณ 2.1 พันล้านบาท โครงสร้างการจัดเก็บมีความซับซ้อนยุ่งยาก และระบบการจัดเก็บภาษีของไทยไม่รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น
สภาหอการค้าไทย จึงร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดทำ "โครงการศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิต" ซึ่งคาดว่าจะได้แนวทางในการปรับปรุงมาตรการด้านภาษีเพื่อเสนอรัฐบาลชุดใหม่ได้ภายใน 5 เดือน ให้กำหนดเป็นวาระเร่งด่วน ต่อไป
ปล. ไม่ต้องใครหรอกครับ ทั้งฝ่ายบริหาร ทั้งฝ่ายคัดค้าน รวมถึงฝ่ายประท้วง มันก็พอๆกันนั่นแหล่ะ เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูก ไม่มีใครชนะหรอกครับ มีแต่คนแพ้โดยเฉพาะชาติ